Skip to content

A Will Eternal 640

บทที่ 640 ราชาผียักษ์ผู้มั่นใจในตัวเอง

และการดิ้นรนของหมาดำตัวใหญ่ สำหรับผู้อาวุโสตระกูลไช่แล้วกลับยิ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุด อีกทั้งเนื่องจากถูกกรอกยากระสันซ่านไปจำนวนมากทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไช่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนใกล้จะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงไม่ปล่อยมือ นี่จึงถือเป็นการทรมานทางจิตใจอย่างหนึ่งสำหรับผู้อาวุโสตระกูลไช่ เขายังถึงขั้นรู้สึกเสียใจซะแล้วที่เมื่อครู่นี้พูดจายั่วอารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน

ขณะที่ร่างกำลังสั่นเทิ้ม ดวงตาของผู้อาวุโสตระกูลไช่ก็เผยให้เห็นความลังเลเป็นครั้งแรก…

“ป๋ายฮ่าว พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ ข้าสามารถ…” ขณะที่ผู้อาวุโสตระกูลไช่กำลังจะเปิดปาก ทว่าดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเปล่งแสงวาบแล้วตัดบทอีกฝ่ายทันที

“ข้าไม่อยากฟังแล้ว” ระหว่างที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันปล่อยมือออก หมาดำตัวใหญ่นั้นร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งหนึ่งที ก่อนจะกระโจนเข้าหาผู้อาวุโสตระกูลไช่

พริบตาเดียวทุกคนที่อยู่นอกห้องขังก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความทรมานอย่างที่ชีวิตนี้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เสียงโหยหวนนี้ฟังแล้วร้าวรานใจยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นมากมายหลายเท่าจนถึงขั้นที่มิอาจบรรยายได้

ราวกับว่า…นั่นคือความเจ็บปวดชั่วชีวิตที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์บางอย่าง…

ผู้คุมเขตเจี่ยพากันสูดลมหายใจเฮือกๆ หนาวสะบั้นไปทั้งร่าง บัดนี้ในสมองของพวกเขาพลันเกิดความเห็นตรงกันอย่างหนึ่ง ป๋ายฮ่าวผู้นี้…ห้ามไปแหยมด้วยเด็ดขาด!

สี่แส้ทมิฬผู้ยิ่งใหญ่พากันหน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง ตอนที่มองไปยังกรงขัง ถึงแม้จะไม่เห็นภาพที่อยู่ด้านในก็ยังอดไม่ได้ที่จะเกิดจินตนาการภาพไปไกลสุดประมาณ หัวใจยิ่งสั่นรัว ขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นพ้องต้องกันว่า

“ช่างโหดร้ายทารุณยิ่งนัก…”

“ความเจ็บปวดเช่นนี้ใครกันจะทนรับได้ไหว…นี่ไม่เพียงแต่เป็นความทรมานทางกาย ยังทำให้จิตวิญญาณแหลกสลายด้วย…นักพรตก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสตระกูลไช่ผู้สูงส่ง…”

“ป๋ายฮ่าวผู้นี้เป็นคนอำมหิตจริงๆ วิธีการแบบนี้ก็ยังเอาออกมาใช้ได้ เขา…เขาต่างหากถึงจะเป็นแส้ทมิฬที่แท้จริง ใจดำเหลือเกินแล้ว!”

ม่านตาทั้งคู่ของหลี่ซวี่เองก็หดตัว รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกาย ป๋ายฮ่าวผู้นั้นช่าง…ชั่วช้าสามานย์สมคำเล่าลืออย่างแท้จริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมด…

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนนี้ยังมีเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของหมาดำดังสอดแทรกเข้ามา เมื่อรวมเข้าด้วยกันจึงกลายมาเป็นเสียงที่ทำให้คนในเขตเจี่ยขนลุกขนชัน ทั้งยังหวาดกลัวจนตัวสั่นออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เสียงนั้นยืนหยัดไม่ได้นานนัก แค่สิบกว่าลมหายใจ น้ำเสียงแหบพร่าที่แฝงไว้ด้วยความปวดร้าวใจของผู้อาวุโสตระกูลไช่ก็ดังก้องออกมา

“ข้าพูด ข้าพูด…วิญญาณไม้…วิญญาณไม้ใช้ไปน้อยที่สุด…”

“บอกให้มันหยุดเถอะ ให้มันหยุด…” ผู้อาวุโสตระกูลไช่ครวญครางร้าวราน ไม่เพียงแต่พูดคำตอบที่หลี่ซวี่ต้องการรู้ ทั้งยังกังวลว่าทุกคนจะไม่เชื่อ เขาจึงหลุดพูดเรื่องอื่นออกมาอีกมากมาย ถึงท้ายที่สุดเขากรีดร้องอย่างสิ้นหวังและพูดออกมาอีกเรื่องหนึ่ง

“สามตระกูลใหญ่…จะก่อกบฏ…” ผู้อาวุโสตระกูลไช่คนนี้เจ็บปวดจนแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ความทรมานเช่นนี้ทำให้เขาแหลกสลาย แต่ต่อให้เขาจะพูดทุกเรื่องที่รู้ออกมา เสียงร้องโหยหวนในกรงขังก็ยังคงไม่หยุดลง

และทุกคนที่พอได้ยินประโยคนี้ต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะหลี่ซวี่ที่ดวงตาฉายแสงคมกริบน่าขนลุก

“สามตระกูลใหญ่จะก่อกบฏ?!”

“สามตระกูลใหญ่นี้อาศัยอะไรกันแน่ถึงได้กล้าทรยศราชาผียักษ์!!” ขณะที่ทุกคนทั้งตะลึงและทั้งสงสัย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากในกรงขังด้วยสีหน้ามืดทะมึน หลังจากเดินออกมาเขาก็เหลือบตามองหลี่ซวี่หนึ่งที ไม่ได้เอ่ยคำใด แต่สะบัดตัวได้ก็จากไปไกลทันที

ไม่จำเป็นต้องเขาพูดอะไรอีกแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นพยานได้ หากผู้อาวุโสตระกูลไช่คนนี้ยังพูดโป้ปดอีกล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่มีใครบีบคั้นเอาคำตอบจากเขาได้อีกแล้วจริงๆ

มองป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกล หลี่ซวี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขามีอคติกับป๋ายเสี่ยวฉุน ยามนี้ความอคตินั้นได้มลายไปสิ้น แทนที่มาด้วยความชื่นชมอย่างลึกล้ำ

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นแส้ทมิฬตัวจริง!” นัยน์ตาของหลี่ซวี่เผยประกายเร่าร้อน เขาเชื่อว่าคราวนี้สิ่งที่ผู้อาวุโสตระกูลไช่พูดน่าจะเป็นจริงถึงแปดเก้าส่วน ต้องรู้ว่าขนาดเรื่องที่สามตระกูลใหญ่จะก่อกบฏอีกฝ่ายก็ยังพูดออกมา แค่นี้ก็พิสูจน์ได้มากพอแล้ว

ส่วนสี่แส้ทมิฬของคุกมารที่มองตามแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนไป พวกเขาเกิดความเลื่อมใสนับถืออยู่นานแล้ว ส่วนลึกในจิตใจก็เข้าใจดีว่าในเรื่องการสอบสวน ตนกับอีกฝ่ายยังอยู่กันคนละชั้น

“เรื่องในวันนี้ห้ามนำไปเผยแพร่แม้แต่คำเดียว!” หลี่ซวี่กล่าวเสียงหนัก ถอนสายตาที่มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้วจึงกวาดมองรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา นายตะรางทั้งสี่เขตรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างใหญ่หลวง พวกเขาจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดและเอ่ยกำชับลูกน้องของตัวเองต่อไป

คุกมารแห่งนี้ค่อนข้างจะตั้งตนเป็นอิสระ อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็มิดชิด หากคิดจะเก็บข่าวไว้ ในระยะเวลาสั้นก็ถือว่ายังทำได้

อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น หลี่ซวี่ยังออกคำสั่งปิดคุกมารด้วยตัวเอง การออกไปข้างนอกของทุกคนในช่วงเวลานี้ล้วนจำเป็นต้องได้รับคำอนุญาตจากเขาเสียก่อนจึงจะออกไปได้ มิฉะนั้นไม่ว่าใครก็ห้ามออกไปเด็ดขาด

หลังจากสั่งความเสร็จสิ้น หลี่ซวี่ก็ไปจากคุกมารเพียงลำพัง ตรงดิ่งไปยังตำหนักใหญ่ของอู๋ฉางกงที่อยู่บนรูปปั้นผียักษ์

ส่วนผู้อาวุโสตระกูลไช่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจอีกแล้ว เขาถูกปิดผนึกไปพร้อมกับกรงขังหัวกะโหลกนั้น…

เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กลับจากเขตเจี่ยมาถึงเขตติง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในที่พักของตัวเอง หัวคิ้วยังคงขมวดเป็นปมไม่คลาย ด้านหนึ่งก็เพราะคำพูดเหล่านั้นของผู้อาวุโสตระกูลไช่ทำให้เขายิ่งรู้สึกเห็นใจป๋ายฮ่าว อีกด้านหนึ่งก็เพราะเรื่องที่ผู้อาวุโสตระกูลไช่พูดว่า…สามตระกูลใหญ่จะก่อกบฏ

“สามตระกูลใหญ่กล้าดียังไงถึงจะก่อกบฏ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ตก แม้เขาจะไม่เคยเห็นครึ่งเทพลงมือมาก่อน แต่ก็รู้ว่าความต่างระหว่างคนฟ้าและครึ่งเทพมีมากมหาศาล!

ต้องรู้ว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คนฟ้ามีอยู่หลายคน แต่ครึ่งเทพมีแค่คนเดียว ครึ่งเทพหนึ่งคนก็สามารถกำราบคนฟ้าได้ทั้งหมด ทว่าตอนนี้สามตระกูลใหญ่ในนครผียักษ์กลับกล้าทรยศต่อครึ่งเทพ!

ที่สำคัญที่สุดก็คือรากฐานของสามตระกูลใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ การก่อกบฏครั้งนี้สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือสังหารเทพ!

“ในนี้ต้องมีความลับบางอย่างที่ข้าไม่รู้อยู่แน่นอน หรือบางทีก็เพราะความลับนี้ถึงทำให้ราชาผียักษ์ที่ทั้งๆ ก็สงสัยในตัวของสามตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่ได้ลงมือจัดการทันที?” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่นานมาก และยังคงรู้สึกเหมือนคนที่มองดอกไม้ในกลุ่มหมอก ทุกอย่างยังคลุมเครือไม่ชัดเจน

“สามตระกูลใหญ่ต้องมีความมั่นใจอย่างมาก…ไพ่ตายของพวกเขาคืออะไรกันแน่นะ?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังขบคิด บนรูปปั้นผียักษ์ในนครผียักษ์ กลางตำหนักใหญ่ของอู๋ฉางกง หลี่ซวี่กำลังยืนประสานมือคารวะอยู่ข้างกายของอู๋ฉางกง

“เรียนท่านอู๋ฉางกง ผู้อาวุโสตระกูลไช่คนนั้น…สารภาพแล้ว วิญญาณที่ใช้ไปน้อยที่สุดคือ…”

ดวงตาทั้งคู่ของอู๋ฉางกงเปล่งแสงวาบ ตัดบทคำพูดของหลี่ซวี่ในฉับพลัน

“ไม่ต้องพูดกับข้า เรื่องนี้ข้าจะพาเจ้าไปรายงานกับหวังเหย่โดยตรง!”

กล่าวจบอู๋ฉางกงก็เดินออกมาหนึ่งก้าว แล้วตรงดิ่งไปยังตำหนักราชาบนศีรษะของรูปปั้น

หลี่ซวี่ได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งงัน ก่อนจะตามไปด้วยความตื่นเต้น เขาก้มหน้าก้มตารีบเดินตามไป พริบตาเดียวคนทั้งสองก็ขยับเข้าไปใกล้ตำหนักราชา ตลอดทางไม่มีใครขัดขวาง ไม่นานก็มาถึงด้านในตำหนัก ชั้นดาดฟ้าของตำหนักราชามีหอเรือนอยู่แห่งหนึ่ง และพวกเขาก็มองเห็นเรือนกายใหญ่โตแข็งแกร่งของราชาผียักษ์ที่กลางหอเรือน

“คารวะหวังเหย่!” คนทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

ราชาผียักษ์ยืนอยู่ริมระเบียงของหอเรือน ก้มหน้าลงมองตลอดทั้งนครราชา นัยน์ตาของเขาฉายแสงดำมืดราวกับว่าความลับทุกอย่างล้วนมิอาจหนีพ้นดวงตาทั้งคู่ของเขาไปได้ ผ่านไปพักใหญ่ เสียงเรียบเรื่อยของเขาถึงได้ดังก้องไปทั้งหอเรือน

“ได้คำตอบหรือยัง”

หลี่ซวี่พยายามระงับเรือนกายที่สั่นเทาเพราะความตื่นเต้น หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ก็หยิบเอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้อย่างพินอบพิเทา

ไม่เห็นราชาผียักษ์ร่ายเวทใดๆ แผ่นหยกแผ่นนี้ก็บินออกไปตกอยู่กลางมือของเขาด้วยตัวเอง พออ่านจบ ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็มีแสงคมกริบวาบผ่าน ก่อนที่แผ่นหยกนั้นจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ภาพนี้ทำให้หลี่ซวี่ใจสั่น ก้มหน้าด้วยความกระวนกระวายใจ แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเนื้อหาในแผ่นหยกนี้มีความเป็นจริงถึงแปดเก้าส่วน แต่ก็ยังกลัวว่าจะมีปัญหาไม่คาดคิดเกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นตนคงแบกรับผลร้ายที่ตามมาไม่ไหว

“พวกเจ้าออกไปเถอะ” เนิ่นนานราชาผียักษ์ถึงได้เอ่ยเนิบช้า หลี่ซวี่เองก็ผ่อนลมหายใจ แอบเหลือบมองอู๋ฉางกงที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง เมื่อพบว่าอู๋ฉางกงยังคงมีสีหน้าเป็นปกติดังเดิม ใจเขาก็สงบลงมาได้บ้าง ครั้นจึงไปจากตำหนักราชาพร้อมกับอู๋ฉางกง

จนกระทั่งคนทั้งสองจากไป ในหอเรือนแห่งนั้น ราชาผียักษ์กวาดสายตาไปมองยังสถานที่พักของสิบพระยาในนคร แล้วก็มองไปยังทิศทางที่ตั้งของสามตระกูลใหญ่นอกเมือง ครู่ใหญ่เขาก็พลันคลี่ยิ้ม

“นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่เรื่องกบฏก็ยังถามจนรู้ความ…วิญญาณไม้ใช้ไปน้อยที่สุดอย่างนั้นหรือ…เป็นดังที่ข้าคาดไว้…สามตระกูลใหญ่นี้อาศัยเรื่องผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงกว้านซื้อวิญญาณไปอย่างกำเริบเสิบสานก็ถือว่าลงทุนลงแรงกันไม่น้อย”

“ตามหลักทั่วไป วิญญาณห้าธาตุต้องเผาผลาญอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีทางที่จะมีธาตุใดถูกเผาผลาญน้อยเกินไป…”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าสามคนที่อยู่ในสามตระกูลก็คงจะสืบข่าวจนรู้ว่าการฝึกตนของข้ามีช่วงระยะเวลาแห่งการเสื่อมถอย…”

“ในช่วงเวลาที่เสื่อมถอย ตบะของข้าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง…ที่สำคัญที่สุดคือช่วงเวลาที่ข้าทรุดโทรม วิญญาณธาตุไม้ในปริมาณมหาศาลก็คือตัวพิชิตพลังของข้าได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด…”

“นี่คือโอกาสเดียวของพวกเขาแล้ว…อู๋ฉางกงก็ไม่สามารถเชื่อใจได้เต็มร้อย ห้าเจ้าพระยาสิบพระยาในนครผียักษ์ของข้า พวกเจ้าคนใดกันแน่ที่มีใจคิดคด…ข้ารอคอยยิ่งนัก ครั้งนี้คือการแก้ไขปัญหาทั้งหมดในคราวเดียว” ราชาผียักษ์ยิ้มสง่างาม สีหน้าเผยความดูหมิ่น ราวกับว่าในสายตาของเขา สามตระกูลใหญ่ก็ดี ห้าเจ้าพระยาสิบพระยาในการปกครองของเขาก็ช่าง ทุกคนต่างก็เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น

“แต่ป๋ายฮ่าวผู้นั้นกลับเป็นต้นกล้าที่ขยันสร้างเรื่องได้ไม่เลวเลยทีเดียว…ในด้านการหลอมไฟก็มีพรสวรรค์อยู่บ้าง…” ราชาผียักษ์ยิ้มบางๆ ในสายตาของเขา ป๋ายฮ่าวผู้นี้ถือเป็นหมากตัวหนึ่งที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version