บทที่ 610 หนีออกจากตระกูลป๋าย
บุรพาจารย์คนฟ้าลงมือแต่กลับยังมิอาจรั้งตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ได้ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้คนตระกูลป๋ายอึ้งค้างไปอย่างสมบูรณ์แบบ พวกผู้อาวุโสสายหลักและประมุขตระกูลป๋ายต่างก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ นี่มันอยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเก่งกาจมาก ทว่าเขาก็แค่รวมโอสถ เมื่อเจอบุรพาจารย์คนฟ้าลงมือ ต่อให้ไม่ได้มาเองตัวเป็นๆ แต่ใช้แค่เวทอภินิหารอย่างหนึ่งเท่านั้น ทว่าจะอย่างไรนั่นก็คือ…บุรพาจารย์คนฟ้า!!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองไม่เห็นนาทีที่ร่างจำแลงทั้งสามของป๋ายเสี่ยวฉุนปะทะกับมือใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบนั่น
ยามนี้เมื่อเห็นว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังพร่าเลือนไปอย่างรวดเร็วและกำลังจะจางหายไป ในห้องลับของตำหนักใต้ดิน บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายก็มีสีหน้ามืดคล้ำ นัยน์ตาเผยแสงเย็นเฉียบ ยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง เมื่อยกขึ้นร่างของเขาก็พองตัวอย่างเห็นได้ชัดคล้ายว่าเรือนกายที่แห้งเหี่ยวได้กลับคืนมามีเลือดเนื้อดั่งคนปกติ
โดยเฉพาะมือขวาของเขาที่ยิ่งแผ่พลังห้วงมิติบิดเบือนออกมาเป็นระลอกทำให้นภากาศเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นประหนึ่งฟ้าดินจะพังถล่มลงมา และมือนั้นก็เอื้อมคว้าเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
ทว่าไม่นานหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนสี มือที่เอื้อมไปไม่ได้หันหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่หันไปคว้าท้องฟ้าที่ว่างเปล่าแทน!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่บุรพาจารย์คนฟ้าคว้าจับไปที่นภากาศ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าตลอดทั้งฟากฟ้าได้กลายมาเป็นสีแดงฉาน เวลาแค่พริบตาเดียวก็มีฝนไฟเป็นสายเทกระหน่ำลงมา!
นั่นคือ…ฝนไฟสิบสองสี!!
ฝนไฟนี้กรูกระหน่ำลงมาด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้คนตระกูลป๋ายล้วนอึ้งงัน ร้องอุทานเสียงหลงทันทีทันใด
“ฝนไฟ!!”
“คือป๋ายฮ่าว ฝนไฟคราวก่อนคือฝีมือเขา!!” พอนึกถึงว่านั่นคือฝนไฟสิบสองสี ทุกคนก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะเมื่อฝนไฟเหล่านี้สาดเทลงมา อุณหภูมินั้นก็ยิ่งร้อนระอุดั่งลาวาที่ไหลริน ทำให้ตลอดทั้งฟ้าดินกลายมาเป็นเหมือนเตาหลอมใบหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ค่ายกลใหญ่ปรากฏเป็นรอยปริแตก แม้ว่าจะกำลังประสานตัวอย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่าเร็วสู้ฝนไฟที่ตกลงมาไม่ได้ และดูเหมือนค่ายกลจะไม่มีประสิทธิผลสามารถสกัดกั้นมันไว้ข้างนอกได้อย่างคราวก่อน เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ขอแค่ฝนไฟร่วงลงมา มันก็จะรั่วมาตามรอยปริแล้วเยื้องกรายลงมายังตระกูลป๋ายทันที!
และหากมันตกลงมาเมื่อไหร่…
ฐานที่ตั้งของตระกูลป๋ายที่เจอเข้ากับไฟสิบสองสีก็ต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง ต่อให้บุรพาจารย์คนฟ้าลงมือตอนนั้น ทว่าเขาคนเดียว ยังไงก็ช่วยคนไม่ได้ทุกคน…
นอกเสียจากว่าจะสามารถสกัดกั้นฝนไฟนี้ไว้ให้อยู่ภายนอกก่อนที่มันจะร่วงลงมา!
นี่คือสิ่งที่ต้องเลือก จะรั้งตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ หรือว่าดับไฟบรรลัยกัลป์ สองเรื่องนี้สำหรับคนฟ้าแล้วไม่ว่าเรื่องไหนก็ล้วนสามารถทำได้ แต่หากทำไปพร้อมๆ กัน…ต้องเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน!
การเลือกของบุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายก็คือดับฝนไฟ นาทีที่มือข้างนั้นของเขาเอื้อมคว้าไป ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ที่ราวกับบดบังท้องฟ้าได้ก็มาปรากฏอยู่กลางอากาศของตระกูลป๋าย แล้วคว้ากำไปยังฝนไฟที่ตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างแรง!
ระหว่างขั้นตอนที่คว้าไปมือใหญ่นั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เวลาแค่พริบตาเดียวมันก็ใหญ่มหึมาจนถึงระดับที่ยากจะบรรยาย ใหญ่มากพอแสนจั้ง ท่ามกลางเสียงอึกทึก มือข้างนั้นก็คว้าไปยังเมฆแดงฉานกลางอากาศซึ่งพื้นที่นั้นมีร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนรวมอยู่ด้วย
เห็นได้ชัดว่าบุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายผู้นี้ยังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกักตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไว้
ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่รวมโอสถทั่วไป เขาสร้างฐานรากวิถีฟ้า ยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า ทั้งยังมีร่างจำแลงคนฟ้าสามร่าง ความแข็งแกร่งของพลังในการสู้รบของเขาเหนือล้ำเกินกว่าขีดจำกัดของรวมโอสถตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะสังหารก่อกำเนิดช่วงต้นสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย!
ต่อให้เป็นก่อกำเนิดช่วงกลางก็ยังมากพอจะต่อสู้ด้วยได้ วินาทีที่แตะโดนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ผนึกมิวางวายได้พาร่างของเขาย้ายออกไปนอกตระกูลป๋ายแล้ว!
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง เมฆไฟบนนภากาศถูกมือใหญ่กำเอาไว้ จากนั้นจึงระเบิดออกทันที แม้แต่ฝนไฟพวกนั้นก็ยังสลายหายไปเกลี้ยงเพราะเมฆไฟที่แตกสลาย…
ในตำหนักใต้ดิน บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลป๋ายสีหน้ามืดทะมึนไม่น่ามอง เขามองไกลๆ ไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เท้าขวาของเขายกขึ้นคล้ายจะไล่ตามไปโจมตีด้วยตัวเอง แต่พอก้มหน้าลงมองเทียนเจ็ดเล่ม (ตอนแรกผู้แต่งเขียนว่าเทียนเก้าเล่ม แต่ตอนหลังมาเปลี่ยนเป็นเทียนเจ็ดเล่มนะคะ) ที่มีเปลวไฟสีเขียวลุกไหม้ เขาก็จำต้องกัดฟันข่มกลั้นเอาไว้
“ไฟเจ็ดชีวิตเชื่อมใจดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว จะจากไปง่ายๆ ไม่ได้…” เมื่อได้ใคร่ครวญ บุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกลับลงไปนั่งขัดสมาธิอีกครั้ง ก่อนจะออกคำสั่งให้กับคนตระกูลป๋ายที่อยู่ข้างนอก
“จงนำตราแห่งจิตของข้าโดยสารเรือลำนี้ไป ต้องหาร่องรอยของป๋ายฮ่าวให้เจอ มากสุดคือเจ็ดวัน เจอแล้วจงจับตัวเขาเป็นๆ มาให้ข้า!” บุรพาจารย์คนฟ้าถ่ายทอดข้อความเสียงให้ดังมาเข้าหูของพวกผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลป๋าย ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างก็ตัวสั่น ก้มหน้าคารวะ ขณะเดียวกันในสมองของพวกเขาก็มีตราประทับหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ตราประทับนี้สามารถช่วยให้พวกเขารู้ถึงทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหนีไปแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่บุรพาจารย์คนฟ้าลงมือก็ได้ทิ้งตราประทับนี้ไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งมันทำให้เขารู้ถึงตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านตราแห่งจิตนี้
นอกจากตราแห่งจิตแล้วก็ยังมีเรือวิญญาณอีกเก้าลำที่ลอดผ่านตำหนักใต้ดินขึ้นมารวมตัวกันอยู่กลางอากาศ นี่คือวิธีการของบุรพาจารย์คนฟ้า ความเร็วของเรือวิญญาณนี้เทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ
ประมุขตระกูลป๋ายตัวสั่นเยือก เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เผยไอสังหารอย่างรุนแรง ในใจบ้าคลั่ง แต่กลับไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของบุรพาจารย์ บุรพาจารย์บอกว่าให้จับเป็น นั่นก็คือจับเป็น แต่เขาคิดไว้เรียบร้อยแล้ว แม้จะจับเป็นมาให้ แต่การทรมานก่อนจะเดินทางมาถึงย่อมขาดไม่ได้อย่างแน่นอน เขาต้องให้เจ้าลูกทรยศป๋ายฮ่าวรู้ว่าอะไรคือคำว่าเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่!!
ยามนี้เขาจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เมื่อเหยียบลงไปบนเรือวิญญาณลำหนึ่งแล้วเขาก็ยกมือขวาขึ้นคว้าจับไปทางศาลบรรพชนผ่านอากาศ
“บุรพาจารย์โปรดประธานผ้าใบความเร็วให้แก่ข้า แล้วข้าจะจับเจ้าลูกทรยศกลับมาให้ท่านแน่นอน!”
“อนุมัติ!” เมื่อเสียงทุ้มหนักดังออกมาจากในตำหนักใต้ดิน กลางศาลบรรพชนก็มีแสงสีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งทะยานออกมา นั่นคือผ้าใบเรือผืนเล็กๆ ผืนหนึ่งซึ่งตรงเข้าหาฝ่ามือที่เอื้อมคว้าของประมุขตระกูลป๋าย
“เจ้าลูกทรยศ ต่อให้เจ้าหนีไปไกลแค่ไหนก็หนีไม่พ้น!” ประมุขตระกูลป๋ายสีหน้าดุร้าย ก่อนที่เขาจะบินทะยานออกไปไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนแรก
ฮูหยินไช่ที่อยู่ในกลุ่มคนตัวสั่นเทิ้ม ในใจนางเต็มไปด้วยความเศร้าอาดูรระคนเจ็บแค้น ขณะเดียวกันก็มีความอำมหิตร้ายกาจอย่างมิอาจบรรยายรวมอยู่ด้วย
“ป๋ายฮ่าวเจ้าสวะต่ำช้า ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น! ข้าจะเอาเนื้อเจ้าโยนให้หมามันกิน ดึงวิญญาณของเจ้ามาทรมานไปทุกภพทุกชาติ!!”
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนหนีไป เมื่อคนของอีกสองตระกูลใหญ่และทูตจากนครผียักษ์จากไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในตระกูลป๋ายจึงไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้อีก พอจะจินตนาการได้ว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เรื่องนี้คงแพร่ไปทั่วทุกขั้วอิทธิพลที่อยู่ในขอบเขตของนครผียักษ์
สำหรับตระกูลป๋ายแล้วเรื่องแบบนี้ถือเป็นความอัปยศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าพวกผู้อาวุโสสายรองจำต้องออกไปไล่ล่าป๋ายเสี่ยวฉุนตามคำสั่งของบุรพาจารย์ ทว่าคนส่วนใหญ่มักจะทำเรื่องนี้แบบขายผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น
ทว่า…สายหลักของตระกูลป๋ายกลับมีไอสังหารพวยพุ่งเทียมฟ้า คนที่ลงมือได้ก็ถูกระดมพลมาแทบทั้งหมด พวกเขากระจายตัวกันไปตามหาร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุน และหากหาเจอเมื่อไหร่ก็จะต้องถ่ายทอดข้อความเสียงบอกกล่าวกันทันทีเพื่อที่ว่าผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ของสายหลักจะตามไปทันในเวลาที่สั้นที่สุด
พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องจับตัวป๋ายฮ่าวให้ได้ภายในเจ็ดวัน อีกทั้งยังต้องระงับไม่ให้เรื่องนี้แตกหน่อแพร่ไปทั่วก่อนที่จะมีคนรู้กันไปมากกว่านี้ด้วย!
ขณะที่คนตระกูลป๋ายออกมาตามล่าป๋ายเสี่ยวฉุน กลางป่าลึกที่ห่างจากตระกูลป๋ายไประยะหนึ่ง บัดนี้ความว่างเปล่าบิดเบือน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนประกอบตัวกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินโซเซออกมาสองสามก้าวเขาก็กระอักเลือดออกมาจากปากหนึ่งคำ
“ดูถูกคนฟ้านั่นเกินไปซะแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขาหน้าซีดเผือด ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตระกูลป๋ายเขาแสร้งทำอวดเก่งไปอย่างนั้นเอง ตอนนี้รอบด้านไม่มีใครอยู่ มีแค่ตัวเองคนเดียว เขาถึงได้เผยความหวาดกลัวออกมา
สูดลมคำใหญ่หลายครั้งติดต่อกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงปาดคราบเลือดตรงมุมปากทิ้ง เมื่อหันไปมองรอบด้านแล้วย้อนนึกถึงภาพก่อนหน้านี้เขาก็ยังหวาดผวาไม่คลาย รู้สึกว่ายังดีที่ตนเก็บเอาชีวิตน้อยๆ นี่มาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณครึ่งเทพที่เตรียมไว้
“เจ้าบ้าเอ๊ย ต่อไปจะวู่วามแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ…ไม่มั่นคงเอาซะเลย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวยิ้มเจื่อน ตอนแรกที่เขาไปตระกูลป๋ายก็รู้สึกได้ว่าเหมือนตัวเองจะใจกล้ากว่าในอดีตไม่น้อย
ตอนนี้ในใจจึงรีบแก้ไขความผิดพลาดให้ตัวเองทันที…
“ฟ้าดินกว้างใหญ่ ชีวิตน้อยๆ ของตัวเองต่างหากที่ใหญ่สุด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบึ้งตึง นึกถึงว่าเพื่อให้ตัวเองหนีออกมาได้อย่างราบรื่น ตนต้องเตรียมการมากมาย ตะปูวิญญาณร้ายเอย ยันต์นำส่งเอย ผนึกมิวางวายเอย ทั้งยังมีเวทลับฝนไฟ แถมยังคำนวณเวลาไว้ดิบดี ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้กว่าที่เขาจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ก็ยังหวุดหวิดเต็มที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าต้องจำบทเรียนครั้งนี้ไว้ให้แม่นนะ ต่อไปหากเจอเรื่องทำนองนี้อีกต้องเตรียมวิธีการรับมือให้มากกว่านี้ถึงจะได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาเหล้าวิเศษในถุงเก็บของที่เหลืออีกไม่มากออกมาดื่มรวดเดียว ฟื้นฟูตบะของตัวเองพลางหยิบเอาแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงให้กับโจวอีซิงและหลี่เฟิง บอกให้พวกเขารอตนในสถานที่ที่กำหนดไว้
คนทั้งสองนี้ถือว่ามีส่วนร่วมกับหายนะครั้งนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างให้กับตระกูลป๋ายทางอ้อม บวกกับการแสดงออกของพวกเขาก่อนหน้านั้น แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้สึกว่าพวกเขาพอจะเชื่อใจได้ แต่ยังไงก็ต้องระวังไว้ก่อน จึงไม่ได้คิดจะไปหาคนทั้งสองจริงๆ
ยามนี้เมื่อก้มหน้าลง เขามองเห็นวิญญาณดินคนฟ้าในถุงเก็บของ ดวงตาก็ฉายประกายเร่าร้อน