Skip to content

A Will Eternal 625

บทที่ 625 ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างไร้เดียงสายิ่งนัก

“สิ่งที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู แสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย” หัวหน้ากองเก้าไอแห้งๆ หนึ่งที

“ใช่แล้ว จำเอาไว้ว่าอย่าไปมีเรื่องกับพวกคนที่ถูกขังอยู่ในห้องขังเด็ดขาด คนเหล่านี้ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นพวกดุร้ายกระหายเลือด ในอดีตเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่นักโทษคนนั้นถูกผนึกตบะ ทว่ากลับกัดหูผู้คุมคนหนึ่งเสียขาดวิ่น” หัวหน้ากองเก้าเอ่ยสั่งความจบก็ขยับตัวจากไปไกล ไปหาเรื่องบันเทิงที่ทำให้ตัวเขาเองผ่อนคลาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง เขาเหมือนคนได้เปิดโลกทัศน์ ยามนี้พอมองไปรอบด้านจึงเห็นว่านักโทษชุดเทาหลายคนต่างก็จ้องมองมาที่ตนนานแล้ว เห็นว่าเขาหน้าใหม่จึงเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้คุมคนใหม่ ดังนั้นจึงรีบตรงเข้ามารุมล้อม คารวะติดๆ กัน

“คารวะท่านไต้เท้า…”

“ท่านไต้เท้าต้องการสิ่งใดสามารถพูดกับพวกเราได้…”

“ท่านไต้เท้าอายุยังน้อยก็ได้กลายมาเป็นผู้คุมของคุกมารแห่งนี้ อนาคตกว้างไกลไร้ขีดจำกัด คือมังกรในกลุ่มคน…”

ท่ามกลางเสียงประจบเอาใจจากคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็นว่ามีผู้หญิงหน้าตางดงามหลายคนที่ใช้ดวงตาหวานปานน้ำผึ้งชม้อยชม้ายชายตามาเกี่ยวใจของตนให้คันยิบๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวแรง เขารู้สึกว่าขอแค่ตนยื่นนิ้วมือออกไป สตรีเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นแมวน้อยที่ไม่ว่าเขาสั่งอะไรก็ยอมเชื่อฟัง…

“บัดซบ ที่นี่ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นน้อยๆ

เขารู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมาะกับตัวเองเอามากๆ ดังนั้นขณะเดียวกันกับที่ดื่มด่ำไปกับเสียงเอาใจจากคนรอบกาย ดื่มด่ำไปกับน้ำคำหวานล้ำจากสาวงามที่ห้อมล้อมด้วยความเบิกบานใจ เขาก็เริ่มกลุ้มใจตามไปด้วย…

“นึกไม่ถึงว่าคุกมารของที่นี่จะเป็นอย่างนี้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไร้เดียงสาขนาดนี้ จะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกพวกนักโทษชุดเทาพาตัวไปท่ามกลางความกลัดกลุ้มเช่นนี้…ตลอดทางเขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าอะไรคือคุกมาร แล้วก็กระจ่างแจ้งกับตาว่าอะไรคือคำว่า…ตอบสนองได้ทุกอย่าง

การโจมตีอันรุนแรงนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชื่นชอบคุกมารขึ้นมาทันใด เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก

“ทว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนครองตัวรักษาความบริสุทธิ์มาโดยตลอด จะไม่มีทางทำเรื่องที่ผิดต่อคุณธรรมในใจเด็ดขาด!”

สามชั่วยามผ่านไป หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเตร่อยู่ในคุกมารพร้อมหัวเราะครื้นเครงด้วยความพึงพอใจไปตลอดทาง เขาก็เดินไปยังสถานที่รวมพลที่หัวหน้ากองบอกไว้ด้วยการนำทางจากนักโทษชุดเทาเหล่านั้น

ตอนที่เขามาถึงหัวหน้ากองได้มารออยู่ก่อนแล้ว ผู้คุมคนอื่นๆ ก็มีหกเจ็ดคนมาถึงแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างก็เต็มไปด้วยกำลังวังชา กำลังพูดคุยกันเบาๆ บางครั้งยังมีเสียงหัวเราะดังลอยมา หนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มหน้ายาว เดิมทีเขายังหัวเราะสนุกสนาน แต่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงกลับหน้ามืดคล้ำ นัยน์ตาเผยความไม่พอใจ

เขาดูแคลนเจ้ากบฏของตระกูลป๋ายผู้นี้ สำหรับเรื่องที่อีกฝ่ายล่ามตัวบิดาแท้ๆ สังหารคนในตระกูลไปมากมาย เขาก็ยิ่งรังเกียจเดียดฉันท์ ในสายตาของเขาคนประเภทนี้ไม่คู่ควรที่จะได้เข้ามาอยู่ในคุกมารเลยด้วยซ้ำ

อีกทั้งเขาเองก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับป๋ายฉี ดังนั้นจึงยิ่งอคติกับป๋ายเสี่ยวฉุน

ผู้คุมคนอื่นพอเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกกระอักกระอ่วน ขณะเดียวกันก็โมโหเข้าไปอีก

“ไอ้หมอนี่หมายความว่าไง คิดจะรังแกข้างั้นรึ?” พอลองประเมินตบะของพวกเขาทั้งสองฝ่ายแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถลึงตามองกลับไปทันที ชายหนุ่มหน้ายาวผู้นั้นก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน

ความขัดแย้งของพวกเขาสองคนระเบิดออกทางสายตา หัวหน้ากองรีบเดินมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองทันที ก่อนจะชี้นิ้วไปยังหัวกะโหลกหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล

“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ป๋ายฮ่าว เจ้าเห็นหรือยัง นั่นก็คือโจวเหล่าม๋อ (โจวคือแซ่ เหล่าม๋อเป็นฉายาแปลว่ามาร/ปีศาจเฒ่า) ล่ะ”

ชายหนุ่มหน้ายาวถอนสายตากลับคืน แค่นเสียงเย็นหนึ่งที ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ข่มกลั้นความเดือดดาลมองตามนิ้วของหัวหน้ากองที่ชี้ไป

หัวกะโหลกที่หัวหน้ากองชี้มีขนาดหลายจั้ง ด้านในมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ ทว่าต่อให้ชายผู้นั้นนั่งลงแล้วร่างกายของเขาก็ยังสูงครึ่งจั้งกว่า สามารถจินตนาการได้ว่าหากลุกขึ้นยืนเมื่อไหร่ แม้จะเทียบกับชนพื้นเมืองไม่ได้ ทว่าก็ต้องร่างหนาใหญ่บึกบึนมากอย่างแน่นอน

ยามนี้นัยน์ตาของเขามีจุดแสงสีแดงเปล่งประกาย มุมปากยกขึ้นแสยะยิ้มซึ่งไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ แถมสายตาของเขาที่มองมายังพวกผู้คุมก็ยิ่งเผยให้เห็นความละโมบบางอย่าง

ความละโมบนี้เหมือนคนกระหายหิวที่มองเห็นอาหาร…ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองไปรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้มีความคิดอยากจะกินเนื้อคน

ยิ่งได้เห็นความพยศหัวแข็งรวมไปถึงปราณดุร้ายตลอดร่างของเขาด้วยแล้ว ต่อให้ตบะของเขาจะถูกผนึกก็ยังคงทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึง แค่มองก็รู้ว่านี่คือพวกที่ชอบฆ่าคนเป็นผักปลา

“ไอ้เรื่องฆ่าคนเป็นว่าเล่นของโจวเหล่าม๋อผู้นี้ยังไม่เท่าไหร่หรอก ทว่าเขากลับมีความชื่นชอบอยู่อย่างหนึ่ง เขาชอบกินเนื้อเด็ก เวลาหนึ่งร้อยปีมานี้ไม่รู้ว่ามีเด็กกี่มากน้อยที่ถูกเขากินเข้าไป แถมเจ้าคนผู้นี้ดันมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลไช่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงได้พ้นโทษประหารมาได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วฉับ เขาไม่ใช่คนที่ไม่ว่าใครพูดอะไรก็เชื่อตะพึดตะพือ ทว่าจากการวิเคราะห์ของเขารวมไปถึงลักษณะของโจวเหล่าม๋อผู้นี้ เขาก็รู้สึกว่าถึงแม้ที่หัวหน้ากองพูดจะฟังเกินจริงไปบ้าง แต่ก็ต้องมีเรื่องจริงอยู่ส่วนหนึ่งแน่นอน

“ทว่าชีวิตนี้ของเขาก็ต้องหมดไปกับการได้รับความทรมานอยู่ในนี้จนเต็มอิ่มนั่นแหละ” หัวหน้ากองสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ผู้คุมทุกคนที่อยู่รอบกายเขาก็พากันบินทะยานไปยังกรงขังของโจวเหล่าม๋อด้วยสีหน้ามืดทะมึนทันที

เมื่อเห็นว่าทุกคนพุ่งตัวมา รอยยิ้มมุมปากของโจวเหล่าม๋อก็ยิ่งดุดัน แสงสีแดงในดวงตาลุกเรือง วินาทีที่ทุกคนเข้าไปใกล้ เขาก็ผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปทางตำแหน่งดวงตาของหัวกะโหลกแล้วแผดเสียงคำรามออกมาข้างนอกดังสนั่น

เสียงคำรามนี้ทำให้ทุกคนชะงักฝีเท้าทันที

“ไอ้พวกเศษสวะ ตอนที่ข้าโจวอวิ๋นหลงมีอำนาจอยู่ข้างนอก ก้อนเนื้ออย่างพวกเจ้าข้ากินมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

“หุบปาก!” มีผู้คุมเดิมขึ้นหน้ามาทันควัน ก่อนที่เขาจะทำมุทราชี้ไปยังหัวกะโหลก ทันใดนั้นสีของหัวกะโหลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง

ด้านในก็ยิ่งมีสายฟ้าแลบปลาบพร้อมเสียงครืนครั่น โจวเหล่าม๋อผู้นี้สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสียงก็เปลี่ยนมาเป็นรวดร้าวเจ็บปวด

“พูดมา ที่ซ่อนสมบัติอยู่ตรงไหน!”

“พูดออกมา พวกเราจะได้ไม่ต้องทรมานเจ้า ทว่าหากเจ้าไม่พูด ก็อย่ามาโทษพวกเรา!”

“ผู้อาวุโสโจว เจ้าไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ มาอยู่ที่นี่แล้วเจ้าก็ไม่มีทางได้ออกไปอีก วัตถุนอกกายพวกนั้นจะยังมีประโยชน์อะไร สู้พูดออกมาซื้อความสงบสุขให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเอง แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ” พวกผู้คุมกองเก้าเผยสีหน้าท่าทางดุร้าย เปลี่ยนรูปแบบถ้อยคำมาโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

บ้างก็ข่มขู่ บ้างก็อ่อนโยน ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง คำถามที่ถามก็เกี่ยวกับที่ซ่อนสมบัติอะไรสักอย่าง แถมพอหัวหน้ากองทำมุทราก็ยิ่งเป็นการบีบถามพร้อมลงไม้ลงมือทำโทษไปด้วย เพียงแต่ไม่ว่ากองที่เก้าจะทำเช่นไร โจวเหล่าม๋อผู้นั้นที่ถึงแม้จะร้องโหยหวน ทว่ารอยยิ้มดุร้ายที่แสยะอยู่ตรงมุมปากกลับไม่เคยจางหาย แถมยิ่งผยองพองขนมากกว่าเดิมเสียอีก

“ไม่พูดใช่ไหม ให้ข้าจัดการเอง!” ชายหนุ่มหน้ายาวหัวเราะหยัน เดินออกมาหนึ่งก้าว พอหยุดยืนอยู่หน้าห้องขังก็เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยือก

พอเขาเดินออกมา ผู้คุมคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมกันทันใด

“จ้าวเฟิงคือมือลงแส้ของกองเก้าเรา หากเขาลงมือ ต้องง้างปากโจวเหล่าม๋อผู้นี้ได้แน่นอน!”

“ถูกต้อง ครั้งนี้อีกแปดกองที่เหลือต่างก็ไม่มีใครทำสำเร็จ ไม่แน่ว่าจ้าวเฟิงอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้!”

คนอื่นๆ ฮึกเหิมตื่นเต้น แม้แต่หัวหน้ากองเองก็ยังเผยแววตาคาดหวัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่มองเหตุการณ์ทุกอย่าง ไม่เข้าใจคำว่ามือลงแส้ที่ทุกคนพูดถึง ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกได้ว่าที่ชายหนุ่มหน้ายาวคนนี้มีฐานะสูงส่ง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับคำว่ามือลงแส้หรือตัวตนอะไรบางอย่างของเขา ดังนั้นจึงมองตามไปด้วยความตั้งใจ

เห็นเพียงว่าชายหนุ่มหน้ายาวมาหยุดยืนตรงหน้ากรงขัง ขณะที่มือทั้งคู่ทำมุทราก็มีเข็มสีดำหลายเล่มปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ก่อนจะตรงดิ่งเข้าหาโจวเหล่าม๋อ พอแทงเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายแล้วโจวเหล่าม๋อก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แผดเสียงร้องแหบโหยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะที่ร้องคำราม ดวงตาของเขาที่ถึงแม้จะเป็นสีแดงฉาน ทว่าความแข็งข้อไม่จางหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว แม้แต่เสียงคำรามก็ยังค่อยๆ หยุดลง ก่อนจะแทนที่มาด้วยเสียงหัวเราะ

“ฝีมือแค่นี้น่ะหรือ มือลงแส้เช่นเจ้า ข้าผู้อาวุโสเองก็เคยกินมาแล้วหลายคน รสชาติไม่เลวเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ารสชาติของเจ้าจะเป็นเช่นไร”

เมื่อชายหนุ่มหน้ายาวเห็นโจวเหล่าม๋อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเดือดดาล มือทั้งคู่จึงทำมุทราอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะทรมานอีกฝ่ายเช่นไร สุดท้ายโจวเหล่าม๋อก็ยังคงหัวเราะดังกังวาน ผู้คุมคนอื่นๆ ก็เริ่มโมโห พากันเดินขึ้นหน้าไปช่วยเหลือ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ด้านข้างอึ้งแล้วอึ้งอีก มองคนทั้งกองเก้าใช้วิธีการบีบถามและทรมานสลับสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งวันเต็ม โจวเหล่าม๋อผู้นั้นหอบหายใจฮักๆ ทว่าคนอื่นๆ ก็สูญเสียพละกำลังกันไปไม่น้อย แต่กลับยังคงไม่สามารถทำให้โจวเหล่าม๋อเปิดปากออกมาได้ว่าขุมทรัพย์อยู่ที่ไหน

“สมควรตายเอ๊ย ไอ้หมอนี่มันปากแข็งยิ่งนัก!” ทุกคนล่าถอยกลับมา แต่ละคนเต็มไปด้วยความจนใจ ยามนี้พวกเขาต่างก็ตาแดงก่ำ จ้องโจวเหล่าม๋อเขม็ง

อยากจะปราดเข้าไปค้นหาคำตอบจากในหัวสมองอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะชายหนุ่มหน้ายาวที่ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมากกว่าใคร

“ตอนที่เจ้าโจวเหล่าม๋อผู้นี้ถูกจับตัวมา บนร่างของเขาแทบจะไม่มีอะไรติดตัว ทว่าสมบัติที่เขาเก็บมาไว้ตลอดชีวิตย่อมมีไม่น้อยแน่นอน เขาต้องซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง!”

“คนผู้นี้เคยเป็นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ เป็นครึ่งก้าวของคนฟ้า วางอำนาจบาตรใหญ่มาหกสิบปี ลำพังเพียงแค่ชนเผ่าที่ถูกเขาฆ่าล้างไปก็มีเกินยี่สิบเผ่า สมบัติของเขาจะมีน้อยได้หรือ!”

มองสหายร่วมอาชีพแต่ละคนที่จนใจแต่ก็ไม่อยากยอมแพ้ ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายอดไม่ไหวจึงเอ่ยไปหนึ่งประโยค

“คือว่า…พวกเราสามารถค้นวิญญาณได้ไม่ใช่หรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version