บทที่ 662 พี่ชาย ข้าทำเพื่อช่วยท่านนะ
เรื่องการก่อกบฏในนครผียักษ์ครั้งนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งตอนนี้ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบชั่วยาม!
ระยะเวลาสั้นๆ นี้ สำหรับหลายขั้วอิทธิพลนี้และผู้ฝึกวิญญาณในนครผียักษ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้มากมหาศาล พลิกกลับตาลปัตรจนคาดคิดไม่ถึง สร้างความตื่นตะลึงสะเทือนขวัญให้แก่ผู้คน
นับตั้งแต่การหยั่งเชิงจากราชาเก้านรกภูมิ การก่อกบฏของพระยาสวรรค์ทั้งหก คนฟ้าทั้งสี่ลงมือ จนกระทั่งราชาผียักษ์มิอาจต้านทานจนต้องหายตัวไป นี่เป็นเพียงแค่ส่วนแรกเท่านั้น ไม่นานเมื่อร่างของราชาผียักษ์ตัวจริงหายเข้ากลีบเมฆเหลือปรากฏเพียงร่างจำแลง เหตุการณ์ส่วนที่สองก็เริ่มดำเนินต่อ
ตลอดทั้งเมืองตามหาตัวจริงของราชาผียักษ์กันให้ควั่ก ทว่าเวลานี้ป๋ายฮ่าวกลับปรากฏตัว เขาจับตัวราชาผียักษ์ตัวจริง เผยกายอยู่เบื้องหน้าทุกคน และทุกเรื่องราวหลังจากนั้น…เกรงว่าต่อให้ผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงตราตรึงยาวนานอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คน
สามคนฟ้าบาดเจ็บสาหัส ป๋ายฮ่าวพาราชาผียักษ์…หนีออกไปจากนครผียักษ์!
นับแต่นั้นมาชื่อของป๋ายฮ่าวก็เลื่องลือระบือไปทั่วนครผียักษ์ประดุจดวงอาทิตย์ที่อยู่กลางฟากฟ้า ทั้งยังพอจะจินตนาการได้ว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องแพร่ออกจากนครผียักษ์ไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร
และตอนนี้กลางเทือกเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากนครผียักษ์ไปแสนกว่าลี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังห้อตะบึงไม่เหลียวหลังด้วยใบหน้าซีดขาว ด้านหลังเขาแบกผู้เฒ่าที่เส้นผมขาวโพลนไปทั้งหัว ผู้เฒ่าคนนี้ดูโรยราไปทั้งร่าง รอยเหี่ยวย่นมากมาย ลมหายใจก็รวยริน หากไม่มองอย่างละเอียดคงนึกว่านั่นคือศพศพหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือราชาผียักษ์ ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะเลือดวิญญาณหรือเดิมทีเขาก็อยู่ในระยะเสื่อมถอยอยู่แล้ว เขาในเวลานี้ถึงได้หมดสติไปแล้ว แม้แต่เรือนกายที่แทบมิอาจดับทำลายก็อ่อนแอลงมาไม่น้อย หากตอนนี้เอามีดธรรมดาสักเล่มหนึ่งมาแทงเขาก็ตายได้อย่างง่ายดาย
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มั่นคงอย่างมาก เมื่อหลายชั่วยามก่อนพอเขากับราชาผียักษ์ถูกนำส่งมาที่นี่ ราชาผียักษ์ก็หมดสติไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้สั่งสมมาเรื่อยๆ และเลือดวิญญาณก็ไม่มีประโยชน์ในการรักษาบาดแผล แม้ว่าจะหักถางเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนให้กว้างขวางขึ้น ทั้งยังทำให้เขามีประสบการณ์การเป็นครึ่งเทพในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทว่าเมื่อการโจมตีนั้นหายไปก็เหมือนเป็นการจุดไฟให้กับอาการบาดเจ็บ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงอ่อนแอตามไปด้วย
ยังดีที่เรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่ง เขาถึงได้กัดฟันไม่ปล่อยให้ตัวเองหมดสติ หลังจากมองราชาผียักษ์ด้วยสายตาซับซ้อน เขาก็ไม่ได้จับคอของราชาผียักษ์อีกต่อไป แต่แบกเขาไว้ด้านหลังแล้วห้อตะบึงไปเบื้องหน้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดี เรื่องคราวนี้ใหญ่เกินไป สามตระกูลใหญ่ย่อมไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ และยังมีพระยาสวรรค์หกคนที่ก่อนหน้านี้เนื่องจากค่ายกลที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้มีมากเกินไป ความเร็วของพวกเขาสู้คนฟ้าไม่ได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้เจอกับพวกเขา
แต่พอจะคิดได้ว่าอันดับต่อมา…ไม่ว่าจะเป็นสามตระกูลใหญ่หรือหกพระยาสวรรค์ย่อมต้องทุ่มทั้งหมดที่มีเพื่อตามหาตน และวิธีการของพวกเขาก็เยอะยิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจคาดหวังให้อีกฝ่ายตามหาตนไม่เจอ
“ยังดีที่ยืนหยัดอีกแค่ไม่กี่วัน ราชาผียักษ์ก็จะฟื้นตบะกลับคืนมา…ทว่าเลือดวิญญาณหยดนั้นที่เขาให้ข้าจะส่งผลกระทบอะไรกับเขาหรือไม่” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งที หน้านิ่วคิ้วขมวด หากราชาผียักษ์ไม่ให้เลือดวิญญาณกับเขาก็ยังพอทำเนา เพราะถ้าถึงช่วงคับขันจำเป็นจริงๆ เขาก็แค่โยนอีกฝ่ายออกไปแล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดไม่เป็นสุข แต่ตอนนี้เขากลับทำอะไรแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนมีหลักการเรื่องบุญคุณเป็นของตัวเอง บุญคุณครั้งนี้ของราชาผียักษ์ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื้นตันใจ และยามนี้เขาเองก็เริ่มปลงตก ทั้งๆ ที่เดิมทีคิดจะทำให้ราชาผียักษ์ซาบซึ้ง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าดึงตัวเองไปร่วมวงด้วยซะได้
“เอาเถอะๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แบกราชาผียักษ์เผ่นหนีต่อไปด้วยความเร็วสูงสุด ห้อผ่านป่าลึกในเทือกเขา
เวลานี้คือยามสายัณห์ ไม่นานท้องฟ้ามืดมิดก็เยื้องกรายมาเยือน ใจป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะหนีต่อไป ทว่าอาการบาดเจ็บของเขาไม่ใช่น้อยๆ จึงเริ่มจะทนไม่ไหว อีกอย่างลมหายใจของราชาผียักษ์ก็ยิ่งแผ่วจาง หลายครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย และตอนนี้ในร่างของราชาผียักษ์ก็เริ่มเย็นเฉียบเรื่อยๆ
นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน หลังจากขุดถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขาเสร็จเรียบร้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบใช้ตบะที่เหลือไม่มากในร่างกายก่อไฟขึ้นมาวางไว้เบื้องหน้าราชาผียักษ์
ทว่าสีหน้าของราชาผียักษ์กลับยังคงซีดขาว ความเย็นในร่างไม่ลดลงแม้แต่น้อย ลมหายใจก็ยิ่งบางเบาเข้าไปอีก
“เจ้าจะตายไม่ได้นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนผุดลุกขึ้นยืน ตบถุงเก็บของเอายารักษาอาการบาดเจ็บออกมาแล้วรีบป้อนให้ราชาผียักษ์ ทว่ากลับไม่ได้ผล
“ทำไงดีๆ …” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะถามเจ้าเต่าน้อย แต่เจ้าเต่าน้อยกลับหายหัวไปอีกครั้ง ต่อให้ข่มขู่เดือดดาลแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ด้วยความจนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มมองไปยังราชาผียักษ์แล้วพลันตบขาตัวเองป้าบใหญ่
“รู้แล้ว!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย เขาคิดถึงวิธีหนึ่งที่ทำให้ในร่างของราชาผียักษ์ร้อนขึ้นมาได้ แต่แล้วเขาก็เริ่มลังเล
“คือว่า…พี่ใหญ่ราชาผียักษ์ ข้าทำเพื่อช่วยท่านนะ ข้าหวังดีจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ย แล้วก็ไม่สนว่าราชาผียักษ์จะได้ยินหรือไม่ พูดจบเขาก็หยิบเอา…ยากระสันซ่านออกมาหนึ่งเม็ดแล้วยัดเข้าไปในปากของราชาผียักษ์
ป๋ายเสี่ยวฉุนจำได้ว่านักโทษทุกคนที่กินยากระสันซ่านเข้าไปล้วนร้อนรุ่มจนเหงื่อผุดพรายไปทั่วร่าง ตอนนี้ม้าตายรักษาเหมือนม้าเป็น (หมายถึงทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จแต่ก็ยังอยากลองดู) รู้สึกว่าแค่เม็ดเดียวไม่พอ ดังนั้นจึงข่มกลั้นความเสียดายหยิบออกมาอีกหลายเม็ดแล้วกรอกเข้าปากราชาผียักษ์
ไม่นานร่างของราชาผียักษ์ก็พลันสั่นเยือก ความร้อนเริ่มค่อยๆ กลับคืนสู่เรือนกายที่เย็นเยียบ ลมปราณที่แผ่วจางก็เริ่มถี่ขึ้นเป็นคลื่นคล้ายอาการดีขึ้น
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจได้ทันที ใบหน้าเผยความลำพองใจ รู้สึกว่าตนช่างมากพรสวรรค์ ยาที่สร้างขึ้นมาไม่เพียงแต่ใช้สอบสวนนักโทษได้ ยังเอามาช่วยคนได้อีกด้วย
“คนมีพรสวรรค์มักจะเดียวดาย เฮ้อ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย เขารู้ว่าหากราชาผียักษ์ตาย ตนก็จบเห่แล้วจริงๆ ทุกอย่างที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ก็เท่ากับเสียเปล่า
ยามนี้พอสงบใจลงได้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในนครผียักษ์ ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ใบหน้าขึงตึง สรุปบทเรียนให้กับตัวเอง
“ข้าวู่วามเกินไป ไม่ควรเชื่อเจ้าเต่าน้อย…คนฟ้าสามคน ข้า…ข้ากลับหนีรอดมาจากมือของพวกเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในนครผียักษ์ เขาถือว่าทุ่มสุดชีวิตแล้ว เปลืองแรงทั้งกายแรงใจ หากระหว่างนั้นเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงนิด เขาก็ต้องตายไร้ที่ฝัง
“บอกแล้วว่าต่อไปจะไม่เสี่ยงอันตราย แต่ทำไมถึงได้เอาตัวไปเสี่ยงอีกแล้วเล่า…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้สึกว่านิสัยของตนเหมือนจะเปลี่ยนไป ความกล้าก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิด
“นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจ มองราชาผียักษ์แล้วก็เงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอกที่พอจะเห็นแสงจันทร์ได้รำไรแล้วก็ต้องถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง
“หวังว่าที่เจ้าเต่าน้อยพูดจะเป็นความจริง…หวังว่าอีกไม่กี่วันตบะของราชาผียักษ์จะฟื้นคืน” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใจไม่เป็นสุข เขาตึงเครียดอย่างมาก ยามนี้รอบด้านเงียบสงัด หัวใจที่เหนื่อยล้าของเขาจึงผ่อนคลายไปตามความเงียบ ในสมองอดมีภาพที่ปราณของตนไต่ไปถึงคนฟ้า ไต่ไปถึงครึ่งเทพไม่ได้
ไม่นานดวงตาของเขาก็เผยแววหลงใหล ความหลงใหลนั้นยังสอดแทรกไปด้วยความปรารถนา
“ที่แท้คนฟ้า…ก็คือความรู้สึกเช่นนั้น และครึ่งเทพ…ก็เหมือนสามารถผ่าฟ้าแหวกดิน…” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น ในสมองมีภาพและความรู้สึกที่ตัวเองผสานรวมกับเลือดวิญญาณลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง การประจักษ์แจ้งเหล่านั้นล้วนตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา น้อยครั้งนักที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างนี้
“ข้าอยากกลายเป็นคนฟ้า…ข้าอยากกลายเป็นครึ่งเทพ…แล้วเอ่อ เป็นครึ่งเทพก็น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อยกระมัง”
ท่ามกลางความคิดที่อยากแข็งแกร่งยิ่งขึ้น บวกกับการให้ความสำคัญกับอายุขัยของตัวเอง ความกระหายของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเพิ่มมากตามไปด้วย
เวลาผันผ่าน ยังไม่ทันรอให้คืนหนึ่งผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนพักผ่อนเล็กน้อยก็สังเกตเห็นว่าร่างของราชาผียักษ์ไม่ได้เย็นเฉียบมากขนาดนั้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงแบกอีกฝ่ายไว้ข้างหลังแล้วพุ่งออกจากถ้ำทะยานจากไปไกล
แล้วก็เป็นเช่นนี้ นอกจากจำเป็นต้องพักผ่อนแล้ว เวลาแทบทั้งหมดป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนใช้หมดไปกับการห้อตะบึงไปด้านหน้า จนกระทั่งผ่านไปสามวัน…สามวันนี้ราชาผียักษ์ยังคงหมดสติ ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่มีเวลาให้รักษาอาการบาดเจ็บเท่าใดนัก ยังดีที่กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง อาการบาดเจ็บจึงดีขึ้นเกือบครึ่ง
ทว่าความร้อนรนในใจของเขายิ่งเพิ่มพูน
เขารู้ดีว่ายิ่งเวลาผ่านไป หากราชาผียักษ์ยังไม่ตื่น ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าสามตระกูลใหญ่คงใกล้จะตามมาทันเต็มทีแล้ว
ในที่สุดยามสนธยาของวันที่สาม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเผ่นโผนไปเบื้องหน้าพลันหน้าเปลี่ยนสี ก่อนที่ชั้นเมฆตลอดทั้งท้องฟ้าจะกลิ้งซัดหลุนๆ เสียงราวแหวกนภากาศพลันสะเทือนกึกก้องไปแปดทิศ!
“ป๋ายฮ่าว!!” เสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่แฝงไว้ด้วยความอำมหิตสุดขีดดังกัมปนาทไปทั่วฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทันใด แล้วเขาก็เห็นว่ายามนี้บนท้องฟ้ามีภาพใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์…ขนาดหลายร้อยจั้งสามใบหน้า…ปูดนูนขึ้นมา!!
และนั่นก็คือ…ใบหน้าของบุรพาจารย์ทั้งสามตระกูลใหญ่!
ผู้ที่พูดประโยคนั้นก็คือบุรพาจารย์ตระกูลไช่ซึ่งเสียเรือนกายที่มีเลือดเนื้อไป ในดวงตาของเขาฉายไอสังหาร ทำให้ท้องฟ้ารอบด้านมีสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา อีกทั้งในสายฟ้าเหล่านั้นยังแฝงปณิธานแห่งธาตุทองที่เข้มข้นเอาไว้ นี่คือสายฟ้ากำเนิดทอง ระดับสูงสุดแห่งธาตุทอง!
ส่วนบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายและตระกูลเฉินที่อยู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าตึงเครียด สายตาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีความดูหมิ่นอย่างที่เคยเป็น แต่มองเขาเป็น…คนที่มีตำแหน่งเท่าเทียมกับตัวเอง!
สายตาเช่นนี้หากคนนอกที่ไม่เข้าใจสถานการณ์มาเห็นต้องรู้สึกเหลือเชื่อมากอย่างแน่นอน ต้องรู้ว่านั่นคือคนฟ้า ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่ยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น ทว่า…นี่ก็คือความเคารพเลื่อมใสที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้พละกำลังของตัวเองช่วงชิงมา!
โดยเฉพาะในดวงตาของบุรพาจารย์ตระกูลป๋ายที่ยิ่งมีประกายแสงประหลาดวาบผ่าน