บทที่ 615 จับเป็น
เขตแดนธาราคือวิชาอภินิหารที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบรรลุตอนอยู่ในสำนักธาราเทพ และจนถึงตอนนี้สัตว์แห่งชะตาชีวิตของเขาก็ยังไม่เปิดเผยให้เห็นเต็มตัวเสียที หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผสานรวมวิญญาณคนฟ้าจนมีร่างจำแลง จากที่อดีตมีแต่หนามแหลมโผล่ออกมา ตอนอยู่ต่อหน้าสตรีธุลีแดง มันเคยโผล่กรงเล็บออกมาให้เห็น!
ทว่าตอนนี้กรงเล็บที่โผล่ออกมากลับมีขนาดใหญ่กว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเผชิญหน้ากับสตรีธุลีแดงมากนัก พลังอำนาจมีมากจนทำให้ปณิธานแห่งสวรรค์พร่าเลือน แม้ว่ากรงเล็บที่ยกขึ้นมานั้นจะยังเผยให้เห็นเพียงเล็บที่โค้งงอแต่คมกริบ ทว่าเบื้องใต้เล็บนี้กลับสามารถมองเห็นการดำรงอยู่ของบางอย่างที่ใหญ่โตเหมือนผืนแผ่นดินดำสนิท!
พื้นดินที่ดำมะเมื่อมนั้นอันที่จริงไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็น…ฝ่ามือที่อยู่ใต้เล็บของสัตว์แห่งชะตาชีวิตป๋ายเสี่ยวฉุน!
จินตนาการไม่ออกเลยว่าหากฝ่ามือนี้เผยให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบจะน่าเหลือเชื่อขนาดไหน ยามนี้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาเขาเผยความปรารถนาอย่างรุนแรง เขาปรารถนาให้วันหนึ่งที่ร่ายวิชาเขตแดนธาราแล้วสัตว์แห่งชะตาชีวิตของเขาจะเยื้องกรายลงมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“แค่…แค่กรงเล็บนี้เผยตัวอย่างสมบูรณ์แบบก็ได้แล้ว…”
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัวจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เขาลองคิดดูว่าหากมีวันที่กรงเล็บนี้โผล่ออกมาทั้งหมดจริงๆ ถ้าเช่นนั้นมันก็ต้องสามารถบดบังนภากาศ เข้ามาแทนที่ได้อย่างมิดแม้น และเมื่อมันร่วงลงมา ต่อให้เป็นถึงคนฟ้าก็ยังต้องรู้สึกสิ้นหวังเพราะพลานุภาพดั่งฟ้าถล่มลงมากดทับนี้อย่างแน่นอน
“ต้องมีวันนั้นแน่!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความคาดหวัง กรงเล็บที่ยกขึ้นมานี้ก็พลันตบลงไปยังประมุขตระกูลป๋าย
พลังอำนาจเกรียงไกรจนเริ่มมองเห็นลางที่ท้องฟ้าจะบดทับลงมาจริงๆ เมื่อประมุขตระกูลป๋ายมองไป ท้องฟ้านั้นก็ได้ถูกแทนที่ด้วยยอดเขาโค้งงอห้าลูก เมื่อมันพุ่งดิ่งลงมาดังครั่นครืน ดวงตาของเขาก็เผยความสิ้นหวัง
“ไม่!!!” ท่ามกลางความไม่ยินยอม ความสิ้นหวัง ความบ้าคลั่ง ประมุขตระกูลป๋ายร้องคำรามแหบโหยดิ้นรนสุดชีวิต หัวกะโหลกที่แปรมาจากหมอกวิญญาณซึ่งเป็นท่าไม้ตายของเขาก็พลันเงยขึ้นปะทะกับภูเขากรงเล็บสัตว์ที่พุ่งดิ่งลงมา หมายสกัดกั้นอย่างเต็มกำลังโดยไม่เสียดายค่าตอบแทนใด
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหวทำให้ฟ้าดินคล้ายสูญเสียปราการทั้งหมดกลายมาเป็นเหมือนกระดาษเปราะบางที่ถูกฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย เสียงร้องโหยหวนของประมุขตระกูลป๋ายดังรวดร้าวเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เมื่อกรงเล็บนั้นร่วงลงมา ทุกอย่างก็ล้วนถูกกลบทับไว้ภายใต้เสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้า
พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่เนิ่นนาน เมื่อกรงเล็บหายวับไป เมื่อบึงน้ำหมื่นจั้งจางหาย เมื่อฝุ่นผงคละคลุ้งที่บดบังเส้นสายตาก็สลายไปด้วย บนพื้นดินเผยก็ให้เห็นรอยประทับฝ่ามือห้านิ้วที่จมลึกลงไป!
ในตรงกลางรอยลึกนั้นมีคนผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ มุมปากของเขามีเลือดไหลซึม กระดูกตลอดทั้งร่างไม่รู้ว่าแหลกละเอียดไปแล้วมากน้อยแค่ไหน หากไม่เห็นว่าตรงหน้าอกยังกระเพื่อมแผ่วเบา เกรงว่าคนที่เห็นคงเข้าใจว่านั่นคือซากศพไปแล้ว
นั่นก็คือประมุขตระกูลป๋าย เมื่อเจอกับเขตแดนธาราในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนของป๋ายเสี่ยวฉุน ประมุขตระกูลป๋ายก็ยังมิอาจหนีพ้น แต่อย่างไรซะเขาเองก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งเขตก่อกำเนิดช่วงกลาง และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่ได้เป็นนักพรตก่อกำเนิด แม้พลังในการต่อสู้จะเก่งกล้า แต่กลับไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายให้วอดวายได้เพียงการโจมตีครั้งเดียว
ทว่าเมื่อเจอกับวิชาอภินิหารอย่างเขตแดนธารา ประมุขตระกูลป๋ายผู้นี้ก็ยังบาดเจ็บสาหัส หายใจรวยริน แต่เขาก็ยังอาศัยตบะและพลังชีวิตที่แข็งแกร่งของตัวเองพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสน แต่กลับค้นพบอย่างน่าเศร้าว่ากระดูกตลอดทั้งร่างของตนแหลกสลายไปไม่น้อย ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ตอนนี้ก็ได้แต่จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง หัวเราะขื่นอยู่กับตัวเอง ความเคียดแค้นในดวงตาเข้มข้นจนไร้คำบรรยาย
“เจ้าลูกทรยศ หากเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าซะสิ!!” ประมุขตระกูลป๋ายหอบหายใจอย่างยากลำบาก เสียงคำรามเดือดดาลตอนนี้ก็แผ่วเบาอย่างยิ่ง ความเจ็บแค้นในใจของเขาเหมือนมหาสมุทรใหญ่ที่กลบทับตัวเขาเอง เขาไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้จะเป็นป๋ายฮ่าวจริงๆ แต่เขาก็จินตนาการไม่ออกว่าหากอีกฝ่ายไม่ใช่ป๋ายฮ่าว แล้วเหตุใดค่ายกลของตระกูลถึงตรวจสอบไม่เจอ
อีกอย่างเขาก็รู้จักบุรพาจารย์คนฟ้าเป็นอย่างดี เขามองออกจากคำพูดของบุรพาจารย์คนฟ้าว่าต่อให้เป็นอีกฝ่ายก็ยังเหมือนจะมองไม่ออกถึงเส้นสนกลในจากตัวของป๋ายฮ่าว
“หรือว่า เขาคือป๋ายฮ่าวจริงๆ …” ในใจของประมุขตระกูลป๋ายเต็มไปด้วยความสงสัย ตอนนี้คำตอบคืออะไรเขาไม่สนใจอีกแล้ว ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ หากเป็นไปได้ เขาก็จะสังหารอีกฝ่ายให้สิ้นซากโดยไม่มีลังเล
“อยากตายงั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบฝุ่นบนร่างของตัวเองออก ขยับร่างหนึ่งครั้งร่างจำแลงทั้งสี่ที่อยู่รอบกายเขาก็กลายมาเป็นแสงไฟที่หายวับเข้าไปในร่าง
จากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เดินเอื่อยเฉื่อยมาหยุดอยู่ข้างกายประมุขตระกูลป๋าย เดินวนรอบร่างของอีกฝ่ายรอบหนึ่งจนแน่ใจว่าประมุขตระกูลป๋ายบาดเจ็บหนักจนขยับตัวไม่ได้จริงๆ เขาถึงได้ย่อตัวลงไปแล้วตบผลัวะไปที่ศีรษะของประมุขตระกูลป๋าย ถลึงตาดุดัน กล่าวข่มขู่เสียงเหี้ยม
“ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย!”
“เจ้า!!” ประมุขตระกูลป๋ายเบิกตากว้าง ความเดือดดาลของเขาที่เดิมทีสูงเสียดฟ้ามาบัดนี้ได้ทะลุฟ้าออกไปแล้ว ในสายตาของเขาการกระทำเช่นนี้ก็คือความเนรคุณอย่างสูงสุด สร้างความอับอายหยามหมิ่นตนเข้าไปอีก ความรู้สึกที่ว่าก่อนหน้านี้ตนกับอีกฝ่ายคือฟ้ากับเหว แต่ตอนนี้สลับมาเป็นตนคือเหว อีกฝ่ายคือฟ้าทำให้เขาโกรธจนแทบบ้า
“เจ้าลูกทรพี เจ้าลูกทรพี!!” ประมุขตระกูลป๋ายโกรธจนร่างแทบจะระเบิด พอกระอักเอาเลือดที่คั่งอยู่ในใจออกมาได้ก็หมดสติไปทันที
“เอ่อ…ข้าแค่ตบเบาๆ เองนะ ไม่ได้ออกแรงเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ครุ่นคิดว่าอย่างไรซะอีกฝ่ายก็คือบิดาของป๋ายฮ่าว หากฆ่าอีกฝ่ายได้ด้วยวิชาอภินิหารอย่างเขตแดนธาราก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากตนฆ่าอีกฝ่ายจริงๆ ก็เหมือนว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อีกอย่างประมุขตระกูลป๋ายที่มีชีวิตอยู่ก็ย่อมมีประโยชน์กว่าประมุขตระกูลป๋ายที่ตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลอกตาหนึ่งที
“เอาเถอะๆ ข้าเองก็ไม่ใช่พวกที่ชอบการรบราฆ่าฟัน ประมุขตระกูลป๋ายผู้นี้ยังมีประโยชน์อีกมาก…เอามาใช้เป็นยันต์ป้องกันตัวเองก็เหมือนว่าจะไม่เลวแหะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็กระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง มือทั้งคู่ทำมุทราตบสะเปะสะปะไปทั่วร่างของประมุขตระกูลป๋ายทันที หลังจากสร้างตราผนึกนับร้อยไว้ในร่างอีกฝ่ายแล้วเขาก็ยังรู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงหยิบเอายาบางส่วนมากรอกใส่ปากประมุขตระกูลป๋าย…
นั่นถึงทำให้เขาวางใจได้แล้วจึงหยิบเอาถุงเก็บของของประมุขตระกูลป๋ายมาครอง จากนั้นเขาก็เจอเชือกแน่นหนาเส้นหนึ่ง พอผสานรวมคาถาเข้าไปก็ทำให้เชือกเส้นนี้ทนทานอย่างถึงที่สุด ก่อนที่เขาจะรัดพันเชือกไปรอบร่างของประมุขตระกูลป๋ายแล้วหิ้วอีกฝ่ายขึ้นมา
“ฮ่าๆ มียันต์ป้องกันกายชิ้นนี้อยู่ อยากจะรู้นักว่าใครในตระกูลป๋ายจะยังกล้าลงมือกับข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างถึงที่สุด เขารู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก แม้แต่เรื่องยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างนี้ก็ยังคิดออก
“น่าเสียดายที่ตาแก่นี่เป็นก่อกำเนิดช่วงกลาง วิชาการค้นวิญญาณของข้าใช้ไม่ได้ผลนัก แต่การที่เขาสามารถหาข้าเจออย่างแม่นยำก็แสดงว่าต้องมีตราผนึกที่เป็นเหมือนการนำทางทำให้รู้ตำแหน่งของข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด พอนึกถึงการลงมือที่บุรพาจารย์คนฟ้ามีต่อตนก่อนหน้านี้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เปล่งวาบ
“น่าจะเป็นตอนนั้นที่เขาทิ้งตราประทับไว้กับข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำใบหน้าตัวเอง ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าถึงแม้หน้ากากของตนจะร้ายกาจ สามารถอำพรางหน้าตาและปราณของตนได้ ทว่าสำหรับตราผนึกที่มาจากภายนอกกลับยากที่จะลบเลือนไปได้
“จะเท่าไหร่กันเชียว หากให้ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนให้กำลังใจตัวเอง ข่มกลั้นความหวาดผวาเอาไว้แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหยียบขึ้นไปกลางนภากาศ ท่ามกลางการเคลื่อนหน้าไปนี้ เขาจะคอยหันมามองประมุขตระกูลป๋ายที่ถูกตนล่ามแล้วห้อยไว้ด้านหลังเหมือนแบกว่าวเป็นระยะ
“หากวิญญาณป๋ายฮ่าวยังอยู่คงไม่น่าจะไม่พอใจหรอกกระมัง ข้าเป็นอาจารย์ของเขานี่นา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เพิ่มความเร็วห้อทะยานออกไป
ลมรุนแรงที่พัดผ่านใบหน้าของประมุขตระกูลป๋ายทำให้เขาฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว พอมองเห็นสภาพของตัวเอง ประมุขตระกูลป๋ายก็ร้องโหยหวน ดวงตาเผยความอำมหิต ด่ากราดสาปแช่งป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุด
“เจ้าคนสารเลว เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจแม้แต่น้อย ยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน ในสามวันนี้เสียงแหบพร่าของประมุขตระกูลป๋ายยังคงสบถก่นด่าไม่หยุด
พอถึงท้ายที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
“หุบปาก ตาแก่นี่พร่ำพูดไม่แล้วไม่เลิกเสียที หากยังพูดมากอีก ข้าจะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปด่าด้วยความแค้นเคือง
“ฆ่าข้าซะสิ!!” ประมุขตระกูลป๋ายทำหูทวนลม เอาแต่จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ตะเบ็งเสียงแหบแห้งใส่หน้าอีกฝ่าย
“วางใจเถอะ นายท่านอย่างข้าไม่สังหารเจ้าหรอก ต่อไปหากเจ้ายังพ่นคำออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ นายท่านจะลอกคราบเจ้าให้เกลี้ยง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ พอคำพูดนี้ของเขาดังจบ ประมุขตระกูลป๋ายก็พลันถลึงตาค้าง หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงแผ่วเบาพลันเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น ใบหน้าแดงก่ำ อ้าปากพะงาบๆ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
เขาดูออกว่าคำพูดนี้ของเจ้าลูกทรพีไม่ใช่คำขู่ แต่อีกฝ่ายสามารถทำได้จริงๆ พอนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายเปลื้องผ้าตนออกจนหมดแล้วมัดตนไว้อย่างนี้ เขาก็รู้สึกถึงความอัปยศอย่างใหญ่หลวง นี่ทำให้เขาหวาดกลัวผิดปกติจนตัวสั่นเทิ้มทันทีทันใด
พอเห็นว่าคำขู่นี้ได้ผล ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเจิดจ้า หัวเราะสมใจ สายตากวาดไปทั่วร่างของประมุขตระกูลป๋ายด้วยเจตนาชั่วร้าย สายตานี้ทำเอาประมุขตระกูลป๋ายตัวสั่น ขณะเดียวกันความเดือดดาลก็พลุ่งพล่าน ทว่ากลับจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ ความขมขื่นและความแค้นเคืองอย่างบ้าคลั่งในใจแทบจะเผามอดไหม้ตัวเขาเต็มทีแล้ว
เพียงแต่…เขาไม่กล้าท้าทายอีกฝ่าย ตัวเขาเป็นถึงประมุขตระกูลป๋าย หากถูกทำอย่างนั้นเข้าจริงๆ ถ้าเช่นนั้นหากแค่ตายก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่พอตายไปแล้วคงไม่แคล้วต้องกลายมาเป็นตัวตลกของทั้งตระกูลป๋ายและทั่วขอบเขตอิทธิพลนครผียักษ์ หรืออาจแพร่ไปทั่วแดนทุรกันดารด้วย…เรื่องตลกนี้ต่อให้ผ่านไปนานหลายปีก็ยังต้องถูกคนขุดขึ้นมาเสียดสีด้วยความสนุกสนานเฮฮา
ภาพนี้ทำให้หนังหัวของประมุขตระกูลป๋ายแทบจะระเบิด ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์
“ทำไปแล้วมานั่งเสียใจ มันจะมีประโยชน์อะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางของประมุขตระกูลป๋ายก็ใจอ่อนยวบ แต่พอนึกถึงท่าทีที่คนผู้นี้มีต่อป๋ายฮ่าว ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความเย็นเยียบ