บทที่ 636 ไฟสิบสี่สี สำเร็จ
ไม่ว่าโลกภายนอกจะเล่าลือกันอย่างไร พอกลับมาถึงคุกมารป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบกลับไปยังที่พักของตัวเอง รออยู่หลายวันจนเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาถึงได้คลายใจลงอย่างแท้จริง
“ตำแหน่งผู้คุมคุกของข้านี่มีประโยชน์มากจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ควรเก็บตัวไปก่อนถึงจะมั่นคง หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าจะไม่ออกไปข้างนอกเด็ดขาด” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำถุงเก็บของ ในใจฮึกเหิมอย่างมาก ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้มากมหาศาลจนเขารู้สึกว่าตัวเองได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ชาญฉลาด
“สามตระกูลใหญ่มาแย่งข้าก่อน ข้าไปแย่งของของพวกเขาคืนก็ถือว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง หลายวันให้หลังเขาก็มักจะออกไปลาดตระเวนในคุกมารกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ของกองเก้าเป็นประจำ จนกระทั่งผ่านไปได้อีกหลายวัน เมื่อในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนอนุมานการหลอมไฟสิบสี่สีได้ละเอียดยิบแล้ว เขาถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่ว่างจากการลาดตระเวนไปในคุกเพียงลำพัง
เดิมทีในคุกเขตติงวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ ตอนที่ไม่มีพวกผู้คุมมาเยือน พวกนักโทษชุดเทารวมไปถึงนักโทษในหัวกะโหลกต่างก็มีอิสระเป็นของตัวเอง
ต่อให้ผู้คุมมาก็มักจะไม่สนใจนักโทษเหล่านี้ พวกเขาจึงยังคงทำอะไรได้ตามใจชอบ แต่วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบเข้ามาในคุกเขตติง ทุกความวุ่นวายอึกทึกพลันเงียบสงัดไปทันใด
“วันนี้ข้าเข้าเวร พวกเจ้าจงทำตัวให้ดีๆ หน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาในคุกได้ก็เอามือไพล่หลัง เอ่ยปากสำแดงบารมี เสียงดังไปทั่วด้าน พวกนักโทษชุดเทาที่ได้ยินต่างอกสั่นขวัญแขวน แม้แต่นักโทษฉกรรจ์จำนวนไม่น้อยก็ยังพากันหันมามอง
“แส้ทมิฬ!!”
“นั่นป๋ายฮ่าวแส้ทมิฬสมควรตายผู้นั้น!”
“คนคนนี้ป่าเถื่อนอำมหิต จนถึงตอนนี้ข้ายังจำภาพที่เขาสอบสวนโจวเหล่าม๋อ
คราวก่อนได้อยู่เลย…อนาถนัก” โดยเฉพาะพวกนักโทษที่เคยโดนป๋ายเสี่ยวฉุนสอบสวนมาก่อน พอเห็นเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของพวกเขาก็สั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว
ตลอดทั้งคุกเขตติงเงียบเป็นเป่าสาก ทุกที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินผ่านไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นั่นเป็นเพราะช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่ในคุกมารแห่งนี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังเกินไป นักโทษเก่าแก่ที่อยู่ในเขตติงล้วนไม่มีใครรอดพ้นจากการสอบสวนของเขาไปได้ เรื่องนี้จึงได้สร้างความครึกโครมให้กับเขตติงอยู่นานแล้ว
ที่น่าพรั่นพรึงที่สุดก็คือการสอบสวนของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความลึกลับ ทุกคนได้เห็นเพียงควันที่แผ่อบอวล มองไม่เห็นรายละเอียดชัดเจน ทว่าเสียงร้องโหยหวนรวดร้าวที่ดังมาจากปากนักโทษแต่ละคนกลับทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจดจำได้ขึ้นใจราวกับเพิ่งเกิดไปเมื่อวาน ยากที่จะลบลืม
บัดนี้พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือน นักโทษในเขตติงก็ตั้งท่าระแวดระวัง กลัวว่าจะไปขัดหูขัดตาป๋ายเสี่ยวฉุนจนนำภัยมาสู่ตัว และยังมีคนไม่น้อยที่รีบเผยรอยยิ้มประจบเอาใจ ส่วนพวกนักโทษชุดเทาก็ยิ่งเข้ามาห้อมล้อมสอพลอเดินอออยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้นน้อยๆ เห็นสายตาเคารพยำเกรงจากคนรอบด้านเขาก็อดที่จะเคลิบเคลิ้มในใจไม่ได้ รู้สึกว่าไม่ว่าตนเดินไปที่ไหนก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำได้อย่างง่ายดาย
“โดดเด่นเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ความต้องการของข้าเลยนะ ข้าควรถ่อมตัวสิถึงจะถูก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังแล้วโบกมือไล่พวกนักโทษชุดเทากลับไป ส่วนตัวเองก็เดินเตร่อยู่ในเขตติงเพียงลำพัง ไม่นานก็มาถึงพื้นที่เปลี่ยวร้างที่เขาใช้หลอมไฟก่อนหน้านี้ พอนั่งขัดสมาธิเรียบร้อยก็หันไปมองรอบด้าน
“ที่นี่แหละดีที่สุด พื้นที่มีมากพอ สะดวกให้ข้าหลอมไฟ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จัดวางตราผนึกไปรอบด้านอีกครั้ง พอโบกมือให้ควันแผ่ปกคลุมทั่วด้านเสร็จเรียบร้อยก็หลับตาเข้าฌาน
เรียบเรียงการหลอมไฟสิบสี่อยู่ในสมองซ้ำอีกหนึ่งรอบดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เบิกโพลง ตบลงไปบนถุงเก็บของหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสถูปวิญญาณก็ลอยออกมา พอวิญญาณที่อยู่ด้านในถูกปลดปล่อย เขาก็เริ่มทดลองหลอมไฟสิบสี่สีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อวิญญาณบินแผ่ออกมา มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นวิญญาณรอบด้านก็เหมือนถูกดูดให้ลอยมาอยู่กลางฝ่ามือของเขา ไม่นานไฟกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่กลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุน พอเปลี่ยนจากหนึ่งสีไปจนถึงสิบสามสีแล้ว เขาก็รวมรวมสมาธิทั้งหมดเริ่มทำการหลอมไฟสิบสี่สี
“ข้ามีความมั่นใจในการหลอมไฟสิบสี่สีมากแล้ว มีเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนเท่านั้นที่ยังจำเป็นต้องปรับแก้…ภายในห้าครั้ง ต้องทำสำเร็จแน่!”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายระยิบระยับ เริ่มหลอมไฟตามการอนุมานในสมอง
ไม่นานวิญญาณโดยรอบก็ห้อทะยานเข้ามาผสานรวมกับไฟกลางมือของป๋ายเสี่ยวฉุนไปทีละดวง ไฟกองนี้จึงขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงท้ายที่สุดก็แผ่ขยายออกไปปกคลุมแปดทิศแล้วเขมือบกลืนวิญญาณพยาบาททั้งหมด
และสีของมันที่เดิมทีมีสิบสามสีก็เหมือนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสี ทว่าชั่วขณะที่จะกลายเป็นสิบสี่สีนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหน้าเปลี่ยนสี โบกมืออย่างแรง ไฟสิบสามสีกลางฝ่ามือก็ดับไปเองอย่างเงียบเชียบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว มองฝ่ามือของตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณพยาบาทจำนวนมากออกมาแล้วทดลองหลอมอีกครั้ง เวลาเก้าวันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเก้าวันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟไปแล้วสี่ครั้ง แม้ว่าทุกครั้งจะล้มเหลว แต่เขากลับไม่ย่อท้อ เขามีวิญญาณมากพอให้ทดลองใช้ อีกทั้งขณะเดียวกันกับที่ล้มเหลว เขาก็ได้สรุปรวมสาเหตุไปพร้อมๆ กัน ยามนี้เมื่อวันที่สิบของการมาลาดตระเวนเพียงลำพังของเขามาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สะบัดศีรษะที่เส้นผมพะรุงพะรัง ทว่าสีหน้ากลับคึกคักมีชีวิตชีวาถึงขีดสุด
“ปัญหาทั้งหมดล้วนแก้ไขได้แล้ว ครั้งนี้ ไฟสิบสี่สี ต้องสำเร็จแน่นอน!”
“ถ้าข้าหลอมไฟสิบสี่สีได้ก็เท่ากับเป็นจุดสูงสุดของขั้นสีเหลืองแล้ว! และหากสามารถหลอมไฟสิบห้าสี ข้าก็คือ…อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความรอคอย เขามาอยู่แดนทุรกันดารนานพอสมควรแล้ว ความเข้าใจที่มีต่ออาจารย์หลอมวิญญาณจึงเพิ่มมากขึ้น รู้ว่าอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำแทบจะเรียกได้ว่าเป็นขอบเขตสูงสุดในตระกูลหลอมวิญญาณใหญ่ๆ ตระกูลหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนขั้นดิน ตลอดทั้งแดนทุรกันดารนั้นมีอยู่น้อยมาก ไม่ว่าคนใดก็ล้วนมีตำแหน่งสูงส่ง แม้จะเทียบหวังเหย่ผู้เป็นราชาไม่ได้ แต่ก็เหนือล้ำเกินกว่าคนฟ้าไปแล้ว
ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย สูดลมหายใจเข้าลึกช้าๆ พอปรับอารมณ์ตัวเองให้สงบลงแล้วจึงหลอมไฟอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกขั้นตอนล้วนรื่นไหลราวสายน้ำไหลริน คุ้นเคยชำนาญอย่างยิ่งยวด ไม่นานไฟหนึ่งสีถึงไฟสิบสามสีก็หลอมได้อย่างไม่มีสะดุด สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งวิญญาณพยาบาทจำนวนมากก็บินออกมาจากในสถูปวิญญาณ พอป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว ไฟสิบสามสีในมือก็ระเบิดออกทันใด แล้วซัดกระจายกวาดตะลุยไปรอบด้าน
เมื่อมันแผ่กระจายออกมา กระแสวิญญาณโดยรอบก็ถูกผสานรวมอยู่ในไฟสิบสามสี ขั้นตอนทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป แสงไฟของไฟสิบสามสีก็พลันเจิดจ้า และภายในก็มีสีที่สิบสี่ปรากฏขึ้น!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเหลือคณนา ทว่ามือของเขากลับนิ่งมาก เขาแผ่พลังจิตของตัวเองออกมาแล้วค่อยๆ หุบมือเข้าหากัน เมื่อมือของเขาขยับ ไฟสิบสี่สีที่อยู่รอบด้านจึงหุบเข้าหากันช้าๆ ตามไปด้วย ขั้นตอนทั้งหมดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเปลืองกำลังกายกำลังใจไปมาก มากเกินกว่าทุกครั้งที่ทำไปก่อนหน้านี้
ใช้เวลาครึ่งชั่วยามป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระมัดระวังทุกก้าวย่างถึงได้กำมือเป็นหมัดในที่สุด และทะเลเพลิงรอบด้านก็หายวับเข้ามาในหมัดของเขา!
หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นระรัว ลมหายใจถี่กระชั้น จ้องเขม็งไปยังหมัดของตัวเอง ตอนที่แบออกช้าๆ ไฟสิบสี่สีที่พร่างพราวจับตากองหนึ่งก็พลัน…ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา!
แสงไฟหมุนวนคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยขีดสูงสุดบางอย่างของโลกใบหนึ่ง ขณะเดียวกันกับที่แสงไฟเริงระบำก็ยิ่งมีพลังความร้อนที่อันตรายถึงชีวิตทำท่าเหมือนจะระเบิดออกมาจากภายใน
หากมันระเบิดเมื่อใด แม้ไฟสิบสี่สีนี้จะมิอาจคุกคามคนฟ้าได้ ทว่าสำหรับก่อกำเนิดส่วนใหญ่แล้วก็แทบจะดับมลายให้พินาศวอดวายได้เลย!
“สำเร็จแล้ว ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่าด้วยความดีใจ
“ไม่รู้ว่าข้าจะหลอมไฟสิบห้าสีออกมาได้เมื่อไหร่ มันน่าจะยากมากเลย เพราะอย่างไรซะหากหลอมสำเร็จข้าก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำ เอาเถอะ แม้ว่าไฟนี้จะดี แต่หากไม่สามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ของข้าได้ก็ไม่มีประโยชน์…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจแล้วเก็บไฟสิบสี่สีนี้ลงไป เขาลองนับวิญญาณที่เหลือดู ดวงตาก็เผยความเด็ดเดี่ยว
“เอาของทุกอย่างในตัวข้าที่พอจะหลอมได้มาหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้…ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ก่อกำเนิด ทว่าพลังในการต่อสู้ของข้าก็ย่อมเพิ่มพูนไปอีกไม่น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็เร่าร้อน แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ยึดมั่นต่อการติดอาวุธให้กับตัวเองมาโดยตลอด
ยามนี้เขาจึงเตรียมจะเริ่มหลอมพลังจิตอย่างไม่มีความลังเล…กำลังจะหยิบเอาหม้อลายกระดองเต่าออกมา ทว่ากลับฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้สิ…ที่นี่มีคนเยอะหูตาก็เยอะ…ต่อให้มีควันบดบัง แต่อย่างไรกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ หม้อของข้าคือของดีเชียวนะ มีสมบัติต้องไม่เอามาให้คนนอกดู ถ่อมตัวนะ ต้องถ่อมตัว”
“ต้องระวังให้มากๆ อยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้ทุกอย่างต้องมั่นคงแล้วมั่นคงอีก จะประมาทไม่ได้เลย” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลุกขึ้นยืน พอสลายหมอกควันรอบด้านไปเรียบร้อยก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวบินทะยานไปยังประตูใหญ่ของคุก
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนไปจากคุกเขตติงแล้ว ในหัวกะโหลกแห่งหนึ่งที่ห่างจากพื้นที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ไปเล็กน้อย ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นมีปานแดงหนึ่งดวงบนใบหน้า
ผู้เฒ่าคนนี้ก้มหน้าลงต่ำ มองดูแล้วไม่ต่างอะไรไปจากนักโทษทั่วไป ทว่าตอนนี้เขากลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่มีประกายแสงดำมืดวาบผ่านมองไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ก่อนหน้านี้
“เพิ่งจะหลอมไฟสิบสามสีไปได้ไม่นานเขากลับหลอมไฟสิบสี่สีได้…เจ้าเด็กนี่น่าสนใจไม่น้อย” ผู้เฒ่าพึมพำคล้ายกำลังหัวเราะเบาๆ สถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกอยู่ห่างไกล บวกกับที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งร่ายผนึกทั้งใช้หมอกควันอำพราง ดังนั้นการปรากฏของไฟสิบสี่สีจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร มีเพียงผู้เฒ่าคนนี้ที่เหมือนจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่นานเขาก็หลับตาลงอีกครั้งแล้วไม่ได้ให้ความสนใจอีก