Skip to content

A Will Eternal 634

บทที่ 634 รู้จักข้าก็ไม่มีประโยชน์

ต่อให้เป็นพวกองค์รักษ์ผีก็ยังมิอาจหนีพ้น ท่ามกลางการเก็บเกี่ยวไปตลอดทางของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป วิญญาณในลานวิญญาณสองแห่งนี้ก็หายเกลี้ยง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ดีอย่างมาก เก็บเอาลูกวิญญาณทั้งหมดไป วิญญาณที่ขโมยมาได้ครั้งนี้มีปริมาณเยอะอย่างถึงที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้น่าจะพอใช้สำหรับตนแล้ว

ทว่าชั่วพริบตาที่วิญญาณในลานวิญญาณทั้งสองแห่งถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอาไปก็คล้ายว่าจะไปกระตุ้นการทำงานบางอย่างของค่ายกล และพริบตานั้นค่ายกลทั้งสองแห่งก็พลันระเบิดแสงเจิดจ้าราวกับการเตือนภัย แสงนี้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทำให้คนตระกูลไช่ที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ต่างก็มองเห็นอย่างชัดเจน!

“บัดซบ พอลานวิญญาณไม่มีวิญญาณหลงเหลือก็เลยไปกระตุ้นค่ายกลอย่างนั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ขณะเดียวกันคนไม่น้อยในตระกูลไช่ก็ร้องอุทานตกใจเพราะเห็นแสงเจิดจ้าของค่ายกล ก่อนที่หลายคนจะบินออกมาอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น!!”

“ตรงนั้น…ตรงนั้นคือลานวิญญาณ?!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ค่ายกลของลานวิญญาณกลับถูกกระตุ้น แถมยังเป็นค่ายกลของลานวิญญาณสองแห่งด้วย!!” เมื่อเสียงดังก้อง ผู้อาวุโสของตระกูลไช่ก็พากันบินทะยานไปยังที่ตั้งของลานวิญญาณอย่างรวดเร็ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายใจคว่ำ กำลังจะจากไป แต่กลับหยุดชะงักเสียก่อน

“หลังจากใช้ยารวมวิญญาณจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ หากมีคนตั้งใจเอาไปตรวจสอบก็อาจจะเดาได้ถึงตัวตนของข้า…ต้องทำลายร่องรอยทั้งหมดตรงนี้ ต่อให้พวกเขารู้ว่าข้าเป็นคนทำก็ไม่มีทางไพล่นึกไปถึงตัวตนที่แท้จริงของข้าได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าเวลากระชั้นชิดจึงหยิบเอาไฟสิบสองสีที่เตรียมไว้สำหรับหลอมไฟสิบสามสีก่อนหน้านั้นออกมาจากในถุงเก็บของ ร่างก็พลันปรากฏเป็นเงาทับซ้อน ร่างจำแลงของเขาเดินออกมาแล้วเริ่มหลอมไฟต่อทันที!

ดูเหมือนเขาจะหลอมไฟสิบสองสีให้กลายเป็นสิบสามสี การกระทำนี้คล่องแคล่วประดุจสายน้ำไหลริน มีร่างจำแลงช่วยเหลือ ความเร็วจึงมากถึงขีดสุด

ทว่าการหลอมไฟไม่ใช่เป้าหมายของเขา เมื่อไฟสิบสามสีกำลังจะปรากฏขึ้น เนื่องจากมีร่างจำแลงร่วมด้วย เพราะความไม่มั่นคงภายใน สุดท้ายวินาทีที่จะกลายมาเป็นไฟ กองไฟนี้จึงพลันระเบิดออก!

หลังการระเบิดคือเสียงกัมปนาทสะท้านสะเทือนฟ้าดิน ก้อนเมฆตลอดทั้งนภากาศถูกอาบย้อมให้กลายเป็นสีแดงฉาน ตามมาติดๆ ด้วยไฟสวรรค์สิบสามสีที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง…

เมื่อมองไกลๆ ฟ้าดินเป็นสีแดงเข้ม ไฟสิบสามสีที่ร่วงลงมาทำให้อุณหภูมิร้อนระอุยากจะจินตนาการ ลานวิญญาณทั้งสองแห่งลุกพรึ่บติดไฟในชั่วพริบตา

ไม่เพียงแต่เผาไหม้ร่องรอยของยาวิญญาณทั้งหมด แม้แต่ค่ายกลของลานวิญญาณก็ยังมิอาจต้านทานได้ไหวจึงเริ่มปริร้าวและพังทลาย พริบตาเดียวแสงไฟก็โชติช่วงชัชวาล อานุภาพน่าตื่นตะลึง ทว่าเนื่องจากพวกคนของตระกูลไช่ที่หมดสติไปก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความแค้นกับป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่คิดจะพร่าผลาญชีวิตของพวกเขา ก่อนหน้าที่ไฟสวรรค์จะเยื้องกรายมาถึงจึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนส่งออกไปนอกค่ายกล

ท่ามกลางทะเลเพลิงเผาไหม้ตลบอบอวล ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งออกจากแสงไฟกลายมาเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้นที่ห้อตะบึงหนีไปไกล ยามนี้ในใจเขาฮึกเหิม การแย่งวิญญาณและการลบเลือนร่องรอยครั้งนี้ช่างทำให้เขาสะใจยิ่งนัก

“ใครใช้ให้พวกเจ้ามาแย่งวิญญาณของข้าก่อน หึหึ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มปาก บัดนี้หัวใจเต้นกระหน่ำโลดแรง เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้ก่อเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว…

ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับร่างร่ายใช้ความเร็วเต็มกำลัง ทว่าวินาทีที่เขากำลังจะจากไปไกล กลับมีเสียงคำรามเดือดดาลดังแว่วมาจากจากทิศทางของตระกูลไช่

“กล้าแตะต้องลานวิญญาณของตระกูลไช่เรา เจ้ารนหาที่ตาย!!” ตามหลังเสียงคำรามคือเงาร่างเจ็ดแปดร่างที่พุ่งพรวดจากจุดห่างไกลขยับเข้ามาใกล้ราวสายฟ้าแลบ ผู้นำคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูจากใบหน้าชายหนุ่มผู้นี้น่าจะอายุไม่ถึงสามสิบปี ทว่าเส้นผมของเขากลับเป็นสีเงินยวง ตลอดทั้งร่างแผ่ปราณรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ

ทั้งยังพอจะสัมผัสได้ว่าบนร่างของคนผู้นี้มีปราณแห่งการก่อกำเนิดดำรงอยู่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มอยู่ห่างจากการก่อกำเนิดเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เกรงว่าหากปิดด่านแล้วผ่านไปอย่างราบรื่น ใช้ไม่นานนักก็ย่อมเลื่อนสู่ก่อกำเนิดได้!

และความเร็วของเขาก็แทบจะไม่ต่างจากก่อกำเนิดเท่าไหร่แล้ว ยามนี้กำลังพุ่งกระโจนมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ด้านหลังเขามีคนตามมาอีกเจ็ดแปดคน ต่างก็เป็นนักพรตรวมโอสถ เมื่อมองเห็นว่าลานวิญญาณถูกกลบทับไปด้วยไฟสวรรค์ และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ล้วนไหม้เกรียมไปแล้ว พวกเขาแต่ละคนจึงโมโหคลุ้มคลั่งผิดปกติ

“รนหาที่ตาย!!” ทุกคนคำรามกร้าว มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่เผ่นหนีไปไกล จิตสังหารระเบิดออกมาอย่างมิอาจควบคุม

พวกเขาเป็นเพียงแค่คนกลุ่มแรกที่มาถึง ด้านหลังยังมีผู้อาวุโสก่อกำเนิดของตระกูลไช่ที่บินโผนตรงมาที่นี่

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง คนของตระกูลไช่มาถึงเร็วเกินไป นอกจากรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะแล้ว เขายังรู้ดีว่าหากตนมัวพัวพันอยู่ที่นี่ ผลที่ตามมาคงร้ายแรงอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจึงร่ายความเร็วเต็มกำลังเผ่นหนีไปโดยไม่เหลียวหลัง

ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ธรรมดา พริบตาเดียวก็ทิ้งระยะห่างไปได้ช่วงหนึ่ง และพอก้าวเท้าออกมาร่างของเขาก็พลันพร่าเลือน ก่อนจะหายวับไป

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจของตระกูลไช่คนนั้นก็เผยไอสังหารดุเดือดออกมาทางดวงตา เขาหยิบเอาหนังสัตว์แผ่นหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของอย่างไม่ลังเลแล้วสะบัดหนึ่งที หนังสัตว์นี้ลุกติดไฟด้วยตัวเอง พอเผาไหม้ ฟ้าดินด้านหลังของเขาก็บิดเบือน ก่อนที่สัตว์ปีกสีหน้าดุร้ายสีดำตัวหนึ่งจะจำแลงกายออกมา

สัตว์ร้ายตัวนี้ลักษณะเหมือนแร้งดำหิมาลัย ทั้งยังมีสองหัว ปีกที่กางออกใหญ่หลายร้อยจั้ง หลังจากที่แหงนหน้าแผดเสียงบาดหูแล้วก็พลันกระพือปีก พริบตาเดียวลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจของตระกูลไช่ผู้นี้ก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนหลังของสัตว์ร้าย แทบจะขณะเดียวกับที่เท้าเขาแตะโดนหลังของมัน ความเร็วของสัตว์ตัวนี้ก็ระเบิดออกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงสวบดังทีเดียวร่างก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังอาศัยวิธีการที่พิเศษบางอย่างไล่ตามร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หนีไป

ฟ้าดินที่ห่างจากตรงนี้ไปประมาณสิบลี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาหนึ่งก้าว เพิ่งจะปรากฏตัวเขาก็เพิ่มความเร็วห้อทะยานไปยังนครผียักษ์โดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อย

“ต้องหนีให้ได้ เดี๋ยวถ้าคนฟ้าของตระกูลไช่ลงมือเอง ข้าจะอันตรายได้…” ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้เพราะความโมโหที่ข่มกลั้นไม่อยู่จึงลงมือขโมยวิญญาณ แต่พออารมณ์เย็นลงเขาก็ตกใจไปกับการกระทำของตัวเองเหมือนกัน

“เพราะถูกบีบบังคับแท้ๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือปาดเหงื่อ รุ้งยาวของเขาทะลุทะลวงความว่างเปล่าแหวกผ่านอากาศไป ขยับเข้าไปใกล้นครผียักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่อึดใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะด้านหลังของเขามีเสียงหวีดแหลมดังแว่วมา เสียงนั้นดังสะเทือนฟ้าดิน ทั้งๆ ที่เสียงยังดังแว่วอยู่ข้างหู ทว่าลมพายุกลับก่อตัวขึ้นมาแล้ว ลมนี้พัดกระโชกรุนแรงคล้ายต้องการทำลายทุกสรรพสิ่ง ทั้งยังมีเสียงแหลมหวีดหวิวที่ราวกับต้องการแทงทะลุเข้ามายังจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ พอหันขวับกลับไปมองดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาเห็นว่าด้านหลังตัวเองมีแร้งดำหิมาลัยสองหัวขนาดหลายร้อยจั้งตัวหนึ่งกำลังบินตามมา แร้งดำหิมาลัยตัวนี้แหวกทะลวงทุกความว่างเปล่าตรงดิ่งเข้าหาตน

เปลวไฟร้อนแรงลุกโชน ขณะเดียวกันบนแร้งดำหิมาลัยตัวนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นี้ยกมือขวาขึ้นคว้าจับความว่างเปล่า ก่อนที่ทวนยาวสีดำเล่มหนึ่งจะปรากฏขึ้นกลางมือของเขา

“เจ้าโจรใจกล้า บังอาจแตะต้องลานวิญญาณของตระกูลไช่ ข้าจะให้เจ้าดับสิ้นทั้งกายและจิต!!” ชายหนุ่มแผดเสียงคำราม อาศัยความเร็วของแร้งดำหิมาลัยแผ่ตบะทั้งหมดผสานรวมเข้าไปในทวนยาวแล้วขว้างมันพุ่งหลาวเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ความเร็วนั้นมีมากจนป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทันตั้งตัว เพราะแร้งดำหิมาลัยตัวนั้นบินไวมากจริงๆ เวลาแค่พริบตาเดียวแร้งดำหิมาลัยก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนทวนยาวสีดำก็พุ่งออกมาจากมือของลูกหลานผู้มากฝีมือของตระกูลไช่ หมายจะแทงทะลุผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี คำรามเบาๆ หนึ่งครั้งพร้อมยกมือทั้งคู่ขึ้นสกัดกั้นเต็มกำลัง

ปังๆๆ!

เสียงกัมปนาทอึกทึกแปดทิศ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือก ม้วนตลบถอยกรูดออกไปหลายร้อยจั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้น ตัวเขาเองก็ถึงกับอึ้งงันไปครู่หนึ่ง

“ไม่เป็นอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง การโจมตีด้วยพลังอำนาจสะเทือนขวัญของอีกฝ่ายตกกระทบลงบนร่างของเขาอย่างจัง เดิมทีเขาคิดว่าหากป้องกันไม่ได้คงบาดเจ็บหนักแน่นอน แต่กลับค้นพบว่าตัวเองไม่เป็นอะไรสักอย่าง

“บัดซบเอ๊ย สัตว์ตัวนี้ร้ายกาจ ความเร็วน่าตะลึง ทว่าคนที่เป็นนายของมันกลับอ่อนแอเกินไป…ก็แค่อาศัยความเร็วของสัตว์ปีกไล่กวดมาทำให้ข้าตั้งตัวไม่ทันก็เท่านั้น”  หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสีหน้าฮึกเหิม คึกคักขึ้นมาทันใด หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย ชายหนุ่มบนแร้งดำหิมาลัยก็ถึงกับสำลักลมหายใจ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าตะลึงลาน

เขารู้ดีว่าความเร็วของแร้งดำหิมาลัยตัวนี้ของตนเทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดขึ้นสมบูรณ์แบบ และเมื่ออยู่ภายใต้ความเร็วสูงสุด ทวนที่ได้รับการปลุกเสกจากตบะของตน ต่อให้เจอกับนักพรตก่อกำเนิดก็ยังสามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา

ทว่าเจ้าโจรร้ายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับไม่เป็นอะไรสักอย่าง…นี่ทำให้ใจเขาสั่นไหว ขณะเดียวกันก็ต้องสูดลมหายใจเฮือกๆ อย่างอดไม่ได้ พอมองใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียด ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันหดตัวเข้าหากัน

“เจ้า…เจ้าคือป๋ายฮ่าว!!”

เนื่องจากก่อนหน้านี้ป๋ายฮ่าวก่อกบฏในตระกูลป๋ายจนชื่อเสียงโด่งดัง แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักรูปร่างหน้าตาของป๋ายฮ่าว ต่อให้เป็นลูกผู้ลากมากดีในสามตระกูลใหญ่ก็ยังไม่ได้ใส่ใจมากนัก

ทว่าคนระดับสูงรวมไปถึงลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจของทั้งสามตระกูลต่างก็เคยเห็นภาพวาดของเขามาก่อน ก่อนหน้านี้เพราะรีบร้อนลงมือจึงไม่ทันมองให้ดี ตอนนี้พอตกตะลึงไปกับฝีมือของอีกฝ่าย เขาจึงจำตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที

เมื่อตระหนักได้ว่าคนผู้นี้คือป๋ายฮ่าว ลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจของตระกูลไช่ผู้นี้ก็พลันตื่นตระหนก เขารู้ดีว่าป๋ายฮ่าวอำมหิตเหี้ยมโหดแค่ไหน แถมอีกฝ่ายยังสามารถจับตัวประมุขตระกูลป๋ายที่มีตบะก่อกำเนิดช่วงกลาง เป็นเหตุให้บุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายต้องลงมือเอง บุคคลเช่นนี้ยังไม่ใช่คนที่เขาในตอนนี้จะไปมีเรื่องด้วยได้

“เจ้ารู้จักข้า? รู้จักข้าก็ไม่มีประโยชน์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาตะโกนดังลั่น ร่างจำแลงพร้อมใจกันลงมือ พายุหมุนบ้าคลั่งลูกหนึ่งก็ก่อตัวแล้วหมุนคว้างเข้าหาลูกหลานแห่งความภาคภูมิใจตระกูลไช่ผู้นั้นทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version