บทที่ 656 ค่ายกลข้าเยอะนักล่ะ
เสียงอากาศระเบิดดังเขย่านภากาศ บุรพาจารย์ตระกูลเฉินไล่กวดตามมาหลังเงาผีก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบที่สวมชุดเกราะสีดำ
หากไม่เป็นเพราะกริ่งเกรงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะยังซุกซ่อนวิธีการใดๆ ที่คุกคามคนฟ้าได้ บุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็คงขยับเข้าไปใกล้เพื่อจับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเองแล้ว ทว่าเขาไม่กล้าเดิมพัน…
สภาพอเนจอนาถของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายเพิ่งมีให้เห็น อีกอย่างเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าหากก่อนหน้านี้บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายมีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่านั้นอีกสักนิด ไม่ได้กลับไปยังเมืองตระกูลป๋ายทันที ถ้าเช่นนั้นเขาและบุรพาจารย์ตระกูลไช่ย่อมต้องคว้าโอกาสอันดีงามนี้ไว้แน่นอน ต่อให้ทำลายตระกูลป๋ายวอดวายไม่ได้ แต่ก็สามารถทำให้บุรพาจารย์ตระกูลป๋ายแบ่งผลประโยชน์ที่มากพอมาให้แก่พวกเขา
คิดมาถึงตรงนี้เขาจึงยิ่งไม่กล้าเดิมพัน นัยน์ตาฉายแสงเย็นเยียบ ขณะที่ทำมุทรา เงาผีสวมเกราะดำที่อยู่รอบกายเขาก็ระเบิดความเร็วสูงสุดไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไป ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนชาไปทั้งหนังหัว หัวใจเต้นกระหน่ำแรงต่อเนื่อง พอเห็นว่าเงาผีสีดำด้านหลังพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขาก็พลันตื่นเต้นสุดขีด แม้แต่ราชาผียักษ์ที่เขาหิ้วอยู่ในมือก็ยังหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกได้ถึงลางร้าย
“ข้าบอกให้เจ้าไปที่เต่าหิน เจ้าก็ไม่ไป เจ้า…” ด้วยความร้อนใจ ราชาผียักษ์จึงอดพูดไม่ได้
“หุบปาก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดกลับอย่างไม่ไว้หน้า แล้วก็ไม่ได้สนใจราชาผียักษ์ แต่สะบัดร่างเบี่ยงหลบเวทคาถาที่พุ่งเข้ามาโจมตีจากทางด้านหลัง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเขาระเบิดความเร็วอีกครั้ง เดินออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็ข้ามผ่านความว่างเปล่ามาปรากฏตัวอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง
เพิ่งจะเข้ามา ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็กวาดมองไปรอบด้าน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่กับผนังด้านหนึ่งอย่างไม่ลังเลจึงมาปรากฏตัวอยู่ในลานบ้านแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าลานบ้านแห่งนี้เป็นของครอบครัวใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะก้าวเข้ามาก็มีเสียงกรีดร้องดังระงม ข้ารับใช้จำนวนมากพากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาตะลึงระคนหวาดหวั่น รีบถอยกรูดออกห่าง
ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่รัว เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวก็มาปรากฏตัวอยู่บนบ่อน้ำของลานบ้านแห่งนี้ เขาก้มหน้ามองลงไปบนผิวน้ำ ก่อนที่จะเงื้อมมือตบลงไป เสียงกัมปนาทดังก้อง รอบด้านก็พลันมีแสงค่ายกลสว่างระยิบระยับ
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไม่ไกล เงาผีที่สวมชุมดำเหล่านั้นก็พกพาเอาความดุร้ายพุ่งทะยานมาหา ก่อนจะกลายร่างเป็นเวทอภินิหารที่เยื้องกรายมายังบ่อน้ำ
ตลอดทั้งบ่อน้ำพลันระเบิดกระจัดกระจาย หยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นเซ่นซ่าน ทว่าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับ…หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย!
เวลาเดียวกันนั้น กลางซากปรักหักพังแห่งหนึ่งที่ห่างจากบ่อน้ำนี้ไปประมาณสามสิบกว่าจั้ง ยามนี้แสงนำส่งพร่างพราว ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์พลันเปล่งวาบขึ้นมา
“สมควรตายนัก ทำไมถึงยังไม่เจอค่ายกลนำส่งแสนลี้นั่นสักที!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มร้อนใจแล้ว ขณะที่กำลังจะนำส่งต่อไป ทว่าเวลานี้เอง เสียงคำรามต่ำก็พลันดังมาจากท้องฟ้า นั่นคือคนฟ้าตระกูลเฉินที่หายตัวมาปรากฏกายตรงนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหนีโดยใช้ค่ายกลที่เขาไม่รู้จักมาหลีกเลี่ยงการไล่ฆ่าจากเงาผีสวมเสื้อเกราะของเขา
ค่ายกลเหล่านั้นทำให้บุรพาจารย์ตระกูลเฉินตกตะลึง แอบรู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี ยามนี้ไม่มีเวลามามัวสนใจสิ่งใดมากนัก นัยน์ตาของเขาเผยแววดุร้าย มือขวายกขึ้นแล้วตบลงไปตรงตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อย่างแรง
เสียงตูมตามดังสะท้อน กลางอากาศปรากฏเป็นตราฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ที่ดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยฉุน นี่คือการโจมตีจากคนฟ้า อานุภาพร้ายกาจจนแทบจะบดขยี้แปดทิศ บุกทำลายสรรพสิ่งให้พังราบเป็นหน้ากลอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลม วินาทีที่ฝ่ามือนั้นร่วงลงมา เขาก็เปิดใช้ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าตัวเองอีกครั้ง เสียงอึกทึกตามมาด้วยแสงค่ายกลนำส่งที่เจิดจ้า เมื่อฝ่ามือนั้นตบลงมา เสียงกัมปนาทก็ดังก้องไปทั้งฟากฟ้า ตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่พังสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ทว่าร่างของเขาและราชาผียักษ์กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
“นี่มันค่ายกลอะไรกัน!!” บุรพาจารย์ตระกูลเฉินสีหน้ามืดคล้ำทันที ตัวเขาเป็นถึงคนฟ้า การโจมตีเดียวก็สามารถปิดผนึกความว่างเปล่าทำให้ค่ายกลเสียประสิทธิผลได้ ทว่าค่ายกลของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเมินข้ามผนึกของเขาไปได้
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” นัยน์ตาบุรพาจารย์ตระกูลเฉินคลั่งแค้น มือขวาพลันยกขึ้นโบกเข้าหาความว่างเปล่า ทันใดนั้นด้านหน้าเขาก็มีภาพมายาปรากฏขึ้น ภาพนั้นก็คือผังเมืองนครผียักษ์จากมุมมองทางอากาศ
เวลานี้จุดหนึ่งของนครผียักษ์ในผังภาพนั้นอยู่ๆ ก็มีจุดแสงนำส่งแผ่ออกมา บุรพาจารย์ตระกูลเฉินแค่นเสียงเย็นอยู่ในลำคอ ก่อนจะก้าวเข้าไปในภาพนั้นโดยตรง
เวลาเดียวกันนั้น ตำแหน่งที่แสงค่ายกลปรากฏขึ้นในภาพ สถานที่แห่งนี้ก็คือถนนสายหนึ่งที่เดิมทีค่อนข้างจะคึกคักรุ่งเรือง ตอนนี้เป็นเพราะนครผียักษ์เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ที่นี่จึงเงียบสงัดลงไปไม่น้อย เมื่อแสงค่ายกลพร่างพราว ป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ก็ปรากฏตัวอีกครั้งหน้าประตูร้านแห่งหนึ่ง
“เจ้า…เจ้ามีค่ายกลมากเท่าไหร่กันแน่!” เมื่อเห็นว่าจะถูกนำส่งอีกครั้ง ราชาผียักษ์ก็อดไม่ไหวจนต้องเปิดปากถาม มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเหลือเชื่อ ในใจเขาเต็มไปด้วยความสะท้านสะเทือนและความมึนงง คิดไม่ออกจริงๆ ว่าในนครผียักษ์มีค่ายกลนำส่งมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร แถมตนยังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“ค่ายกลของข้าเยอะนักล่ะ” หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นรัวดังตึกตักๆ หันมาตอบลวกๆ หนึ่งประโยค ทว่าในใจกลับกลัดกลุ้ม เขารู้ว่าค่ายกลมีอยู่เยอะมากก็จริง แต่ก็ด้วยเหตุนี้หากคิดจะตามค่ายกลนำส่งแสนลี้จากในค่ายกลหลายร้อยหลังก็ได้แต่เสี่ยงดวงเอาเท่านั้น เขาจึงตบลงไปบนพื้นอีกครั้งโดยไม่กล้าหยุดชะงักแม้แต่เสี้ยวนาที
เสียงตูมดังลั่น ค่ายกลนำส่งถูกเปิดใช้ ป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์หายตัวไปอีกครั้ง ทว่าวินาทีที่เขาหายตัวไปความว่างเปล่ากลับบิดเบือน บุรพาจารย์ตระกูลเฉินเดินออกมาหนึ่งก้าว ยกมือขวาขึ้นแล้วโบกอย่างแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายกลนำส่งของที่แห่งนี้พังทลายโดยพลัน
“ข้าผู้อาวุโสอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีค่ายกลนำส่งได้สักกี่หลัง!”
เสียงกัมปนาทกึกก้อง เวลาอีกครึ่งธูปต่อมา สถานที่แต่ละแห่งในนครผียักษ์ก็มีเสียงดังสะท้อนไม่ขาดสาย ป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มสุดชีวิตแล้วจริงๆ เขาพาราชาผียักษ์ลอดผ่านค่ายกลนำส่งหลังแล้วหลังเล่า ทุกครั้งที่เพิ่งปรากฏตัว บุรพาจารย์คนฟ้าตระกูลเฉินก็จะต้องเผยกายตามมาติดๆ แล้วลงมือดับทำลายค่ายกลเหล่านั้น
หากป๋ายเสี่ยวฉุนช้าไปเสี้ยวเดียวก็จะได้รับผลกระทบทันที ท่ามกลางความตื่นเต้นรุนแรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบ้าไปแล้ว เวลาครึ่งธูปที่ผ่านมาเขาบินทะยานไปตามค่ายกลหลังแล้วหลังเล่าโดยไม่สิ้นเปลืองเวลาเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่าเขาจะนำส่งอย่างไรก็ยังคงหาค่ายกลนำส่งที่พาเขาออกไปไกลแสนลี้ไม่เจออยู่ดี
เขากำลังบ้าคลั่ง บุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็คลุ้มคลั่งไม่ต่างกัน เขารู้สึกว่าป๋ายฮ่าวผู้นี้เหมือนหนูสมชื่อจริงๆ (ฮ่าวของชื่อป๋ายฮ่าวแปลว่ายิ่งใหญ่ไพศาล แต่ออกเสียงเดียวกับคำว่าฮ่าวจื่อที่แปลว่าหนู) ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะสร้างรูมากมายขนาดนี้ในไว้ในนครผียักษ์โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น…
การไล่ล่าครั้งนี้ถูกอีกฝ่ายพาโผล่เข้าโผล่ออกอุตลุดไปทั่วทั้งเมือง ตอนหายใจเข้ายังอยู่ฝั่งตะวันออก แต่พอหายใจออกกลับอยู่ฝั่งเหนือ ไฟโทสะของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินที่กำลังร้อนรนจึงยิ่งลุกโชติช่วง แต่ก็จำต้องพิจารณาว่าอีกฝ่ายทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด…
“เขาไม่เหมือนคนที่กำลังหนี แต่เหมือนกำลังตามหาอะไรมากกว่า…หรือว่าในค่ายกลเหล่านี้มีหลังหนึ่งที่สามารถพาเขาโบยบินหนีไปไกลแสนไกล?”
บุรพาจารย์ตระกูลเฉินใจสั่นสะท้าน คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็เยื้องกรายมาปรากฏอยู่ตรงจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์โผล่ออกมา พอยกมือขวาทำลายค่ายกลนี้จนสิ้นซาก เขาก็มองพื้นดินที่ไร้ร่องรอยใดๆ แล้วพลันเงยหน้าคำรามก้อง
เสียงคำรามนี้ดังไปทั่วทั้งนคร
“ป๋ายฮ่าว เหตุใดเจ้าต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อราชาผียักษ์ ความแค้นระหว่างพวกเราสามตระกูลกับราชาผียักษ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนด้วย!”
“ป๋ายฮ่าว มอบตัวราชาผียักษ์ให้ข้า เจ้าวางใจได้ ความปลอดภัยของเจ้า ข้าผู้อาวุโสให้สัญญาว่าเจ้าจะไร้ซึ่งรอยขีดข่วน!”
“ป๋ายฮ่าว เรื่องของเจ้ากับตระกูลป๋าย ข้าผู้อาวุโสก็ช่วยคลี่คลายให้เจ้าได้เหมือนกัน แถมยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยังได้ แค่เจ้าส่งตัวราชาผียักษ์มา พวกเราจะไม่มีทางขัดขวางการจากไปของเจ้าเด็ดขาด!”
“และหากเจ้าต้องการสิ่งใด พวกเราก็แลกเปลี่ยนกันได้!”
คำพูดเหล่านี้ดังก้องไปทั่วนคร ตอนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏอยู่ในค่ายกลอีกหนึ่งหลัง เขาก็ได้ยินเสียงของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินเหมือนกัน และอดใจสั่นไม่ได้
ยามนี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างมาก และคำพูดของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินก็เหมือนจะแฝงไว้ด้วยการล่อลวงบางอย่างที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหวั่นไหว ทำให้เขาอดคิดเหลวไหลไปไกลไม่ได้
ส่วนราชาผียักษ์ที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน พอได้ยินเสียงตะโกนของบุรพาจารย์ตระกูลเฉิน ม่านตาทั้งคู่ของเขาก็พลันหดตัว ในใจตื่นตระหนกเป็นกำลัง ยิ่งได้เห็นความลังเลของป๋ายเสี่ยวฉุน ใจเขาก็ร่วงลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
“แย่แล้ว ป๋ายฮ่าวผู้นี้จิตใจชั่วช้าอำมหิต เห็นแก่ผลประโยชน์อย่างเดียว หากไม่มีความเสี่ยงก็ยังพอทำเนา แต่หากมีความเสี่ยงขึ้นมา เจ้าเด็กนี่ต้องมอบตัวข้าแน่…”
และขณะที่ราชาผียักษ์กำลังตื่นเต้น ขบคิดอย่างรวดเร็วว่าควรจะคลี่คลายวิกฤตนี้อย่างไรดีนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลียริมฝีปาก เขากำลังคิดว่าข้อเสนอของบุรพาจารย์ตระกูลเฉินไม่เลวเลยทีเดียว แต่เมื่อครู่นี้ตนเพิ่งตกลงกับราชาผียักษ์ไป หากกลับคำเร็วขนาดนี้…ออกจะเสียหน้าไปหน่อย
“บุรพาจารย์ตระกูลเฉินพูดอย่างนี้แสดงว่าร้อนใจมากแล้ว และขอแค่ข้าหาค่ายกลนำส่งหลังนั้นเจอ นำส่งออกไปไกลหนึ่งแสนลี้ ด้วยความเร็วของข้า หากจะให้ถ่วงเวลาไปพักใหญ่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หากยืนหยัดต่อไป ผลประโยชน์ที่จะได้รับในวันหน้าย่อมมีมากกว่า…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาววาม พูดกับตัวเองว่าหากสุดท้ายแล้วจนตรอกจริงๆ นั่นก็โทษตนไม่ได้อีก
และที่สำคัญที่สุดคือป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าทั้งสามตระกูลใหญ่และราชาผียักษ์ต่างก็เชื่อใจไม่ได้สักฝ่าย ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ฝ่ายหลังมีตราผนึกอยู่จึงดูเหมือนจะมั่นคงยิ่งกว่า
คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลอกตาหนึ่งครั้ง คิดได้ว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่จะดึงราชาผียักษ์มาเป็นพวก ดังนั้นจึงตามหาค่ายกลต่อไปพลางเงยหน้าตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางยึดถือในคุณธรรม
“อย่าฝันไปเลย ข้าป๋ายฮ่าวเป็นคนรักษาคำมั่นสัญญา ยิ่งรู้จักบุญคุณคน ราชาผียักษ์มีบุญคุณกับข้า ข้าก็ยิ่งต้องตอบแทนเขา ต้องปกป้องเขา…มีหรือจะยอมผิดคำพูด!! ข้า ป๋ายฮ่าว ขอแค่มือทั้งคู่ของข้ายังมีเรี่ยวแรง ข้าก็จะไม่มีทางยอมให้พวกเจ้าเอาตัวราชาผียักษ์ไปเด็ดขาด!” ระหว่างที่พูด ทั่วทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดปณิธานแห่งความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม และประโยคนี้ก็ยิ่งพูดได้อย่างเด็ดเดี่ยวทรงพลัง เสียงดังก้องไปสี่ทิศ
ราชาผียักษ์ตัวสั่นเทิ้ม ตอนที่เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็หัวเราะฝืดๆ หนึ่งที
ด้วยความเจ้าเล่ห์มากอุบายของเขา มีหรือจะฟังความหมายแฝงในคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออก แอบด่าอีกฝ่ายว่ากะล่อน ขณะเดียวกันในใจก็ให้ปลดปลง จะอย่างไรก็ตามแต่ ในเวลาเช่นนี้อีกฝ่ายยังพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้ก็ทำให้ความซาบซึ้งใจเสี้ยวหนึ่งเอ่อขึ้นมาในใจเขาอย่างน่าแปลกใจ