Skip to content

A Will Eternal 594

บทที่ 594 การทดสอบงานเซ่นไหว้บรรพชน

ปีนั้นตอนที่ฝึกขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สองของวิชาอมตะมิวางวายเขาก็ใช้วิธีนี้สัมผัสกับพันธนาการอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็อาศัยการไต่ขึ้นสูงของตบะมาฝ่าทะลุมัน

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ หัวใจเต้นรัว มองดูเหมือนนั่งอยู่ตรงนั้นทว่าข้างประตูกลับมีร่างที่สองของเขาปรากฏขึ้น นี่ไม่ใช่ร่างจำแลงของเขา ทว่าเป็นความเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นอีกขั้นจนเกิดเป็นภาพติดตา

ภาพติดตานั้นไม่ได้หายไปอย่างรวดเร็วเช่นในอดีต แต่ค้างอยู่หลายชั่วอึดใจแล้วค่อยหายไป…

ไม่จำเป็นต้องทดลองหลายครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิเคราะห์ได้ว่าความเร็วของตนได้ฝ่าทะลุไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ยามนี้เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเร็วของตัวเองไต่ไปถึงระดับไหน แต่เขาเข้าใจว่าตนในยามนี้ต่อให้คนฟ้ามาสังหารก็ไม่สามารถทำได้ง่ายดายขนาดนั้น

“หนังคงกระพัน สำคัญที่ป้องกัน!”

“เนื้อคงกระพัน สำคัญที่พละกำลัง!”

“เอ็นคงกระพัน ระเบิดออกมาเป็นความเร็วของข้า…”

“ถ้าเช่นนั้นขั้นที่สี่ของวิชาอมตะมิวางวาย กระดูกคงกระพัน…จะเป็นอะไรกันแน่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็อดที่จะรอคอยไม่ได้

“น่าเสียดายก็แต่ตบะไม่ถึงก่อกำเนิดเลยยากจะฝึกได้…อีกอย่างทรัพยากรของแดนทุรกันดารก็มีน้อยเกินไป การเผาผลาญของกระดูกคงกระพันคาดว่าคงมากกว่าเอ็นคงกระพันอีกหลายเท่าตัว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรวบรวมสมาธิให้มั่นคง ก่อนจะประคองเอ็นคงกระพันของตัวเองที่ฝึกสำเร็จให้ทรงตัวมั่นคงมากขึ้น

ท่ามกลางการฝึกวิชาของป๋ายเสี่ยวฉุน ระยะเวลาที่พื้นที่บรรพชนจะเปิดออกได้ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันงานฉลองเซ่นไหว้บรรพชนของตระกูลป๋ายก็ถูกเตรียมการไปพร้อมกันด้วย

ตามกฎของตระกูลป๋าย หนึ่งวันก่อนหน้าที่จะเปิดพื้นที่บรรพชนทุกครั้งจะต้องจัดงานฉลองเซ่นไหว้บรรพชน ในงานเลี้ยงนี้ทุกคนที่มีสายเลือดตระกูลป๋ายล้วนจำเป็นต้องเข้าร่วมเพื่อเซ่นไหว้บรรพชนไปพร้อมกัน จากนั้นจะมีผู้อาวุโสในตระกูลทำการทดสอบพวกคนที่มีผลคะแนนยอดเยี่ยมและจะมีการมอบรางวัลให้

อีกทั้งในขั้นตอนนี้ยังเชิญคนของตระกูลอื่นๆ ให้มาเข้าร่วมงานพิธีด้วย ซึ่งงานที่จัดนั้นจะยิ่งใหญ่อย่างมาก ต่อให้เป็นราชาผียักษ์ของนครราชาผีเองก็ยังส่งคนมาร่วมงานด้วย

เพราะอย่างไรซะพื้นที่บรรพชนนี้ก็ไม่ได้ถูกเปิดกันง่ายๆ และการเปิดพื้นที่ครั้งนี้ก็อยู่ห่างจากคราวก่อนมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว

เมื่อเวลาผ่านพ้น หนึ่งวันก่อนหน้าการเปิดพื้นที่บรรพชน งานฉลองเซ่นไหว้บรรพชนก็ถูกจัดขึ้นในศาลบรรพชนใจกลางสี่เขตของเมืองตระกูลป๋าย

วันนี้ตระกูลผู้หลอมวิญญาณใหญ่อีกสองตระกูลซึ่งอยู่ในขอบเขตของนครผียักษ์ต่างก็ส่งคนในตระกูลมาร่วมงานด้วย ทางฝ่ายราชาผียักษ์เองก็ทำเช่นเดียวกัน ตลอดทั้งตระกูลป๋ายจึงเต็มไปด้วยความคึกครื้น

ส่วนพื้นที่ของศาลบรรพชนที่อยู่ใจกลางเมืองก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ กลางลานกว้างใหญ่มีประตูหินมหึมาตั้งตระหง่าน บนประตูหินนี้สลักรูปชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีสีหน้าน่าเกรงขามซึ่งคล้ายกำลังก้มหน้าลงมองพื้นดิน คนผู้นี้ก็คือบรรพบุรุษคนแรกที่ก่อตั้งตระกูลป๋าย!

บัดนี้รอบศาลบรรพชนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มีสายเลือดตระกูลป๋ายจำนวนมากนับหมื่นคน ทุกคนล้วนมาเข้าร่วมจนทำให้บนพื้นมิอาจรองรับได้หมด และกลางอากาศโดยรอบก็มีตั่งจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่ ทำให้ทุกคนห้อมล้อมเป็นวงกลม มองดูแล้วยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างมาก

คนที่อยู่ใกล้กับศาลบรรพชนมากที่สุดคือพวกผู้อาวุโสตระกูลป๋าย แต่ละคนมีรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้า บ้างก็นั่งขัดสมาธิ บ้างก็พูดคุยด้วยรอยยิ้มกับคนรุ่นเดียวกันที่มาจากตระกูลอื่น

ทุกคนต่างก็กำลังรอคอยให้พิธีเซ่นไหว้เริ่มขึ้น

ห่างออกไปไม่ไกล ฮูหยินไช่และกลุ่มสตรีมีพื้นที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ยามนี้พวกนางกำลังกระซิบกระซาบกันเบาๆ ดึงดูดสายตาจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน

ในกลุ่มคนป๋ายฉีประดุจดวงดาราที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษ เขานั่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งของศาลบรรพชน รอบกายห้อมล้อมไปด้วยคนในตระกูลจำนวนมาก ตอนนี้กำลังพูดจาพาทีอยู่กับศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของอีกสองตระกูลผู้หลอมวิญญาณที่มาเยือน

นอกจากป๋ายฉีแล้วในสายของตระกูลป๋ายก็มีหลายคนที่เป็นที่สะดุดตา แม้ว่าจะเทียบป๋ายฉีไม่ได้ แต่ข้างกายก็มีคนอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือคุณหนูห้าที่ช่วยคลี่คลายปัญหาให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนตอนที่เขาเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงาม แม้จะมีนิสัยเย็นชา ทว่ากลับเป็นคนหนึ่งที่ข้างกายมีคนนอกตระกูลพะเน้าพะนออยู่ด้วยมากที่สุด

และยังมีอีกคนหนึ่งที่อายุพอๆ กับป๋ายฉี แต่ร่างกายของเขากลับหนาใหญ่กว่าไม่น้อย ดูบึกบึนอย่างมาก เขายืนอยู่ตรงนั้นและกำลังหัวเราะด้วยเสียงดังกังวานประดุจเสียงน้ำไหลบ่า ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นคนในหรือคนนอกตระกูลเขาก็ล้วนมีเส้นสายสนิทสนมอย่างถ้วนทั่ว

แม้ว่าป๋ายฮ่าวจะเป็นบุตรอนุภรรยา ฐานะต่ำต้อย แต่อย่างไรซะก็มีสายเลือดของคนตระกูลป๋าย เขาจึงจำเป็นต้องมาร่วมงานเลี้ยงเซ่นไหว้บรรพชนนี้ด้วย เพียงแต่ว่าด้วยฐานะของเขาจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ศาลบรรพชนได้ ทำได้เพียงอยู่ข้างนอก ดังนั้นจึงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงตั่งกลางอากาศตัวหนึ่งและมองไปรอบด้านด้วยความเบื่อหน่าย

แน่นอนว่าเขาต้องสังเกตเห็นคุณหนูห้ารวมไปถึงชายหนุ่มร่างหนาใหญ่ผู้นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนทั้งสองมาบ้างช่วงที่อยู่ในตระกูลป๋าย รู้ว่าคุณหนูห้าผู้นั้นมีนามว่าป๋ายเหยี่ยน ความงามของนางโด่งดังไปทั่วทั้งนครผียักษ์ ชายหนุ่มรูปงามมากความสามารถหลายคนล้วนชื่นชอบนาง

ส่วนชายหนุ่มที่มีเรือนกายล่ำสันคนนั้นมีนามว่าป๋ายเหลย เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนหนึ่งของสายแยกในตระกูล แม้ว่าตบะจะสู้ป๋ายฉีไม่ได้ ทว่าก็อยู่ในขั้นรวมโอสถช่วงท้ายแล้วเหมือนกัน อีกทั้งยังถูกขนานนามให้เป็นสองผู้โดดเด่นของตระกูลป๋ายเคียงคู่กับป๋ายฉีด้วย!

ทว่าคนทั้งสองนั้นไม่ถูกกัน การแก่งแย่งชิงดีระหว่างพวกเขาทุกคนในตระกูลล้วนรับรู้เป็นอย่างดี

ยามนี้คนทั้งสามต่างก็เป็นที่จับตามอง พวกเขากลายมาเป็นจุดสนใจของงานฉลองเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้

หากไม่เพราะจำเป็นต้องมา เขาก็ไม่อยากจะมาที่นี่เลยสักนิด ตามองไปยังทุกคนที่อยู่รอบกาย ทว่าในสมองของเขากลับคิดถึงเรื่องการเปิดพื้นที่บรรพชนวันพรุ่งนี้ รวมไปถึงเรื่องที่เขาต้องทำหลังจากงานฉลองสิ้นสุดลง

“วันนี้น่าจะต้องไปจัดวางตะปูวิญญาณร้ายพวกนั้นได้แล้ว” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ เขาก็พลันรู้สึกได้ว่ามีคนหันมามองตน

ดังนั้นดวงตาทั้งคู่จึงกวาดมองไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็เห็นทันทีว่าสายตาที่แฝงความอำมหิตนั้นมาจากฮูหยินไช่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มของสตรีซึ่งห่างออกไปไกล

“ข้านั่งอยู่ไกลขนาดนี้นางก็ยังหาข้าเจอ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก ต้องรู้ว่าตำแหน่งที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้คน ต่อให้มองหาอย่างละเอียดก็ต้องหาอยู่นานถึงจะมองเห็น นึกไม่ถึงว่าฮูหยินไช่ผู้นี้จะยังหาตนเจออีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาดุดันกลับไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด นัยน์ตาของเขามีความดุร้ายโหดเหี้ยม ทำเอาฮูหยินไช่ถึงกับอึ้งงัน จากนั้นความเดือดดาลก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ทว่ายังไม่ทันรอให้นางได้ลงมือกระทำการอย่างอื่น เสียงระฆังที่ทรงพลังเคร่งขรึมก็พลันดังกังวานไปทั่วทั้งตระกูลป๋าย

ตามหลังเสียงระฆังนั้นคือความเงียบงันจากรอบด้าน ขณะเดียวกันรุ้งยาวสามเส้นก็คำรามมาจากทิศไกล ผู้นำก็คือประมุขตระกูลป๋าย ข้างกายเขามีผู้อาวุโสติดตามมาอีกสองคน ผู้เฒ่าสองคนนั้นมีตบะสูงล้ำจนถึงก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งพวกเขาก็คือผู้อาวุโสใหญ่ที่ควบคุมดูแลฝ่ายอาอาญาและฝ่ายกฎหมายของตระกูลป๋าย

“ตระกูลป๋ายก่อตั้งมาแล้วหลายพันปี…” พอคนทั้งสามมาถึง

ประมุขตระกูลป๋ายก็กล่าวอะไรอยู่พักหนึ่ง คำกล่าวของเขาดังไปทั่วบริเวณ ขณะที่ทุกคนของตระกูลป๋ายกำลังรับฟังกันด้วยความฮึกเหิม ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับขี้เกียจฟัง เขาหลับตาทำสมาธิไม่สนใจ

ไม่นานพิธีเซ่นไหว้บรรพชนก็เริ่มต้น อันที่จริงพิธีจุกจิกมากมายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ในตระกูลเท่าไหร่นัก มีเพียงพวกผู้โดดเด่นของตระกูลเท่านั้นถึงจะได้เข้าร่วมอย่างแท้จริง

เสียงระฆังที่เคร่งขรึมดังสะท้อนอยู่เป็นระยะจนนภากาศถึงขั้นเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมไหว แสงอรุณสาดส่องเผยให้เห็นภาพแห่งความสิริมงคล ชักนำให้เกิดเสียงไชโยโห่ร้องจากคนจำนวนไม่น้อย

“งานเล็กๆ แบบนี้ข้าเห็นมานักต่อนักแล้วล่ะ” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยี่หระ ลืมตาขึ้นมามองเป็นพักๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนตนเป็นเซียนทว่ากลับต้องแสร้งปลอมตัวเป็นคนธรรมดา

จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อยามสนธยามาถึง พิธีการทุกอย่างของงานเซ่นไหว้ถึงได้สิ้นสุดลง เมื่อเสียงระฆังดังสะท้อน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อ้าปากหาวหวอด ลืมตามองเพราะนึกว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว ถึงเวลาที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันได้แล้ว แต่กลับเห็นว่าผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายกฎหมายตระกูลป๋ายที่นั่งอยู่หน้าประตูหินขนาดใหญ่ยักษ์กำลังหันไปพูดจาถ่อมตัวบอกปัดคนข้างกายอยู่พักหนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงดังกังวานไปแปดทิศ

“ก็ได้ ในเมื่อผู้อาวุโสต้องการ อีกอย่างทุกคนก็ผลักมาให้ข้าผู้อาวุโสออกหน้า งานเลี้ยงเซ่นไหว้บรรพชนครั้งนี้ก็ให้ข้าผู้อาวุโสเป็นคนออกคำถามทดสอบก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายกฎหมายคนนี้น้ำเสียงดังกระหึ่ม เผยให้เห็นถึงตบะที่ลึกล้ำ อีกทั้งเมื่อคำพูดของเขาดังออกมา ความว่างเปล่าก็ยังกลายมาเป็นคลื่นที่คล้ายจะมีควันวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นและล่องลอยไปรอบด้าน

สายตาของคนตระกูลป๋ายพากันเผยความเคารพเลื่อมใส ต่างก็หันไปมองผู้อาวุโสอย่างนอบน้อมยำเกรง แม้แต่คนของตระกูลอื่นๆ และทูตจากนครผียักษ์ที่มาเยือนก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึม

สัมผัสได้ถึงตบะของผู้เฒ่าคนนี้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แน่วนิ่ง นี่เรียกว่าเป็นครึ่งก้าวของคนฟ้าแล้ว มีขอบเขตเช่นเดียวกับป๋ายหลิน อีกทั้งดูจากคลื่นพลังวิญญาณของอีกฝ่ายก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณ

“น่าจะเป็นขั้นสีเหลือง…ทั้งยังมีพรสวรรค์ในด้านการหลอมวิญญาณอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นตอนที่พูดถึงได้มีเงาวิญญาณแผ่ออกไปแปดทิศ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิด ผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายของตระกูลป๋ายก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“ผู้มากฝีมือของตระกูลป๋ายทุกท่าน พวกท่านต่างก็รู้ว่าขีดสุดของการหลอมวิญญาณคือสามสิบครั้ง แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น จนถึงกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้ แม้แต่ยี่สิบครั้งก็แทบจะไม่มี ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาลองจินตนาการกันดูว่าหากขนนกนี้ผ่านการหลอมพลังจิตสามสิบครั้ง มันจะกลายมามีสภาพเช่นไร?” ผู้อาวุโสใหญ่ของฝ่ายกฎหมายยิ้มน้อยๆ เมื่อยกมือขวาขึ้น กลางมือของเขาก็มีขนนกชิ้นหนึ่งปรากฏ

ขนนกนี้มองดูเหมือนธรรมดามาก ไม่มีจุดใดที่มหัศจรรย์ เป็นเพียงแค่ขนนกธรรมดาสามัญชิ้นหนึ่งเท่านั้น

“เรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน ทุกคนสามารถอาศัยพรสวรรค์ในการหลอมพลังจิตของตัวเองมาจินตนาการดูได้ เพราะอย่างไรซะเรื่องเหล่านี้ หากแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า แล้วจะมีวันที่ทำสำเร็จจริงได้อย่างไร!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version