Skip to content

A Will Eternal 622

บทที่ 622 คุกมาร

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอยู่ในใจไม่หยุดหย่อน รู้สึกว่าตนเป็นถึงผู้บังคับกองหมื่นกลับต้องมาตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ แต่พอนึกตามความเป็นจริง เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกซ้ำไปซ้ำมา อธิบายให้ตัวเองเข้าใจเอง…

“เอาเถอะ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนยอดเยี่ยมขนาดนี้ ร้ายกาจก็เพียงนั้น ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนข้าก็ล้วนทำให้ผู้คนหันมามองด้วยสายตาทึ่งตะลึงได้เสมอ!” ขณะที่ให้กำลังใจตัวเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหลือบตามองประเมินรอบด้านไปด้วย ทั้งยังคอยหันไปมองชายวัยกลางคนเป็นระยะ เขารู้ดีว่าหลี่ซวี่คนเมื่อวานน่าจะเป็นหัวหน้าของคุกมารแห่งนี้ และนั่นก็เท่ากับเป็นผู้บังคับบัญชาของตนในวันหน้า…ส่วนคนที่อยู่ข้างหน้าผู้นี้ก็น่าจะเป็นผู้ช่วยของเขา

“เร็วเข้า หากมัวชักช้าจะให้เจ้ารออยู่ข้างนอกอีกหนึ่งวัน” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบมองชายวัยกลางคน คนผู้นี้ก็มีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย

“ข้าไม่เคยไปล่วงเกินเจ้าหมอนี่นี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มอยู่ในใจ แต่ก็จำต้องก้มหน้ายอมรับความจริง รีบเดินเร็วๆ สองสามก้าวเหยียบเข้าไปในน้ำวน

คนทั้งสองเพิ่งจะเข้ามาในแม่น้ำพิทักษ์เมืองก็หายวับไปกลางน้ำวน ตรงดิ่งไปยังก้นแม่น้ำทันที

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยของหลี่ซวี่ ตบะของชายวัยกลางคนผู้นี้จึงไม่ธรรมดา อีกทั้งบนร่างยังมีป้ายคำสั่งลอยออกมาส่องแสงอ่อนโยนปกคลุมร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้อยู่ภายใน แสงนี้คล้ายจะขานรับกับตราผนึกของแม่น้ำพิทักษ์เมือง ทำให้น้ำของแม่น้ำสีดำที่สามารถกัดกร่อนทุกสรรพสิ่งไม่เฉียดเข้ามาใกล้ตัวเขาแม้แต่นิดเดียว

ตลอดทางที่เดินมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระวนกระวายใจไม่น้อย คอยกวาดสายตามองรอบด้าน ทว่าที่นี่มืดสนิทมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง

โดยเฉพาะแม่น้ำสีดำที่มอบความรู้สึกถึงวิกฤตอย่างหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับว่ากลางแม่น้ำพิทักษ์เมืองแห่งนี้ได้ซุกซ่อนสัตว์ร้ายน่าครั่นคร้ามบางอย่างเอาไว้

ท่ามกลางการระแวงภัยเช่นนี้ คนทั้งสองก็ลอดผ่านแม่น้ำมา

ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันมองเห็นว่าท่ามกลางความมืดมิดเบื้องล่างคล้ายจะมีแสงสีเขียวสองเส้นปรากฏให้เห็นรำไร

แสงสีเขียวสองเส้นนี้ปลดปล่อยปณิธานแห่งความวังเวงน่าสะพรึงกลัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใต้ก้นแม่น้ำดำมืดก็ยิ่งเหมือนดวงตาที่ทำให้คนมองผวาพรั่นพรึง ขณะเดียวกันก็ขนลุกขนชันไปทั้งร่างด้วย

ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวเข้าหากัน หลังจากเห็นว่าชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เขาถึงได้รักษาความระแวงภัยเดินตามต่อไปด้วยอาการลังเล ยิ่งเข้าไปใกล้ แสงสีเขียวนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งพวกป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ในระยะประชิด ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจแกว่งทันที เพราะก้นแม่น้ำพิทักษ์เมืองแห่งนี้มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ยักษ์รูปหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่!

รูปปั้นหินนี้ไม่ใช่รูปคน แต่เป็นเต่าขนาดมหึมาตัวหนึ่ง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเต่าดำ มันนอนหมอบอยู่ตรงก้นแม่น้ำ เรือนกายกว้างใหญ่ ตลอดทั้งร่างแผ่คลื่นห้วงมิติระลอกหนึ่งออกมา และแสงสีเขียวสองเส้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นก่อนหน้านี้ก็คือดวงตาทั้งคู่ของรูปปั้นเต่าตัวนี้

ทั้งยังมีปราณดุร้ายเกินบรรยายก่อตัวอวลอยู่บนเต่าหิน แต่เหมือนถูกปิดผนึกเอาไว้ทำให้ปราณดุร้ายนี้มิอาจแผ่ออกไปข้างนอกได้ หาไม่แล้วเมื่อมันแผ่ออกไปย่อมทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมฟ้าลมฝนไหล่บ่าซัดตลบ ปราณดุร้ายคละคลุ้งไปทั่วฟ้าดินอย่างแน่นอน

และทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างหนัก

ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าเต่าหินนี่ค่อนข้างคุ้นตา พอมองอยู่หลายครั้งดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลึงกว้าง ใจกระตุกวาบ สมองมีสายฟ้าเส้นหนึ่งแลบปลาบ

“เต่าหินนี่ทำไมถึงได้คล้ายคลึงกับเจ้าเต่าน้อยนัก…” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระเด้งกระดอนดังตึกตัก เจ้าเต่าน้อยหายตัวไปนานมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยค้นหาในถุงเก็บของแต่กลับหาไม่พบ ทว่าเขาก็มีความรู้สึกว่าเจ้าเต่าน้อยน่าจะยังอยู่ในถุงเก็บของของเขา

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคลางแคลงใจ ชายวัยกลางคนก็บินตรงไปยังดวงตาข้างซ้ายของเต่าหิน ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเก็บความคิดกลับคืนมาแล้วตามติดไปด้านหลัง ไม่นานภายใต้การนำของอีกฝ่ายเขาก็เข้าไปในดวงตาข้างซ้ายของเต่าหิน

สถานที่แห่งนี้มีปราการกางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง ขัดขวางไม่ให้น้ำดำเข้ามาด้านใน ทว่าเมื่อป้ายคำสั่งบนร่างของชายวัยกลางคนเปล่งแสง เขาก็สามารถลอดผ่านไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งเมื่ออีกฝ่ายชี้นิ้วมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบเข้าไปในดวงตาซ้ายของเต่าหินได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเช่นกัน

ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาคืออุโมงค์หินขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง บริเวณโดยรอบของอุโมงค์หินนี้มีผนังหินแหลมคมจำนวนไม่น้อยปูดนูนตัดสลับกันสูงๆ ต่ำๆ มองดูแล้วดุร้ายอย่างมาก ยามนี้มีผู้ฝึกวิญญาณสี่คนกำลังยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนปรากฏตัว พวกเขาก็รีบประสานมือโค้งตัวคารวะต่ำๆ ทันที

“คารวะผู้พิทักษ์ซ้าย!”

เสียงนั้นหนักแน่นมีพลัง ทว่ากลับมีความเย็นเยียบอึมครึมที่ราวกับแผ่ออกมาจากกมลสันดานเพราะต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนตายมานานปี โดยเฉพาะดวงตาของพวกเขาที่เหมือนว่ามองปราดเดียวก็ทะลุใจคน

ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองต้องให้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเพราะพบว่าคนทั้งสี่นี้ต่างก็เป็นถึงนักพรตก่อกำเนิด

“คุกมารแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด มองไปรอบด้านก็เห็นว่าสี่ทิศของอุโมงค์หินมีเส้นทางอยู่สี่เส้น และเหนือศีรษะยังมีเส้นทางเส้นที่ห้า

“ซุนเผิง คนผู้นี้คือผู้คุมนักโทษคนใหม่ ท่านพัศดีให้พามาส่งที่เขตติง (ติง 丁 จักรราศีที่ 4 ใน 12 จักรราศีของแผนภูมิฟ้า) ของเจ้า เจ้าจงนำไปจัดการให้เรียบร้อย” ชายวัยกลางคนเอ่ยเนิบนาบ สั่งความเสร็จก็เอามือไพล่หลังและทะยานขึ้นไปยังทางเส้นที่ห้าที่อยู่เหนือศีรษะทันที

ส่วนคนอื่นๆ ที่พากันคารวะส่งเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปตามช่องทางรอบด้านโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลป๋ายเสี่ยวฉุน มีเพียงผู้เฒ่าคนหนึ่งเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่เดิม และกำลังขมวดคิ้วมองป๋ายเสี่ยวฉุน

“คนที่สามารถทำให้หลี่ซวี่สั่งความผู้พิทักษ์ซ้ายของตนออกโรงจัดการด้วยตัวเอง ตามหลักแล้วน่าจะส่งไปที่เขตเจี่ย (เจี่ย 甲 จักรราศีที่ 1 ใน 12 จักรราศีของแผนภูมิฟ้า) สิถึงจะถูก…แต่นี่กลับส่งมาที่เขตติงของข้า”

สายตาของผู้เฒ่าเปล่งประกายวูบไหว เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

รอยยิ้มนี้ถือว่าเป็นการแสดงความเป็นมิตรอย่างถึงที่สุดของเขาแล้ว ทว่าเมื่อมาตกอยู่ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน รอยยิ้มนี้กลับน่าขนลุกขนพองเหมือนอีกฝ่ายเสแสร้งอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งมาบวกเข้ากับความเย็นเยือกบนร่างของผู้เฒ่าก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มนี้ประหนึ่งลมเย็นๆ วังเวงที่พัดผ่านลำคอ

“สหายนักพรตท่านนี้ ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรือ?” ดวงตาของผู้เฒ่าฉายแววซักไซ้ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ข้าชื่อ…ป๋ายฮ่าว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ บอกชื่อของตัวเองไปอย่างระมัดระวัง

“ป๋ายฮ่าว ป๋ายฮ่าว…ป๋าย?” พอผู้เฒ่าได้ยินชื่อนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วทันใดดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ซักถามต่ออีกหนึ่งประโยคทันควัน

“ป๋ายฮ่าวแห่งตระกูลป๋ายน่ะรึ?”

“ใช่แล้ว ข้าก็คือป๋ายฮ่าวแห่งตระกูลป๋ายผู้นั้นนั่นแหละ” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าซุนเผิงผู้นี้เคยได้ยินชื่อของตนมาก่อน เขาก็อดที่จะลำพองใจไม่ได้

ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้ผู้เฒ่าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ทันที ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเหตุใดหลี่ซวี่ถึงส่งคนผู้นี้มายังเขตติงของตน

“นี่มันเผือกร้อนลวกมือชัดๆ …สามารถให้หลี่ซวี่ออกปากสั่งความ ผู้พิทักษ์ซ้ายลงมาจัดการด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของเบื้องบนอีกที และคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ในคำเดียวก็ต้องมีตำแหน่งสูงสุด น่าจะเป็นอู๋ฉางกง…คนที่ให้อู๋ฉางกงลงมือได้ก็มีเพียง…ราชาสวรรค์เท่านั้น”

“เด็กผู้นี้ถูกตระกูลป๋ายประกาศจับตัว ทว่าราชาสวรรค์กลับส่งเด็กคนนี้มาที่นี่…” ผู้เฒ่าไม่กล้าคิดต่อ เรื่องนี้ใหญ่เกินตัวเขาไปแล้ว ยามนี้เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ ไม่กล้าล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุน ยิ่งคิดถึงข่าวลือที่บอกว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้ไม่นับญาติกับผู้ใด แม้แต่บิดาแท้ๆ ของตนก็ยังจับล่ามได้ลงคอ

แถมยังอดทนข่มกลั้นมานานหลายปี ที่มากกว่านั้นคือความอำมหิตโหดเหี้ยมของอีกฝ่าย…

“สหายนักพรตป๋าย ยินดีต้อนรับสู่เขตติงแห่งคุกมารของข้า มาๆๆ ข้าจะแนะนำคุกมารให้เจ้าฟังเอง” ซุนเผิงหัวเราะแห้งๆ หนึ่งที ก่อนจะพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปยังช่องทางฝั่งทิศเหนือ

“แม้ว่าคุกมารของเราจะอยู่ในเต่าหิน แต่อันที่จริงแล้วกลับมีขอบเขตกว้างใหญ่มาก ด้านในมีพื้นที่แบ่งเพิ่มเติมอีกห้าแห่ง

และก็ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งตามลำดับ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง (จักรราศีที่ 1 2 3 และ 4 ใน 12 จักรราศีของแผนภูมิฟ้าตามลำดับ) และจุดศูนย์กลาง รวมเป็นห้าเขต”

“พื้นที่ใจกลางคือที่พักอาศัยของไต้เท้าพัศดี และก็เป็นจุดศูนย์กลางของคุกมารเรา ในวันปกติหากไม่เรียกเข้าพบก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด”

“ส่วนสี่เขตอย่างเจี่ย อี่ ปิ่ง ติง คือสถานที่คุมขังนักโทษ ทั้งยังแบ่งตามลำดับความร้ายแรงของคดี คดีที่สำคัญที่สุดล้วนอยู่ในเขตเจี่ย จากนั้นก็ไล่ไปตามลำดับเรื่อยๆ เมื่อมาถึงเขตติงของพวกเรา แม้ว่าหากเอาไปเปรียบเทียบกับคนข้างนอกแล้วจะเรียกว่าเป็นพวกชั่วช้าสามานย์ ทว่าหากเทียบกับเขตเจี่ยแล้วกลับเป็นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น”

“และทุกเขตต่างก็มีผู้คุมหนึ่งร้อยคน มีหัวหน้าผู้คุมสิบคนบวกกับนายตะรางอีกหนึ่งคน ข้าผู้อาวุโสก็คือนายตะรางของเขตติง”

“และเหนือนายตะรางของสี่เขตใหญ่ก็คือท่านพัศดี…”

ซุนเผิงพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินมุ่งหน้าไปยังเขตติง ระหว่างทางก็อธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด เขาคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าในเมื่อป๋ายฮ่าวผู้นี้มาอยู่กับตน แถมตนยังไม่สามารถส่งอีกฝ่ายไปที่อื่นได้ ถ้าเช่นนั้นก็ถือโอกาสจัดการให้ดีไปเลย เขตติงมีคนอยู่มากมายขนาดนั้น เพิ่มผู้คุมนักโทษมาอีกสักหนึ่งคนจะเป็นไรไป

แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น หากจะให้มีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เขาย่อมไม่มีทางทำเด็ดขาด

หลังจากแนะนำจบไปแล้วหนึ่งรอบ ซุนเผิงก็พาป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงเขตติงของคุกมาร ขอบเขตของเขตติงนี้ไม่เล็ก ตรงกลางมีลานกว้างอยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีประตูแสงขนาดใหญ่อยู่หนึ่งบาน

ประตูแสงนี้แผ่พลานุภาพสยบน่าเกรงขาม บางครั้งก็มีเสียงครืนๆ ดังออกมา

และที่ล้อมรอบประตูแสงเอาไว้ก็คือพื้นที่สิบแห่ง ตามคำแนะนำของซุนเผิง พื้นที่ทั้งสิบนี้แบ่งออกเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้คุมสิบกลุ่มที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ส่วนประตูแสงยักษ์นั่น…ก็คือทางเข้าไปในห้องขัง

เมื่อมองไปพื้นที่ทั้งสิบมีลักษณะเหมือนกันแทบทุกกระเบียดนิ้ว ที่พักเหล่านั้นจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ แม้จะสร้างขึ้นจากหินอ่อน สีสันมองดูแล้วก็สดใสสดใหม่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากคุกมารแห่งนี้หรือไม่ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปถึงได้รู้สึกว่าที่พักเหล่านี้เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว

“เฮ้อ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องมาเป็นผู้คุม” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจด้วยความปลงตกอยู่ในใจ ยังคงกลัดกลุ้มอยู่กับเรื่องที่ไม่สามารถอาศัยค่ายกลนำส่งจากไปได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version