Skip to content

A Will Eternal 601

บทที่ 601 พี่หญิงห้า ท่านอยากได้สิ่งใด?

คนทั้งสามขยับเข้าไปใกล้ภูเขาสูง ยิ่งเข้าใกล้พลานุภาพสยบที่แผ่ออกมาจากเขาสูงแห่งนี้ก็ยิ่งรุนแรง พลานุภาพสยบนี้มีผลกับนักพรตสร้างฐานรากไม่น้อย มีเพียงเขตรวมโอสถเท่านั้นถึงจะพอมองข้ามได้ในช่วงแรกเริ่ม และเห็นได้ชัดว่าบนตำแหน่งยอดเขานั้นพลานุภาพสยบรุนแรงที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดูก็รู้ว่ามีเพียงรวมโอสถช่วงท้ายเท่านั้นถึงจะเดินไปบนยอดเขาได้

ทว่าดูเหมือนจะพิจารณาถึงป๋ายเสี่ยวฉุน คุณหนูห้าถึงได้แผ่ตบะออกมา เดินนำอยู่ข้างหน้าช่วยต้านทานพลังจากพลานุภาพสยบให้แก่เขา ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเห็นอยู่ในสายตา ในใจของเขาซาบซึ้งไม่น้อย ปากก็ถือโอกาสเรียกพี่สามอย่างนั้น พี่หญิงห้าอย่างนี้ แล้วเริ่มพูดคุยกับคนทั้งสองพร้อมหัวเราะเบาๆ คลอไปด้วย

ไม่นานนักคนทั้งสามก็เดินมาถึงตีนเขาสูง ท่ามกลางเส้นทางมากมายบนตัวภูเขา พวกเขาเลือกเส้นทางหนึ่งแล้วเดินขึ้นไป เพิ่งจะเหยียบลงบนภูเขา ตัวภูเขาก็แผ่พลานุภาพสยบที่รุนแรงมากกว่าเดิมออกมา เมื่อมองไปยังคนในตระกูลคนอื่นๆ ที่มีตบะสร้างฐานรากซึ่งเดินอยู่บนทางก็เห็นว่าพวกเขาเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่เพียงแต่ต้องค่อยๆ ปีนขึ้นเขา ยังต้องคอยระวังตราผนึกรอบด้านไปด้วย ทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ได้อย่างเชื่องช้า

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีคุณหนูห้านำอยู่เบื้องหน้า แรงกดดันของเขาจึงลดลงไปมาก อีกทั้งต่อให้ไม่มีคุณหนูห้าอยู่ พลานุภาพสยบของที่แห่งนี้…สำหรับเขาแล้วก็เป็นเหมือนขนนกชิ้นหนึ่งที่แตะลงมาบนร่างก็เท่านั้น อย่าว่าแต่ตำแหน่งตีนเขานี่เลย ต่อให้เป็นยอดเขาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไร้ซึ่งความกดดันใดๆ

เพียงแต่เห็นความหวังดีของคุณหนูห้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่กลัดกลุ้ม ต้องแสร้งทำเป็นว่ามีแรงกดดันเล็กน้อย ไม่ได้สบายตัวมากนัก ทั้งยังต้องหอบฮักๆ เป็นบางระยะ

เพราะอย่างไรซะทุกคนที่อยู่นอกพื้นที่บรรพชนก็ล้วนมองเห็นทุกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่แสร้งเล่นละครไปตามน้ำ แต่สายตากลับคอยมองไปยังเส้นทางที่ป๋ายฉีเลือกเดินเป็นประจำ

เห็นว่าป๋ายฉีเคลื่อนที่ไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งวาบ ประมาณการณ์ถึงช่วงเวลาที่ป๋ายฉีจะไปถึงยอดเขา

“น้องฮ่าว ฟังพี่สามสักคำ ป๋ายฉีผู้นั้น…เจ้าอย่าไปมีเรื่องด้วยเลย” สังเกตเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของป๋ายเหลยก็โชนแสงน้อยๆ อย่างที่จับสังเกตไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยเบาๆ

“เขาจะฆ่าข้าได้เลยหรือไง!” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองป๋ายเหลย บนใบหน้าก็พลันเผยความขุ่นเคือง

“น้องฮ่าวเอ๋ย ทำไมเจ้าถึงยังไม่เข้าใจอีกนะ ครั้งนี้วิญญาณคนฟ้าถูกกำหนดเป็นการภายในแล้วว่าต้องเป็นของป๋ายฉีผู้นั้น แค่นี้ก็เห็นได้ถึงความลำเอียงของท่านบุรพาจารย์ที่มีต่อเขาแล้ว หากเจ้ายังทำเหมือนเมื่อวาน เกรงว่า…จะนำภัยถึงตายมาสู่ตัวเอาได้นะ”

“เชื่อพี่สามเถอะ ต่อไปเจ้าจงไปหาป๋ายผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายกฎหมายบ่อยๆ มีท่านผู้อาวุโสอยู่ด้วย ต่อให้ป๋ายฉีคิดจะเล่นงานเจ้าก็ยังต้องคิดพิจารณาให้มาก…” ป๋ายเหลยพูดด้วยความปรารถนาดี มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาที่แฝงความหมายลึกล้ำ ทว่าในใจกลับหัวเราะเบาๆ รู้สึกว่าเมื่อวานป๋ายฮ่าวผู้นี้มองดูเหมือนจะพูดจาฉลาดหลักแหลม ทว่าในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่ยอมแพ้

คุณหนูห้าที่อยู่ข้างกันพอได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ฟังออกว่าภายนอกคำพูดของป๋ายเหลยดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับหวังจะให้ป๋ายฮ่าวและป๋ายฉีขัดคอกันเอง แต่เรื่องแบบนี้นางเองก็ไม่สะดวกจะเอ่ยปากจึงได้

แต่ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ในความรู้สึกของนาง คนทั้งตระกูลป๋ายล้วนมีความต้องการของใครของมัน ทั้งๆ ที่เป็นคนตระกูลเดียวกันแต่ภายในกลับแก่งแย่งชิงดีและทะเลาะวิวาทกันเอง

ตระกูลเช่นนี้ทำให้นางเหนื่อยล้า ขณะเดียวกันใจก็อยากจะหลีกห่างอยู่นานมากแล้ว สำหรับป๋ายฮ่าวผู้นี้ นางรู้สึกสงสารและเห็นใจเขาด้วยใจจริง ปกติอีกฝ่ายก็มีฐานะต่ำต้อยอยู่แล้ว ตอนนี้พอเปิดเผยความสามารถออกมาให้เห็นนิดหน่อยกลับยังมาเจอคนที่หวังหลอกใช้เขาอีก

เห็นว่าป๋ายเหลยทำท่าจะพูดต่อ คุณหนูห้าจึงกระแอมเบาๆ หนึ่งที

“ป๋ายฮ่าว เจ้าเห็นในวงแสงนั้นไหม มันมีกำไลอยู่วงหนึ่ง…น่าจะเป็นอาวุธชิ้นหนึ่งที่เหมาะสมกับเจ้า” คุณหนูห้าพูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กวาดสายตามองตามไปแล้วก็เห็นทันทีว่าตรงนั้นมีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่งที่ด้านบนวางกำไลสีเขียววงหนึ่งเอาไว้ มันแผ่คลื่นของอาวุธวิเศษออกมา แม้ว่าจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่กลับเหมาะให้สร้างฐานรากช่วงต้นนำมาใช้

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป มือขวาของคุณหนูห้าก็ทำมุทราทันใด ก่อนที่จะมีแสงสีเขียวเส้นหนึ่งลอยจากมือนางบินไปหาหินก้อนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก้อนนั้น เพิ่งจะเข้าไปใกล้ นอกก้อนหินก็มีวงแสงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นทันที

หลังจากที่สัมผัสเข้ากับแสงสีเขียวนี้ ม่านแสงนั้นก็แตกดังเปรี๊ยะ ถูกแสงสีเขียวลอดทะลุตรงเข้าไปหากำไลที่อยู่บนก้อนหินแล้วม้วนตลบมันเอาไว้ ก่อนจะกระชากกลับมาอย่างแรง กำไลมาตกอยู่ในมือของคุณหนูห้า หลังจากนางมองอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งมันให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรับกำไลไว้ มองมายังคุณหนูห้า นัยน์ตาของเขามีความอ่อนโยนวาบผ่าน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาคารวะขอบคุณ

“ขอบคุณพี่ห้า”

“รับไว้เถอะ มีพลังปกป้องตัวไว้มากหน่อยย่อมถือเป็นเรื่องดี ในตระกูลนี้…เจ้าเชื่อใจใครไม่ได้ทั้งนั้น” คุณหนูห้าเอ่ยเบาๆ ในสีหน้านั้นมีความระทมทุกข์เผยให้เห็น ก่อนที่นางจะโคลงศีรษะเบาๆ แล้วเดินนำหน้าไป

ป๋ายเหลยขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับการที่ตนถูกน้องห้าขัดจังหวะคำพูด แถมนางยังเอ่ยคำเตือนเช่นนั้นอีก แต่พอนึกได้ว่าน้องห้าผู้นี้โดดเด่นอย่างมากในตระกูล อีกทั้งสักวันหนึ่งยังต้องแต่งงานออกเรือนไปที่อื่น วันหน้าเกรงว่าตำแหน่งของนางคงไม่ธรรมดา นั่นถึงทำให้เขาขจัดความไม่สบอารมณ์ทิ้งไปแล้วแสร้งพูดคุยด้วยรอยยิ้มต่อราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ดูเหมือนคุณหนูห้าจะไม่ได้อารมณ์ดีเท่าใดนัก

นางแค่หันมารับคำของป๋ายเหลยบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ทว่าตลอดทางที่เดินมาขอแค่มองเห็นวัตถุที่จำเป็นสำหรับสร้างฐานราก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือวัตถุอื่นๆ นางก็จะเก็บเอามามอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเสมอ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้อาวุธมาครองแล้วถึงเจ็ดแปดชิ้น แม้แต่วิญญาณพยาบาทเองก็ยังได้มามายหลายพันดวง ทั้งยังมียาวิญญาณบางส่วนด้วย

ทุกอย่างนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ สายตาก็จ้องนิ่งไปยังคุณหนูห้า สามารถพูดได้ว่าคนผู้นี้คือคนที่สองในตระกูลป๋ายที่เขาให้การยอมรับ ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือเขามองออกว่าคุณหนูห้าผู้นี้ไม่ได้คาดหวังสิ่งใดจากตน เพียงแค่เห็นตนเป็นคนในตระกูลจึงเห็นใจกับสิ่งที่ป๋ายฮ่าวต้องเผชิญด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

และเขาก็มองออกว่าวัตถุหลายชิ้นบนภูเขาก็ไม่มีน้อยที่คุณหนูห้าต้องการ แต่เสียดายที่ตบะของนางไม่พอจะให้ช่วงชิงมา

แม้ว่าป๋ายเหลยก็ลงมืออยู่หลายครั้ง ทว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะลงมือเก็บมาก็ต่อเมื่อเจอของที่ตัวเองต้องการเท่านั้น แต่เหมือนจะรู้สึกได้ว่าน่าเกลียดจึงลงมืออยู่สองสามทีเพื่อเอายาวิญญาณไม่กี่เม็ดมามอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

รับของเหล่านี้มา ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไม่พูดไม่จา เดินตามคนทั้งสองไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงส่วนกลางของภูเขาแล้ว และเวลานี้เอง ป๋ายฉีที่อยู่บนเส้นทางของเขาก็ได้ขยับเข้าไปใกล้เขตยอดเขาแล้ว ตลอดทางเขาผ่านไปได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ราวกับแค่มาเป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น

“วิญญาณคนฟ้าถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นของข้า แน่นอนว่ามันย่อมเป็นของข้า!” ป๋ายฉีสูดลมหายใจเข้าลึก ที่เขาผ่านมาอย่างราบรื่นได้ตลอดทางขนาดนี้ก็เป็นเพราะเขารู้วิธีทำลายตราผนึกทุกอย่างบนเส้นทางมาก่อนแล้ว บิดาเป็นคนมอบให้กับเขาเอง เมื่อทำตามวิธีการเหล่านั้นเขาจึงแค่เผาผลาญพลังตบะไปเพียงไม่กี่มากน้อยก็มาถึงที่นี่ได้อย่างสบายๆ

ยามนี้ยืนอยู่บนยอดเขา เขายังถึงขั้นมองเห็นแท่นบูชารวมไปถึงวิญญาณคนฟ้าที่อยู่บนแท่นบูชานั่นแล้วด้วย ท่ามกลางความตื่นเต้น ดวงตาป๋ายฉีเผยความคาดหวัง ก่อนจะถอนสายตากลับมาจากแท่นบูชา มองไปยังตราผนึกจุดสุดท้ายที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง

ผ่านตรงนี้ไปเขาก็สามารถเหยียบขึ้นไปบนแท่นบูชา คว้าเอาวิญญาณคนฟ้ามาครองได้แล้ว!

“นี่คือตราผนึกชั้นสุดท้าย และก็เป็นชั้นที่ทรงพลังมากที่สุด จำเป็นต้องมีสายเลือดตระกูลป๋ายเท่านั้นถึงจะฝ่าไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น…ยังดีที่ข้าเองก็มีการเตรียมการมาก่อนแล้ว!”

“รอข้าได้วิญญาณคนฟ้ามาเมื่อไหร่ ข้าก็จะฆ่าเจ้าป๋ายฮ่าวนั่นซะ!” ป๋ายฉีหัวเราะเสียงเย็น แล้วจึงกรีดนิ้วของตัวเอง ใช้เลือดสดไปสัมผัสเข้ากับตราผนึกเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็หยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของ ก่อนจะบีบมันจนแตกละเอียด ทันใดนั้นในขวดหยกนี้ก็มีเลือดสดหยดหนึ่ง…หยดออกมา!

เลือดสดนี้มาจากบุรพาจารย์คนฟ้า ใช้สายเลือดบริสุทธิ์ของบุรพาจารย์คนฟ้ามาเปิดผนึกแห่งนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา

และขณะที่ป๋ายฉีขึ้นไปถึงยอดเขา กำลังเปิดตราผนึกออกนั้น คนในตระกูลไม่น้อยที่อยู่บนภูเขาต่างก็มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ท่ามกลางความรู้สึกซับซ้อนสับสน พวกเขาก็ได้แต่ถอนใจด้วยความปลงตก ในใจเจ็บร้าวเพราะริษยา ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้

ส่วนนอกพื้นที่บรรพชน คนในตระกูลป๋ายที่อยู่รอบประตูหินก็มองเห็นภาพทั้งหมดนี้เช่นกัน พวกเขาพากันจ้องมองนิ่ง ประมุขตระกูลป๋ายก็ยิ่งหน้าตายิ้มแย้ม ทว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับมีท่าทีเฉยเมย เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้มาก่อนแล้วว่าการประลองครั้งนี้จัดขึ้นแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น

ฮูหยินไช่ที่เดิมทีควรถูกจับคุมขังก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย นางมองเห็นภาพบนประตูหินก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกัน

การกระทำของป๋ายฉี ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ความสนใจมากที่สุด รอจนเขามองเห็นว่าป๋ายฉีเริ่มทำลายตราผนึกสายเลือดบนยอดเขา เขาจึงชะงักฝีเท้า สายตาเผยความลึกล้ำขึ้นมาทันใด

“พี่หญิงห้า ขอบคุณที่ท่านดูแลข้ามาตลอดทาง ข้าไม่มีสิ่งใดมาตอบแทน หากจะเอาของวิเศษเกินครึ่งบนภูเขานี้มามอบให้ท่านก็กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายท่านทางอ้อม ท่านพูดมาเถอะว่าท่านต้องการอะไร…ขอแค่ข้าทำได้ ข้าก็พร้อมจะทำให้” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองคุณหนูห้า

บัดนี้บนร่างเขาคล้ายมีพลังพิเศษระลอกหนึ่งระเบิดออกมาจากภายในอย่างต่อเนื่อง ดวงตาทั้งคู่ของเขาไม่หม่นมัวอีกต่อไป แต่กลับฉายแสงคมกริบ แม้ว่าเงาร่างของเขาจะไม่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ ทว่าในด้านความรู้สึกกลับเหมือนว่าอยู่ๆ เขาก็พลันยิ่งใหญ่ขึ้นมา

ประหนึ่งว่าก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่ภูเขาเล็กเตี้ย ทว่าบัดนี้กลับกลายมาเป็นขุนเขาใหญ่โตสูงตระหง่านเสียดฟ้า!!

เหมือนว่าเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะสามารถเขย่าคลอนฟ้าดิน ทำให้ภูเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเปลี่ยนมาเป็นเล็กเตี้ย ความว่างเปล่ารอบด้านก็ยิ่งบิดเบือนราวกับมีหลุมดำหลุมหนึ่งที่เขมือบกลืนโลกใบนี้ไปได้!

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เร็วจนไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน ต่อให้เป็นคุณหนูห้าและป๋ายเหลยเองก็ยังอึ้งงัน

“เจ้า…” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเหลยหดตัวเข้าหากันทันใด หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงบารมีน่าเกรงขามไม่ต่างจากตอนที่ได้เห็นผู้อาวุโสใหญ่ อีกทั้งยังทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว โดยเฉพาะสายตาของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้ป๋ายเหลยที่มองดูอยู่เกิดเสียงดังอึงอลขึ้นในสมอง

คุณหนูห้าลมหายใจชะงักค้าง เบิกตากว้าง มองอึ้งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน งงงันไปกับคำพูดของเขาอย่างสิ้นเชิง

“พี่หญิงห้า ท่านอยากได้สิ่งใด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองนิ่งไปยังคุณหนูห้า ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ อีกครั้ง

หน้าอกของคุณหนูห้ากระเพื่อมขึ้นเพราะการสูดลมหายใจ และก็เหมือนจะเข้าใจอะไรได้แล้ว ร่างของนางจึงสั่นไหวน้อยๆ ทว่าดวงตากลับฉายแสงเจิดจ้า ก่อนที่นางจะยกยิ้มบางๆ

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าจะช่วงชิงของเกินครึ่งบนภูเขาแห่งนี้มามอบให้ข้า เจ้ากล้าเอามา…แล้วมีหรือที่ข้าจะไม่กล้ารับ?!”

“ดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเช่นนั้นก็มองคุณหนูห้าด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้งแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version