บทที่ 638 ผู้อาวุโสตระกูลไช่
สายตานี้ทำให้ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวเข้าหากันอย่างแรง หลี่ซวี่แข็งแกร่งมา แม้จะไม่ใช่คนฟ้าแต่ก็มีตบะก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ บวกกับที่ตัวตนของเขาคือพัศดีคุกมาร ทั้งยังอยู่ที่นี่มานานปี แน่นอนว่าย่อมสร้างปราณแห่งความดุดันน่าสะพรึงกลัวให้ติดตัวเขา เป็นเหตุให้สายตาของเขาคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยพลังงานบางอย่างที่จับต้องได้จริง
“ป๋ายฮ่าว ง้างปากคนผู้นี้ได้ เจ้าก็จะกลายมาเป็นแส้ทมิฬมือหนึ่งแห่งคุกมาร! หากง้างไม่ได้ก็จงไสหัวออกไปจากคุกมารของข้าซะ ปัญหาที่เจ้าก่อไว้ในโลกภายนอกก็จงแก้ไขเอาเอง!” เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ทำให้ความอดทนของหลี่ซวี่หมดสิ้นลงแล้ว พอนึกได้ว่าเหลือเวลาอีกแค่สองวัน หากตนยังไม่สามารถได้คำตอบที่ต้องการ แล้วเบื้องบนซักไซ้เอาความ ตนย่อมต้องเจอปัญหาใหญ่แน่นอน
ยิ่งคิดอย่างนี้เขาก็ยิ่งหงุดหงิด แถมนักโทษคนนี้ดันไม่สามารถสังหารได้ ด้วยตัวตนของเขา เมื่อลองไปสืบข่าวมาจึงรู้ว่าคนผู้นี้…ราชาผียักษ์ออกคำสั่งให้นำตัวส่งมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทั้งยังกำหนดเส้นตายวันเวลาที่ต้องถามหาเบาะแสจากอีกฝ่ายให้ได้ด้วย
ยามนี้พอคำพูดของเขาดังออกมา หัวหน้ากองที่เก้าของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ซุนเผิงเองก็ยังอึ้งงัน ที่เขาแนะนำป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเป็นเพราะเจตนาดี ทว่าคำพูดของหลี่ซวี่ตอนนี้กลับทำให้เจตนาดีของเขากลายมาเป็นเรื่องร้ายเสียได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า มองหลี่ซวี่ด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น
นายตะรางของอีกสี่เขตรวมไปถึงแส้ทมิฬคนอื่นๆ แม้จะมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อได้ยินประโยคนั้น ทว่าในใจของคนส่วนใหญ่กลับหัวเราะเสียงหยัน ยิ่งแส้ทมิฬของอีกสามเขตก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขามีความภาคภูมิใจในตัวเอง คิดว่าในเมื่อตนถามแล้วยังไม่ได้คำตอบ
ป๋ายฮ่าวเป็นแค่เด็กกะโหลกกะลาคนหนึ่ง แม้จะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ยังไงก็ต้องเสียแรงเปล่าแน่นอน
“จะทำได้หรือไม่! ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกไปจากคุกมารซะเดี๋ยวนี้!” เสียงเย็นชาโหดร้ายของหลี่ซวี่ดังก้องไปทั่วด้าน ทุกคนที่อยู่รอบกายเขาต่างก็ก้มหน้าเงียบกริบ ซุนเผิงแอบถอนหายใจ หัวหน้ากองยิ่งตัวสั่น ไม่กล้าเอ่ยคำใด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว เขารู้ว่าหลี่ซวี่เกลียดขี้หน้าตน ทว่าครั้งนี้ตนไม่ได้เป็นฝ่ายเสนอตัว แต่อีกฝ่ายเรียกเป็นคนเรียกตนมาเองแท้ๆ
“มาพาลใส่ข้าเฉยเลย…คิดจะฉวยโอกาสเตะข้าออกจากคุกมารสินะ?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วเป็นปม เรื่องนี้ค่อนข้างจะจัดการได้ยาก หากเขาถูกเตะออกจากคุกมาร ตระกูลไช่และตระกูลป๋ายที่รอตนอยู่ข้างนอกย่อมหาเรื่องตนได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตัดสินใจว่าจะข่มอารมณ์เอาไว้ก่อน
ดังนั้นจึงเดินขึ้นหน้าไปช้าๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างหัวกะโหลก เขาจึงมองประเมินชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านใน ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแล้วว่าคนผู้นี้ค่อนข้างจะคุ้นหน้า ตอนนี้พอมองอย่างละเอียดป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามผู้อาวุโสตระกูลไช่ที่ไล่ฆ่าตนก่อนหน้านี้
และเห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าคนนี้ก็จำป๋ายเสี่ยวฉุนได้เหมือนกัน แม้ผมเผ้าของเขาจะยุ่งเหยิง มุมปากมีคราบเลือด ทว่าความดูหมิ่นในดวงตากลับไม่เคยจางหาย ต่อให้จะเขียวช้ำสะบักสะบอมไปทั้งร่าง แต่ก็ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม อีกทั้งตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังเขา นัยน์ตาของเขายังฉายไอสังหาร และถึงขั้นถ่มน้ำลายปนเลือดใส่อาภรณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย
“ท่านพัศดี คนผู้นี้คือใครกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดเสื้อเขย่าให้น้ำลายนั้นหลุดออกไป ก่อนจะหันมามองหลี่ซวี่แล้วแสร้งถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“เขาคือใคร ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรู้ได้! เจ้าแค่ตอบคำถามข้ามาว่าเจ้าจะง้างปากเขาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็รีบไสหัวไปซะ!” เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีนิ่งเฉย หลี่ซวี่ก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจพาลโมโหใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ตั้งใจฉวยโอกาสนี้เตะป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปจากคุกมารด้วยจริงๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินประโยคนี้ แถมรอบด้านก็ยังมีคนอยู่ตั้งมากมาย เขาก็เริ่มไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ก่อนหน้านี้เขาข่มอารมณ์ได้ ทว่าไฟโทสะนั้นยังไม่มอดดับ ยามนี้จึงพลันเงยหน้าขึ้นมองหลี่ซวี่
“ท่านพัศดี หากท่านอยากให้ข้าผู้แซ่ป๋ายไป พูดกันตรงๆ ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ จะให้ง้างปากอะไรกัน ท่านไม่บอกข้าว่าคนผู้นี้คือใคร ข้าจะสอบสวนเขาได้ยังไง? เอาเถอะ ในเมื่อไม่ยินดีต้อนรับข้า ข้าผู้แซ่ป๋ายไปซะก็จบเรื่อง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างแรง
“แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่า ตลอดทั้งคุกมารแห่งนี้ หากจะมีใครที่สามารถง้างปากคนผู้นี้ได้ นอกจากข้าป๋ายฮ่าวแล้วก็ไม่มีคนที่สองอีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงเย็น หมุนกายได้ก็เตรียมจะจากไป
ประโยคนั้นของเขาถือว่าล่วงเกินแส้ทมิฬของอีกสามเขตอย่างยิ่ง
ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ดี แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายหาเรื่องให้ตนลำบากใจอย่างไร้เหตุผล แถมยังคิดจะฉวยโอกาสนี้ไล่เขาออกจากคุกมาร ถ้าเช่นนั้นหากตนคิดจะต่อต้านก็จำเป็นต้องวางท่าโอหังมาดมั่น
“หากหลี่ซวี่ผู้นี้ร้อนใจจริงๆ เขาต้องรั้งข้าไว้แน่นอน แต่ถ้าไม่รั้งไว้ก็คงพูดได้แค่ว่าข้าตกลงไปในหลุมเอง และนี่คือแผนการที่เจ้าสารเลวหลี่ซวี่จงใจสร้างขึ้นเพื่อเตะข้าออกไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ในใจ เพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังของเขาก็มีเสียงเย็นเยียบดังลอยมา
“คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสตระกูลไช่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ คำถามที่เจ้าต้องถามก็คือการหลอมไฟและการฝึกตนตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตระกูลไช่ วิญญาณธาตุใดที่เผาผลาญไปน้อยที่สุด!” หลี่ซวี่มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเอ่ยเนิบช้า แม้ว่าน้ำเสียงจะยังแข็งกระด้าง ทว่ากลับดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า วิเคราะห์ได้ทันทีว่านี่คือคำตอบที่อีกฝ่ายต้องการรู้จริงๆ ไม่ได้จงใจสร้างสถานการณ์เล่นงานตน
“ผู้อาวุโสตระกูลไช่ถูกจับมาเข้าคุกมาร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองชายวัยกลางคนที่อยู่ในหัวกะโหลก เรื่องนี้ทำให้เขาไพล่นึกไปถึงเรื่องราวมากมาย…
“วิญญาณธาตุใดที่เผาผลาญไปน้อยที่สุด?” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย เขามองไม่ออกถึงต้นสายปลายเหตุของคำถามนี้ และเห็นได้ชัดว่าต้องป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสตระกูลไช่โป้ปดคำตอบของเรื่องนี้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ระดับความยากจึงเพิ่มมากขึ้น
“ห้าธาตุอย่างทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ก่อนหน้านี้ตอนที่สี่แส้ทมิฬสอบสวน สุดท้ายเขาก็ยอมเปิดปาก ทว่าคำตอบกลับไม่เหมือนกัน” หลี่ซวี่กล่าวด้วยสีหน้ามืดทะมึน น้ำเสียงแฝงเร้นความขุ่นเคืองอยู่เสี้ยวหนึ่ง
“ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าคือต้องให้เขาพิสูจน์ว่าคำตอบของเขาคือเรื่องจริง ส่วนจะพิสูจน์อย่างไรก็ต้องดูที่ความสามารถของตัวเจ้าเองแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบไปครู่ก็เดินกลับมาข้างหน้าหัวกะโหลกอีกครั้ง สังเกตผู้อาวุโสตระกูลไช่ที่อยู่ภายใน เขารู้ดีว่าวันนั้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายสามคนไล่ฆ่า หากตนช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย คนทั้งสามต้องลงมือเอาชีวิตตนแน่นอน ระหว่างพวกเขาจึงไม่มีความเห็นใจให้แก่กัน มีเพียงความเป็นศัตรูต่อกันเท่านั้น
อีกอย่างช่วงเวลาที่มาอยู่ในคุกมารแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เข้าใจแล้วว่าแม้ทั้งสามตระกูลใหญ่จะไม่ปรองดองกันนัก ทว่าในความเป็นจริงแล้วเมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกกลับเกาะกลุ่มกลมเกลียวกันอย่างมาก
พอนึกไปถึงเรื่องที่ตระกูลป๋ายจะฆ่าตน ทว่าราชาผียักษ์กลับเป็นฝ่ายช่วยตนไว้ เมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดมาทบรวมเข้าด้วยกัน ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีคำตอบที่แน่ชัดแล้ว
“ราชาผียักษ์ไม่ลงรอยกับสามตระกูลใหญ่นี่จริงๆ! ทว่าสามตระกูลใหญ่นี้มีความกล้าอะไรมาสู้กับครึ่งเทพ? และด้วยตบะของราชาผียักษ์เอง ทำไมเขาถึงไม่ลงมือดับทำลายพวกเขาไปตรงๆ เลยล่ะ?” ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
และขณะที่หลี่ซวี่รอจนเริ่มหงุดหงิด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก หากคิดจะอยู่ในแดนทุรกันดาร เขาจำเป็นต้องมีจุดยืน จะยืนอยู่ฝ่ายราชาผียักษ์หรือฝ่ายของสามตระกูลใหญ่
และเมื่อเลือกแล้วก็ไม่สามารถใจอ่อนได้ อีกทั้งการเลือกนี้…ก็ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพิจารณามากนัก ดวงตาของเขามีแสงเย็นเยียบวาบผ่าน ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไปเปิดประตูห้องขังหัวกะโหลกออกแล้วเดินเข้าไปด้านใน
เพิ่งจะเข้าไปก็มีควันสีดำผืนหนึ่งแผ่ออกมาจากมือของป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวก็ตลบอบอวลไปทั้งห้องขัง ทำให้คนนอกมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ต่อให้เป็นหลี่ซวี่เองที่ถึงแม้จะเป็นก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบก็ยังยากจะมองออกว่านี่คือการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้หน้ากากของตัวเองปลดปล่อยพลังอำพรางออกมาผสานรวมเข้ากับควันดำ
แส้ทมิฬของเขตติงรู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดี ยามนี้จึงมองเฉย ทว่าพอแส้ทมิฬของอีกสามเขตเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปข้างในห้องขังอย่างไม่ประมาณตนก็หัวเราะเสียงเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ทำเป็นลึกลับซับซ้อน ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าคนผู้นี้มีความสามารถอะไร พวกเราถามยังไม่ได้คำตอบ แล้วมีหรือที่เขาจะทำได้!”
“ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าคนผู้นี้ต้องแสร้งทำเป็นเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็เอาคำตอบมั่วๆ ออกมา”
“หึ คำตอบที่พวกข้าได้มาต้องมีข้อหนึ่งที่เป็นความจริง ท่านพัศดีจะทำเรื่องให้มันวุ่นวายเกินความจำเป็นไปทำไม!” คนทั้งสามถ่ายทอดเสียงให้แก่กันพร้อมหัวเราะหยัน ต่างก็สบประมาทป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก
หลี่ซวี่ขมวดคิ้วเป็นปม ทว่ากลับข่มอารมณ์เอาไว้ ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้คำตอบและพิสูจน์ได้ว่าคำตอบนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็รับได้ทั้งนั้น
ในห้องขัง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองผู้อาวุโสตระกูลไช่แล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง
“เจ้าพูดออกมาเองเถอะ มิฉะนั้นล่ะก็ หากให้ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง”
“เจ้าเศษสวะ หากวันนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าหนีได้เร็ว ข้าผู้อาวุโสต้องบีบเจ้าให้ตายอยู่ในกำมือ แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามาหาเรื่องตระกูลไช่ของข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องถูกตระกูลไช่บดกระดูกให้เป็นผุยผง!” นัยน์ตาของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยปราณสังหาร ก่อนจะขากเสลดเข้มข้นใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ถ่มเสลดใส่คนอื่น สนุกนักหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าไอ้หมอนี่ถ่มน้ำลายใส่ตนสองครั้งก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงตบลงไปบนถุงเก็บของ หยิบเอายากระสันซ่านออกมา…หลายเม็ด
“ปากแข็งนักใช่ไหม ข้าอยากจะรู้นักว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะพูดหรือไม่พูด!”
และขณะที่ทุกคนรอคอยไปได้เกือบครึ่งก้านธูป ทันใดนั้นในห้องขังก็มีเสียงคำรามแหบเครือด้วยความกดดันดังออกมา เมื่อเสียงนี้ดังมา ทุกคนก็พากันหันมามองทันที
“ดูจากเสียงนี้เจ้าป๋ายฮ่าวผู้นั้นท่าจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็แค่นี้แหละ ทำให้คนร้องคำรามด้วยความบีบคั้น พวกเราหลับตาก็ยังทำได้” แส้ทมิฬของทั้งสามเขตก็อึ้งไปเหมือนกัน พอถ่ายทอดข้อความเสียงให้แก่กัน ความดูถูกที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงลดน้อยลงไปบ้าง ทว่ากลับยังคงไม่เห็นเป็นสำคัญ
มีเพียงหัวหน้ากองเท่านั้นที่พอได้ยินเสียงคำรามนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันลุกเรือง ตอนนี้เขามีความมั่นใจแบบหลับหูหลับตาเชื่อมั่นต่อตัวป๋ายเสี่ยวฉุน แอบพูดกับตัวเองว่าเสียงนี้ดังแล้วต้องสำเร็จแน่นอน
สีหน้าของหลี่ซวี่ยังคงมืดทะมึนไม่คลาย ในใจร้อนรน แล้วก็มีความรอคอย ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสีย
และขณะที่ทุกคนพากันจับตามองมาด้วยความคิดที่ต่างกันออกไป เสียงร้องคำรามแหบโหยในห้องขังกลับดังดุเดือดมากกว่าเดิม ความเจ็บปวดรวดร้าวที่แฝงเร้นอยู่ในเสียงนั้นไร้คำบรรยาย ทั้งยังมีเสียงแผดร้องเกรี้ยวกราดที่ดังไม่ขาดสาย
“ป๋ายฮ่าว เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!!”
“ป๋ายฮ่าว ข้าจะฆ่าเจ้า ครั้งก่อนหากไม่เพราะเจ้าหนีได้เร็ว ข้าต้องฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แน่นอน!!”
ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสตระกูลไช่คนนั้นจะใช้วิธีการสบถด่าด้วยความเดือดดาลเช่นนี้มาต้านทานความทรมานเจ็บปวดที่ได้รับ
“อ๊าๆๆ …”
เสียงนี้ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังดำเนินไปนานถึงครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ทำให้คนนอกทุกคนที่ได้ยินต่างก็ต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แส้ทมิฬทั้งสามส่งสายตาให้แก่นั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ดวงตาทั้งคู่ของพัศดีหลี่ซวี่เองก็เริ่มเป็นประกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายตะรางทั้งสี่ที่ตะลึงพรึงเพริดอยู่ในใจ
“ป๋ายฮ่าวผู้นั้นทำอะไรกันแน่…ถึงได้ทำให้คนผู้หนึ่งคำรามแหบโหยด้วยความกดดันถึงขีดสุดเช่นนี้…”
“สวรรค์ ข้าแค่ฟังเสียงก็ขนลุกขนพองแล้ว…”
“ที่ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นก็คือการทรมานนี้ดำเนินมานานขนาดนี้ ทว่าฟังดูแล้วความเจ็บปวดกลับมีแต่จะเพิ่มไม่มีลดลง แต่ทำไมพลังชีวิตเหมือนจะยิ่งรุนแรงเดือดพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ …นี่มัน…น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”