บทที่ 628 แบ่งอามิส
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินยืดอกก้าวอาดๆ จากไปไกล ด้านหลังของเขา ผู้คุมกองเก้าทุกคนรวมไปถึงหัวหน้ากองต่างก็ไล่ตามติดมาห้อมล้อมอยู่รอบกายเขาด้วยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนมีทั้งความเหลือเชื่อ เคารพเลื่อมใสและยำเกรง
ในฟ้าดินแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งคือนาย นี่คือหนึ่งในกฎแห่งสังคม และในคุกมารแห่งนี้นอกจากกฎที่ว่านี้แล้วยังมีอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือเคารพมือลงแส้!
มือลงแส้คือตัวแทนของความร่ำรวย ตัวแทนของฐานะที่สูงส่ง ยิ่งอยู่ในคุกก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เช่นจ้าวเฟิงที่เป็นเพียงแค่มือลงแส้ของกองเล็กๆ อย่างกองเก้า ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ความชื่นชมนอบน้อมจากคนอื่นๆ มากมาย ต่อให้เป็นหัวหน้ากองเองก็ยังต้องมีมารยาทต่อเขา ส่วนมือลงแส้ของกองอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันนัก
ตอนนี้ในสายตาของคนอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เผยให้เห็นพรสวรรค์แห่งการเป็นมือลงแส้ที่ไม่ธรรมดา แม้แต่จ้าวเฟิงก็ยังยอมแพ้ให้อย่างราบคาบ คนอื่นๆ จึงย่อมขมีขมันฝักใฝ่ตามไปด้วยเป็นธรรมดา
“พี่ป๋ายสมกับเป็นยอดฝีมือ!”
“ฮ่าๆ พี่ป๋าย ก่อนหน้านี้เป็นความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเรา เรื่องพวกนี้เราอย่าไปพูดถึงมันอีกเลย นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราก็คือพี่น้องกัน!”
“พี่ป๋าย ความสามารถในการลงแส้เช่นนี้ของท่าน เมื่อมาอยู่ในคุกมารแห่งนี้ก็มากพอจะเย้ยเก้าสวรรค์ได้เลย!”
“กองเก้าของพวกเรารวยแล้ว มีพี่ป๋ายอยู่ ต่อไปผลประโยชน์ที่ทุกคนจะได้รับย่อมมากมหาศาล”
ทุกคนต่างพากันเปิดปากด้วยความฮึกเหิม ความเป็นศัตรูของจ้าวเฟิงก็ยิ่งถูกกวาดจนหายเกลี้ยง ยามนี้สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความนับถือเลื่อมใส เพราะวิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนลึกลับ เขาจึงยิ่งยำเกรงมากกว่าเดิม
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าแค่ตนง้างปากโจวเหล่าม๋อได้จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากทุกคนขนาดนี้ เวลานี้เขารู้สึกตัวเบาหวิวไปทั้งร่าง ในใจก็ยิ่งทอดถอนใจด้วยความเบิกบาน เป็นอีกครั้งที่รู้สึกจากใจจริงว่าตนช่างเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่ว่าจะเดินไปอยู่ที่ไหน เพราะความที่ตนเป็นเหมือนอัญมณีล้ำค่าจึงมิอาจอำพรางตัว ได้แต่จำต้องเปล่งประกายแวววาวด้วยความจนใจ
“ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ทำไมถึงได้ยอดเยี่ยมอะไรแบบนี้ ข้านับถือตัวเองยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวเองพักหนึ่ง และเนื่องจากเขาเป็นคนรื่นไหล ถนัดในการสร้างสัมพันธ์ไมตรีกับคนอื่น ไม่นานจึงหันไปพูดจาคลอเคล้าเสียงหัวเราะกับทุกคน
“เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย ต่อไปสิ่งใดที่ข้าผู้แซ่ป๋ายมี ทุกคนก็มีร่วมกันด้วย กองเก้าของพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่นา พวกเราก็ต้องเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกเสียงดังป้าบๆ ออกไปจากคุกพร้อมคนของกองเก้าด้วยหน้าตาที่เบิกบานปลื้มปริ่มไปตลอดทาง
วันนั้นหัวหน้ากองก็ได้ส่งตัวผู้คุมให้ออกไปข้างนอกเพื่อตามหาถ้ำที่โจวเหล่าม๋อซ่อนไว้นอกนครผียักษ์ซึ่งมีการใช้เวทคาถาทิ้งร่องรอยเอาไว้ตามคำสารภาพของเขา หลังจากเอาทรัพย์สมบัติที่โจวเหล่าม๋อเก็บสะสมตลอดชีวิตมาได้ก็เดินทางกลับคุกมาร
ไม่นานกองที่เก้าก็เปิดการประชุมภายในเป็นครั้งแรก คนสิบกว่าคนนี้อยู่ในห้องของหัวหน้ากอง หลังจากเอาสมบัติของโจวเหล่าม๋อมาแบ่งกันแล้ว ทุกคนต่างก็หัวเราะไม่ขาดเสียง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ส่วนแบ่งเยอะสุด เขามองสถูปวิญญาณที่หัวหน้ากองส่งมาให้
รวมไปถึงวิญญาณพยาบาทจำนวนน่าตกใจซึ่งอยู่ในสถูปวิญญาณ และยังมียาวิญญาณระดับกลางนับพันเม็ดที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ทอประกายแวววาว
“โจวเหล่าม๋อผู้นี้ช่างร่ำรวยยิ่งนัก!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังใจสั่นสะท้าน หัวหน้ากองก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หยิบเอาสุราเลิศรสหลายไหออกมาด้วยอารมณ์เป็นสุข
“ทุกท่าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณความชอบของน้องป๋ายฮ่าว มาๆๆ พวกเรามาดื่มให้น้องป๋ายฮ่าวกันสักจอก!” หัวหน้ากองหัวเราะร่า เอ่ยเสียงดังจบก็หยิบเหล้าขึ้นมาหนึ่งไห
ผู้คุมคนอื่นๆ ต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงหัวเราะ
พากันดื่มคารวะให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน การแบ่งอามิสของพวกเขาในครั้งนี้ ทุกคนต่างก็ได้รับสมบัติก้อนโต สายตาที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยิ่งเจิดจ้าราวกับมองเห็นขุมสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วน
“น้องชายอย่างข้าเพิ่งจะมาอยู่ที่คุกมาร ก่อนหน้านี้ไม่รู้กฎระเบียบ หากมีสิ่งใดที่ทำไม่ถูกต้อง ขอพี่น้องทุกท่านอย่าได้ถือสา” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหยิบเอาเหล้าขึ้นมาไหหนึ่ง
“ด้านนอกมีข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับข้า เรื่องพวกนี้พูดแล้วก็ขมขื่น งั้นก็อย่าไปพูดถึงเลย สรุปคือข้าป๋ายฮ่าวมาอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็ถือเป็นบ้านของข้าแล้ว หวังว่าพละกำลังอันน้อยนิดของข้าจะสามารถสร้างวันพรุ่งนี้ที่งดงามยิ่งกว่าเดิมให้กับทุกท่านได้ ข้าขอดื่มคารวะให้ก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจ รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ช่างพูดได้ดีนัก ถ้อยคำแบบนี้ไม่ว่าจะลองเอามาใช้กี่ทีก็ได้ผล ยามนี้จึงยกไหเหล้าขึ้นแล้วกรอกใส่ปากอึกใหญ่
ด้วยผิวพรรณที่ขาวสะอาดสะอ้านของเขา ภาพลักษณ์ภายนอกจึงมองดูเหมือนพวกคงแก่เรียนที่อ่อนแอ ทว่าเมื่อมาประกอบกับท่วงท่าที่ห้าวหาญอย่างในตอนนี้กลับเกิดเป็นความแตกต่างที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะไชโยโห่ร้อง เสียงหัวเราะดังก้องกังวาน ก่อนที่ทุกคนในกองเก้าจะยกไหเหล้าขึ้นดื่มตามๆ กัน
เมื่อต่างคนต่างวางไหเหล้าลงแล้ว พอหันมาสบตากันและกันก็ราวกับว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากลมเกลียวกันมากขึ้น และเหมือนทุกคนต่างก็ยอมรับในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างหัวเราะเสียงดังเฮฮา เริ่มเรียกกันพี่อย่างนั้นน้องอย่างนี้
หัวหน้ากองเก้าก็มีท่าทีเดียวกัน เขาตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมรอยยิ้มปรีดา
“ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่สนใจใยดีเจ้าก็เพราะข่าวลือด้านนอกบอกว่าเจ้าเป็นคนใจดำอำมหิต ไม่นับญาติกับผู้ใด ตอนนี้ดูท่าแล้วข่าวลือพวกนั้นไม่จริงเอาซะเลย เห็นชัดๆ ว่าน้องฮ่าวคือผู้มีพรสวรรค์ในการเป็นมือลงแส้ ป๋ายฮ่าว เจ้ามาอยู่คุกมารถือว่ามาถูกที่แล้ว ตระกูลป๋ายเฮงซวยอะไรนั่นอย่าไปสนใจอีกเลย ต่อไปเจ้าอยู่ที่นี่ หากคนตระกูลป๋ายยังกล้ามาหาเรื่อง พวกเราพี่น้องจะไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”
คำพูดนี้ของหัวหน้ากองดังออกมา คนอื่นๆ ก็หัวเราะคลอตามอีกครั้งแล้วพากันเออออรับปาก จ้าวเฟิงเองก็ถือไหเหล้ามาอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะคารวะโค้งตัวลงต่ำด้วยสีหน้าที่จริงใจอย่างยิ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื้นตันใจ รู้สึกได้ว่าร่างร้อนผะผ่าวไปหมดจึงถือโอกาสถอดเสื้อนอกออก เขามองทุกคนที่อยู่รอบด้าน ก่อนจะขึ้นไปเหยียบบนไหเหล้าแล้วเอ่ยด้วยคำพูดกล้าได้กล้าเสีย
“ขอบคุณพี่ชายทุกท่าน นับแต่วันนี้ไปพวกท่านก็คือพี่ชายของข้าแล้ว!”
“น้องป๋าย ก่อนหน้านี้ข้าผู้แซ่จ้าวผิดไปแล้ว ไหนี้ ข้าขอดื่มให้เจ้า!” จ้าวเฟิงยกไหเหล้าขึ้นแล้วดื่มอักๆ รวดเดียว ก่อนจะกุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
“มือลงแส้ของกองที่เก้า ข้าผู้แซ่จ้าวไม่มีหน้าจะรับหน้าที่ต่อได้ ขอน้องป๋ายจงมาเป็นมือลงแส้ของกองที่เก้าเราด้วยเถอะ!” คำพูดของจ้าวเฟิงดังขึ้น ผู้คุมคนอื่นๆ ก็พากันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความจริงใจ
“นั่นสิ น้องป๋าย เจ้ามาเป็นมือลงแส้ของกองเก้าเราเถอะ!”
“ด้วยพรสวรรค์ในการลงแส้ของน้องป๋าย ต้องสร้างชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วคุกมารแน่นอน!”
แม้แต่หัวหน้ากองเองก็ยังเอ่ยด้วยสีหน้าซื่อสัตย์จริงใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานสำราญใจ หลังจากปลงอนิจจังไปกับการที่ตัวเองเป็นที่ยอมรับของทุกคนมากเหลือเกินเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มเปิดปากถามเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเป็นมือลงแส้นี้
“เพราะว่านักโทษของคุกมารส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถค้นวิญญาณได้ ดังนั้นจึงมีตำแหน่งมือลงแส้เกิดขึ้น นั่นคือชื่อเรียกสำหรับผู้ที่สืบสวนนักโทษฉกรรจ์โดยเฉพาะ สามารถกลายมาเป็นมือลงแส้ได้นั่นหมายความว่ามีความพิเศษเหนือคนธรรมดาทั่วไปในด้านการสอบสวน”
“สี่เขตใหญ่ในคุกมารของพวกเรามีสี่มือลงแส้ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีฐานะสูงส่ง เป็นรองจากนายตะราง พวกเขาถูกขนานนามให้เป็นแส้ทมิฬ ความหมายก็คือมือลงแส้ที่ใจดำทมิฬ! เบื้องใต้สังกัดของแส้ทมิฬทั้งสี่นี้ ทุกกองเล็กในสี่เขตใหญ่ล้วนมีมือลงแส้ของใครของมัน”
“ทว่าโจวเหล่าม๋อผู้นั้นปากแข็งมาก มือลงแส้แทบทุกคนในเขตติงของพวกเราล้วนล้มเหลว แม้แต่แส้ทมิฬของกองที่หนึ่งก็ยังพ่ายแพ้ราบคาบ ทว่าน้องป๋ายฮ่าวกลับทำได้ น้องป๋ายฮ่าว เจ้ามีพรสวรรค์ของการเป็นแส้ทมิฬจริงๆ นะ!” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองป๋ายเสี่ยวฉุน ปากก็เอ่ยชมเปาะ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เขาคิดไม่ถึงว่าในคุกมารจะมีเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย โดยเฉพาะพอนึกถึงว่าแค่โจวเหล่าม๋อคนเดียวก็เอาวิญญาณพยาบาทมาให้ตนได้มากมายขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งใจสั่นหวั่นไหว
“ตอนนี้ข้ายังไม่ได้วิญญาณคนฟ้าดวงสุดท้าย การบำเพ็ญตบะจึงถือว่าอยู่ในขั้นหยุดพักชั่วคราว หากคิดจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองเอาไว้ ก็ได้แต่มุมานะทุ่มเทให้กับอาวุธวิเศษ…เมื่อเป็นเช่นนี้ การหลอมไฟจึงสำคัญที่สุด ซึ่งนั่นจำเป็นต้องใช้วิญญาณพยาบาทจำนวนมหาศาล…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็กระแอมหนึ่งครั้งแล้วโบกไม้โบกมือพัลวัน
“ในเมื่อทุกคนพูดกันขนาดนี้แล้ว ก็ดี ข้าผู้แซ่ป๋ายจะเป็นมือลงแส้นี้ให้เอง” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังจบ ผู้คุมทุกคนต่างก็พากันฮึกเหิม ยกไหเหล้าดื่มคารวะอีกครั้ง ยิ่งเกิดความกระตือรือร้นต่อป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น
แถมยังมีคนเสนอให้เข้าไปในคุกอีกครั้ง เพื่อไปสอบสวนพวกโทษปากแข็งที่ไม่ยอมบอกที่ซ่อนสมบัติกันอีกรอบ
“มีน้องป๋ายอยู่ด้วย พวกเราก็รวยแล้ว น้องป๋าย ในเขตติงของพวกเราตอนนี้ยังมีนักโทษเก่าแก่นับร้อยคนที่ยังไม่เคยถูกใครง้างปากได้!”
“ถูกต้อง นักโทษเก่าแก่นับร้อยคนพวกนี้ล้วนมีความลับกันทุกคน หากพวกเราสามารถง้างปากพวกเขาได้ ไม่ว่าคนใดก็ล้วนต้องนำผลเก็บเกี่ยวที่ไม่ด้อยไปกว่า
โจวเหล่าม๋อมาให้พวกเราอย่างแน่นอน” หลังจากมีคนเอ่ยแนะนำ ผู้คุมคนอื่นๆ ก็พากันหวั่นไหว หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนตามๆ กัน
แม้แต่หัวหน้ากองเองก็ยังฮึกเหิมคึกคัก มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตารอคอยพร้อมตบอกตัวเองหนึ่งที
“น้องป๋าย ข้าสามารถไปสื่อสารกับหัวหน้ากองที่สิบเพื่อให้พวกเขายกการลาดตระเวนครั้งนี้มาให้พวกเราได้”
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็มีสีหน้าคาดหวัง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อารมณ์กระปรี้กระเปร่า ความรู้สึกที่ว่าอยู่ๆ ตนก็กลายมาเป็นคนสำคัญทำให้ในใจเขาเปี่ยมสุขอย่างมาก ยามนี้จึงเชิดคางขึ้นอย่างจองหองแล้วเอ่ยเสียงดัง
“ได้ ในเมื่อพี่ชายทุกท่านพูดเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไปกันตอนนี้เลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่ข้าง้างปากไม่ได้!”
คำพูดของเขาดังจบ ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความลิงโลด สีหน้ามีแต่ความรอคอยวาดหวัง หัวหน้ากองก็ยิ่งหัวเราะฮ่าๆ รีบบินไปยังที่พักของกองสิบทันที ไปแปบเดียวก็กลับมา พอมาถึงเขาก็สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง
“กองที่สิบยกการลาดตระเวนให้พวกเราแล้ว!”