Skip to content

A Will Eternal 637

บทที่ 637 ทั้งร่างมีแต่สมบัติ

หลังออกมาจากคุกเขตติง ระหว่างทางป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เจอกับผู้ฝึกวิญญาณคนอื่นๆ ของกองเก้าจึงพูดจาพาทีกันพักใหญ่ก่อนจะกลับไปยังที่พักของตัวเอง

“ยังเหลือเวลาอีกช่วงหนึ่งกว่าจะได้ลาดตระเวนครั้งต่อไป อาศัยเวลาช่วงนี้มาหลอมพลังจิตให้กับของในร่างข้าได้พอดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกรอคอยอย่างมาก ในสมองมีภาพต่างๆ ลอยขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในภาพเหล่านั้นคือร่างของเขาที่ตลอดทั้งตัวสวมวัตถุที่หลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง ประกายแสงอัญมณีแวววาวแยงตา

คิดถึงเรื่องที่น่าฮึกเหิม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะคิกคักด้วยความเบิกบาน ฉวยโอกาสตอนที่อารมณ์กำลังคึกคักเริ่มจัดวางค่ายกลในที่พัก พอแน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยดีแล้วก็เอาวิญญาณพยาบาทจำนวนมากในสถูปวิญญาณออกมาหลอมไฟสิบสี่สีอย่างราบรื่นอีกหลายกอง จากนั้นจึงหยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมาเริ่มหลอมพลังจิต

อันดับแรกที่หลอมก็คือร่มราตรีนิรันดร์ คราวนี้ร่มคันนี้ถูกเขาหลอมพลังจิตติดต่อกันสิบสี่ครั้ง รูปร่างจึงเปลี่ยนไปอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะใบหน้าผีที่อยู่บนร่มที่ยามนี้เหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ เหมือนจะร้องไห้ก็ไม่เชิง มองดูแล้วน่าสยดสยองอย่างมาก อีกทั้งกลางหว่างคิ้วบนหน้าผียังมีรอยแนวตั้งปรากฏขึ้นมาหนึ่งรอย หากมองอย่างละเอียดจะเห็นดวงตาที่สามอยู่ด้านใน และในดวงตาที่สามก็เหมือนจะซ่อนหน้าผีอีกหน้าหนึ่งไว้เบื้องใต้ให้พอมองเห็นได้รำไร แค่มองไปปราดเดียว ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใจสั่นสะท้าน

“เกรงว่าหากหลอมไปอีกขั้นเป็นสิบห้าครั้งคงกลายมาเป็นอาวุธวิเศษของคนฟ้าจริงๆ” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนลุกเรือง แลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างของตัวเอง เขารู้ดีว่าหลังจากหลอมพลังจิตสิบห้าครั้ง ปราณที่จะแผ่ออกมาจากในอาวุธวิเศษนี้เทียบเคียงได้กับคนฟ้าได้แล้ว อีกทั้งสมบัติประเภทนี้ต่อให้เป็นในแดนทุรกันดารก็ยังมีให้เห็นได้น้อยครั้ง

เพราะถึงแม้แดนทุรกันดารจะมีไฟหลายสี ทว่าอัตราการประสบความสำเร็จในการหลอมพลังจิตกลับไม่สูง เพียงแค่ว่าจำนวนเลขฐานมีสูง ดังนั้นมองดูแล้วจึงเหมือนมีมาก

แต่ในความเป็นจริงแล้วหากบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่อาวุธวิเศษหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งจริงๆ แม้เขาจะไม่ใช่คนแรกในแดนทุรกันดาร เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยเห็นคนทำมาก่อนแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจคนสะท้านสะเทือนได้อยู่ดี

หลอมพลังจิตให้ร่มราตรีนิรันดร์เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวัง หลังจากแน่ใจอีกครั้งว่าปลอดภัยดีจึงรีบดึงหน้ากากของตัวเองลงมาทันที แล้วก็เอาหน้ากากมาหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้ง จากนั้นจึงสวมกลับไปดังเดิมอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วถึงได้พรูลมหายใจยาวเหยียด ต่อมาจึงเลือกเอาอาวุธวิเศษชิ้นอื่นๆ มาหลอมต่อเช่นธนูของโจวอีซิง และยังมีลูกธนูที่อานุภาพมหาศาล หรือแม้แต่กระบี่บินในถุงเก็บของ รวมไปถึงอาวุธวิเศษอื่นๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะนึกออกก็ล้วนถูกเขาหลอมพลังจิตให้ทั้งหมด

ที่เกินกว่าเหตุที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนไพล่นึกไปถึงอาภรณ์ของลูกหลานผู้ดีตระกูลไช่คนนั้น เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่ายอมแพ้ไม่ได้ ทั้งยังคิดว่าตนต้องเหนือกว่า ดังนั้นเขาจึงเอาเกราะหนังหลายตัวในถุงเก็บของออกมาหลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งด้วย…

การกระทำเช่นนี้เรียกว่าฟุ่มเฟือยอย่างถึงที่สุด หากแพร่ออกไปต้องทำให้คนที่ได้ยินคลุ้มคลั่งแน่นอน จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าตนไม่มีสมบัติให้เอามาหลอมพลังจิตอีกแล้วเขาถึงได้ยุติการหลอมพลังจิตที่ทำให้คนอื่นบ้าคลั่ง หรืออาจจนถึงขั้นริษยาแทบตายครั้งนี้ลง สมบัติวิเศษตลอดทั้งร่างของเขาในเวลานี้ล้วนถูกหลอมพลังจิตครบสิบสี่ครั้ง…สามารถพูดได้ว่าเขาโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยสวมใส่อาภรณ์ติดอาวุธครบครันทั้งร่างลามไปยันฟันในระดับที่น่าตะลึงเท่านี้มาก่อน

“ตอนนี้ต่อให้ข้าได้เจอกับบุรพาจารย์คนฟ้าของตระกูลป๋ายอีกครั้ง หากเขาคิดจะฆ่าข้าก็ไม่ง่ายขนาดนั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ หลังจากพบว่าวิญญาณของตนยังเหลืออีกเกือบครึ่งก็ยิ่งอารมณ์ดี

“แม้ว่าจะไม่สามารถเพิ่มตบะได้ แต่อาภรณ์ชุดนี้ของข้าก็ทำให้พลังในการต่อสู้ของข้าเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก ใช่แล้ว…ต้องรีบหลอมไฟสิบห้าสีให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ตลอดทั้งร่างของข้าจะได้มีแต่ของที่ผ่านการหลอมพลังจิตสิบห้าครั้ง…คนฟ้ามาเห็นเข้าก็ต้องมองตาค้างแน่นอน! อืม ทางที่ดีที่สุดคือต้องทำให้พวกเขาอิจฉาข้าจนแทบบ้า แค่นี้ก็ไม่ต้องต่อสู้กันแล้ว ฮ่าๆๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งคึกคะนอง แต่เขารู้ดีถึงหลักที่ว่าสมบัติมักนำภัยมาสู่ตัว แม้ว่าหน้ากากจะมีพลังอำพรางที่ดีเยี่ยม ไม่มีทางเปิดเผยให้ใครรู้ง่ายๆ ทว่าเขาก็ยังคงปกปิดลายเส้นสีทองของสมบัติที่หลอมพลังจิตสิบสี่ครั้งเอาไว้อยู่ดี

ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มศึกษาวิธีการหลอมไฟสิบห้าสีตามบันทึกของป๋ายฮ่าวทันที

เวลาแต่ละวันผ่านพ้นไป ไม่นานก็ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน เจ็ดวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มอย่างมาก ตำรับการหลอมไฟสิบห้าสีไม่ว่าจะสำหรับตระกูลผู้หลอมวิญญาณตระกูลใดก็ล้วนสำคัญอย่างยิ่งยวด

แม้ว่าในบันทึกของป๋ายฮ่าวจะมีตำรับไฟสิบห้าสีอยู่ก็จริง แต่ตำรับนี้ไม่สมบูรณ์ อีกทั้งระดับความยากของไฟสิบห้าสีก็มีมากจนป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากกว้างตาค้างมาตลอดทั้งเจ็ดวัน

หากนำระดับความยากของการหลอมไฟสิบสี่สีมาเทียบเป็นเลขสิบ ถ้าเช่นนั้นความยากในการหลอมไฟสิบห้าสีก็เท่ากับหนึ่งร้อย!

ความต่างสิบเท่าทำให้ไฟสิบห้าสีนี้กลายมาเป็นร่องลึกระหว่างฟ้าและดินที่ไม่เพียงแต่กีดขวางอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ยังกีดขวางอยู่เบื้องหน้าอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองทุกคนในแดนทุรกันดารด้วย

หากทำสำเร็จก็จะกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำ ทว่าระดับความยากนี้ทำให้อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำทั่วทั้งแดนทุรกันดารมีแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น นี่จึงแสดงให้เห็นว่าไฟสิบห้าสีหลอมได้ยากมากแค่ไหน

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ศึกษาและอนุมานต่อไป แถมบางครั้งยังทดลองทำดูด้วย ผ่านไปอีกสามวัน ยามเที่ยงของวันนี้ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทึ้งผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด การอนุมานไฟสิบห้าสีของเขาก็ดำเนินมาได้สิบวันแล้ว ทว่าความคืบหน้ากลับน้อยแสนน้อย แต่ทันใดนั้นเขากลับขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้น

ไม่นานนักด้านนอกก็มีเสียงปิติยินดีอย่างปิดไม่มิดของหัวหน้ากองเก้าดังลอยมา

“ป๋ายฮ่าว รีบออกมาเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของป๋ายเสี่ยวฉุนคลายออกเล็กน้อย เขาลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้อง มองปราดเดียวก็เห็นหัวหน้ากองเก้าที่ยืนรออยู่ด้วยท่าทางฮึกเหิม

“หัวหน้ากอง มีเรื่องอะไรหรือ? มีนักโทษใหม่มาหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านเล็กน้อย

“มีนักโทษใหม่มาจริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในเขตติงของพวกเรา อีกอย่างไม่ใช่ข้าที่อยากพบเจ้า แต่เป็นท่านพัศดีต่างหากที่อยากพบเจ้า” หัวหน้ากองกล่าว ทั้งยังเอื้อมมือมาคว้าแขนของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วลากให้เขาเดินไปด้วยกัน

“ท่านพัศดี?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน ในสมองมีภาพของหลี่ซวี่ที่ตนได้เห็นนอกแม่น้ำพิทักษ์เมืองวันนั้นลอยขึ้นมาทันที ในใจให้ตื่นตระหนก พูดกับตัวเองในใจว่าหรือเป็นเพราะราชาผียักษ์ไม่สนใจใยดีตนแล้ว

คนตระกูลไช่หรือไม่ก็คนตระกูลป๋ายจึงมาหาเรื่องตนถึงที่? ทว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนมองหัวหน้ากองก็พบว่าหัวหน้ากองมีท่าทีปิติยินดีอย่างล้นเหลือจึงรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่ตนคิดไว้

“หัวหน้ากอง สรุปว่ามีเรื่องอะไรกันแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักแล้วรีบเอ่ยถาม

“เรื่องดี เรื่องดีเรื่องใหญ่เลยล่ะ!” หัวหน้ากองหัวเราะฮ่าๆ มองออกถึงความร้อนใจของป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงไม่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อต่อ แต่กลับดึงตัวป๋ายเสี่ยวฉุนให้เดินไปด้วยกันพลางพูดให้เขาฟังไปด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็ได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เสียที…

ตามที่หัวหน้ากองเล่าให้ฟัง ช่วงก่อนหน้านี้ในเขตเจี่ยได้จับนักโทษใหม่มาหนึ่งคน นักโทษผู้นี้มีความสำคัญสูงสุด และดูเหมือนว่าเบื้องบนจะสั่งมาว่าต้องง้างปากเขาให้ได้ พัศดีจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด

ทว่าคนผู้นี้ปากแข็ง อีกทั้งแส้ทมิฬของสี่เขตใหญ่ต่างก็ลงมือกันไปหมดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถงัดคำตอบใดๆ ออกมาจากปากของเขาได้ แถมคนผู้นี้ยังมีความพิเศษบางอย่าง หากฝืนใช้การค้นวิญญาณ นอกจากจะไม่ได้ผลลัพธ์ใดเพราะอีกฝ่ายคือนักพรตก่อกำเนิดแล้ว ยังจะทำให้จิตวิญญาณของเขาแหลกสลายไปในทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ตลอดทั้งคุกมารจึงอับจนหนทาง

และก็เพราะพัศดีได้รับแรงกดดันมหาศาลจึงพาลโมโหใส่ทุกคนอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต่อให้สี่แส้ทมิฬผู้ยิ่งใหญ่จะใช้สารพัดวิธีก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี

ขณะที่ทุกคนหมดปัญญา ซุนเผิงนายตะรางเขตติงก็เสนอชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุน บอกว่าเขตติงของเขามีคนชื่อป๋ายฮ่าวที่ใช้วิธีการสอบสวนได้อย่างเฉียบขาด ทำให้บรรดานักโทษเก่าแก่ในเขตติงที่ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะปากแข็งดื้อรั้นแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายฮ่าวก็ล้วนยอมเปิดปากกันหมด

เดิมทีเรื่องระดับสูงเช่นนี้ไม่มีทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้รับรู้ ทว่าหลี่ซวี่เองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ พอได้ยินคำพูดของซุนเผิงจึงนึกถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาได้ แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่เพราะแรงกดดันมีมากเกินไป ดังนั้นต่อให้รู้ว่าอาจหมดหวังแต่ก็ยังอยากลองเสี่ยงดวง นั่นถึงได้เรียกป๋ายเสี่ยวฉุนให้เข้าไปพบ

“น้องป๋าย นี่คือโอกาสอันดีเลยนะ หากเจ้าง้างปากไอ้หมอนั่นได้ นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็จะได้เป็นแส้ทมิฬมือหนึ่งของคุกมารเรา!” หัวหน้ากองเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเชื่อมั่นใจฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก ในสายตาของเขา บนโลกนี้ไม่มีนักโทษคนใดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนง้างปากไม่ได้

“กลายเป็นแส้ทมิฬอันดับหนึ่ง แม้จะไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน ทว่าตามกฎของคุกมารเรา เจ้าล้วนไปเยือนเขตใหญ่ทั้งสี่ได้ตามใจชอบ ฐานะสูงส่ง เป็นรองแค่พัศดี เท่าเทียมกับนายตะรางใหญ่ทั้งสี่เชียวนะ!”

“โอกาสนี้เจ้าต้องคว้ามาไว้ให้ได้ ไม่เพียงแต่ก้าวหน้าพรวดพราด ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่เปลืองแรง แถมนักโทษเก่าแก่ในอีกสามเขตใหญ่ยังนำพาทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่มาให้เจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าลืมพวกเรานะ” หัวหน้ากองยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ดึงตัวป๋ายเสี่ยวฉุนให้ตรงดิ่งไปยังเขตเจี่ย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คลายใจลงได้ ขอแค่ไม่ใช่ตระกูลป๋ายหรือตระกูลไช่มาหาเรื่อง เขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีกแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องการสอบสวนก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้หัวหน้ากองวางใจได้ ไม่เคยมีความลับไหนที่ข้าถามแล้วไม่ได้คำคอบ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น กล่าวอย่างลำพองใจ ไม่นานภายใต้การนำของหัวหน้ากอง เขาก็มาถึงเขตเจี่ย

สภาพแวดล้อมของเขตเจี่ยคล้ายคลึงกับเขตติงอยู่มาก ทว่าพอมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่าที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าเขตติงหลายเท่า อีกทั้งยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า รอบด้านอบอวลไปด้วยปราณเย็นเยียบอึมครึมเข้มข้น ที่พักของพวกผู้คุมก็ยิ่งมีคลื่นวิญญาณแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าการฝึกตนอยู่ที่นี่เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกวิญญาณอย่างมาก

บัดนี้บนลานกว้างเขตเจี่ยวางหัวกะโหลกใหญ่ยักษ์ไว้หัวหนึ่ง ด้านในขังชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอาไว้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อย ชายผู้นี้อาภรณ์ขาดวิ่น นัยน์ตาเผยความดูหมิ่น ยามนี้กำลังถูกเงาร่างหนึ่งที่หันหลังให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับคอเอาไว้และเหมือนจะกำลังพูดอะไรบางอย่าง

นอกหัวกะโหลกมีคนไม่น้อยรออยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็เห็นซุนเผิงแห่งเขตติง รอบกายของซุนเผิงยังมีผู้เฒ่าอีกสามคน แต่ละคนสีหน้ามืดคล้ำ ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือนายตะรางของสี่เขตใหญ่

และข้างกายพวกเขายังมีนักพรตอยู่อีกสี่คน นักพรตสี่คนนี้อายุต่างกันออกไป มีทั้งแก่มีทั้งหนุ่ม ทว่าบนร่างของทุกคนกลับแผ่ไอเย็นเยียบน่าขนลุกออกมาไม่ต่างกัน พวกเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ราวกับงูพิษสี่ตัวที่ซ่อนตัวอยู่กลางพุ่มหญ้า!

สี่คนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักแค่คนเดียว นั่นก็คือแส้ทมิฬของเขตติง ทว่าเมื่อเห็นคนผู้นี้เขาจึงเดาได้อย่างง่ายดายว่าอีกสามคนที่เหลือต้องเป็นมือลงแส้อันดับหนึ่งของแต่ละเขตอย่างแส้ทมิฬแน่นอน

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็น…คนที่จับคอของนักโทษคนนั้น…พัศดีหลี่ซวี่!

หลี่ซวี่ในเวลานี้พอสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงจึงปล่อยมือที่จับนักโทษเอาไว้แล้วผินหน้ามามองป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของเขาประดุจดวงตาของหมาป่า มีทั้งความอำมหิต ทั้งยังมากด้วยความคมกริบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version