บทที่ 677 ขอผู้กำกับการป๋ายโปรดชื่นชม
“ผู้กำกับการป๋ายโปรดระงับความโกรธ…” ประมุขตระกูลไช่กัดฟันอยู่ในใจ ทว่าภายนอกกลับรีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีระมัดระวัง พวกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็เงียบงัน ในใจทั้งกระวนกระวายและทั้งขุ่นเคือง นับตั้งแต่ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบีบขวดวิญญาณแตก พวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าวันนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้มาดี
ท่าทีของอีกฝ่ายชัดเจนอย่างมาก ชีวิตรักษาไว้ได้ แต่รากฐานนับพันปีของตระกูลไช่ห้ามให้หลงเหลือ!
“นี่เป็นเพียงแค่ชิ้นแรกเท่านั้น ผู้กำกับการป๋ายโปรดรอสักครู่ ยังมีของชิ้นอื่นอีก” ประมุขตระกูลไช่พูดด้วยความขมขื่น เขาเองก็เข้าใจท่าทีของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี ยามนี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสั่งความออกไป
ไม่นานก็มีคนในตระกูลเดินรุดหน้าเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้นำขวดวิญญาณมาวางไว้ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งหมดห้าสิบใบ ป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือบตามองหนึ่งครั้ง หัวใจก็เต้นตึกตักดังกระหน่ำ
“รากฐานนับพันปีเชียวนา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก ฝืนดึงสายตากลับคืนมาแล้วขมวดคิ้วมุ่น
ในใจประมุขตระกูลไช่หลั่งเลือด แต่รู้ดีว่าหากวันนี้ไม่ลงทุนก้อนใหญ่ พวกเขาก็อันตรายแน่ ดังนั้นจึงกัดฟันส่งข้อความเสียงออกไปอีกครั้ง ไม่นานก็มีคนในตระกูลเดินเข้ามา คราวนี้เอากำไลเก็บของทั้งหมดหนึ่งร้อยวงมาวางไว้ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน!
ในกำไลเก็บของร้อยวงนี้มีแต่ขวดวิญญาณ…จำนวนนั้นมีมากจนมิอาจคำนวณได้หมดในทันทีทันใด ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองอยู่ใจสั่นระรัว ขณะเดียวกันในที่สุดเขาก็เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตระกูลผู้หลอมวิญญาณที่มีรากฐานยาวนานนับพันปี
แต่หัวคิ้วของเขายังคงไม่คลายออกจากกัน สีหน้ายังแสดงความไม่สบอารมณ์
ภาพนี้ทำให้ใจของประมุขตระกูลไช่ขมขื่นราวอมบอระเพ็ด สิ่งของเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดที่มี แต่กลับเป็นส่วนหนึ่งในทรัพย์สินที่ตระกูลไช่สะสมมานับพันปี แต่พอนึกถึงวิกฤตของตระกูล เขาก็ได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจส่งข้อความเสียงออกไปอีกครั้ง
ไม่นานนักก็มีคนในตระกูลทยอยกันเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา พวกเขาเอาของชิ้นแล้วชิ้นเล่ามาส่งให้ ในบรรดานั้นลำพังแค่อาวุธวิเศษก็มีนับพันชิ้น แม้แต่อาวุธหลอมพลังจิตก็ยังถูกทยอยเอาออกมาไม่ขาดสายจนจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเขียวคล้ำ พลันผุดลุกขึ้นยืน
“ประมุขตระกูลไช่ ข้าผู้แซ่ป๋ายมาที่นี่ก็เพื่อคลี่คลายวิกฤตการถูกฆ่าล้างตระกูลให้กับพวกเจ้า ดูท่าเจ้าคงไม่เห็นข้าป๋ายฮ่าวอยู่ในสายตาจริงๆ สินะ ถึงได้เอาขยะพวกนี้มาให้ข้าชื่นชม? ดี ดีนัก ข้าไม่จะสนใจเรื่องนี้อีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงเย็นสองสามทีแล้วทำท่าจะเดินออกไป
ประมุขตระกูลไช่หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เกือบจะระงับความคับแค้นในใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขาเอาของออกมาไม่น้อยแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่พอใจ ของเหล่านี้คือขีดจำกัดที่เขาเอามาให้ได้แล้ว ชิ้นอื่นๆ ที่เหลือหากนำออกมา…จะสั่นคลอนรากฐานของตระกูลอย่างแท้จริง นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจได้อีกต่อไป
และยามนี้เอง ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้างกายประมุขตระกูลไช่ก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ดีว่าในเวลาอย่างนี้คือช่วงคับขัน บุรพาจารย์ก็ตายไปแล้ว ตระกูลไช่ของพวกเขาไม่เหมือนกับอีกสองตระกูล หากยังตัดใจทิ้งสมบัติไม่ได้ หายนะครั้งใหญ่ก็จะมาเยือน คนทั้งตระกูลต้องตายตก เขาจึงฝืนเค้นรอยยิ้มแล้วเดินพรวดออกมาหนึ่งก้าว
“ผู้กำกับการป๋ายช้าก่อน ตระกูลไช่ของข้ายังมีสมบัติอีกไม่น้อยที่ต้องการให้ผู้กำกับการป๋ายช่วยชื่นชม…เจ้าสาม จงไปเปิดคลังสมบัติแล้วเอาของที่อยู่ข้างในนั้นออกมา…ให้หมด!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่หันกลับไปมองผู้อาวุโสอีกคนที่อยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีอยู่พักใหญ่ สุดท้ายถึงถอนหายใจเบาๆ แล้วก้มหน้าเดินจากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า ในใจเขาก็รอคอยเหมือนกัน บอกตามตรงว่าการที่อีกฝ่ายเอาของพวกนี้ออกมาก็ทำให้เขาตื่นตะลึงได้มากพอแล้ว แต่พอได้ยินว่ายังมีอีก ใจเขาก็กระตุกทันที สีหน้าจึงผ่อนคลายลงมาเล็กน้อยแล้วนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
ไม่นานก็มีคนในตระกูลเดินตัวสั่นสะท้านเอาสถูปเล็กหลังหนึ่งมามอบให้!
สถูปเล็กนี้ไม่ใช่สถูปวิญญาณ แต่ทำมาจากไม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดพลังจิตมองทีเดียวหัวใจก็แกว่งไกว ด้านในนั้นมีไฟหลายสีอยู่มากมาย…ตั้งแต่สิบสีขึ้นไป ทั้งยังมีไฟสิบห้าสีอยู่ถึงหกกลุ่มด้วย!
ยังไม่สิ้นสุด ไม่นานก็มีคนในตระกูลเอาแผ่นกระดูกมาให้หนึ่งแผ่น ซึ่งด้านในนั้นบันทึกตำรับการหลอมไฟสิบห้าสี สิบหกสีไปจนถึงสิบเจ็ดสีเอาไว้ ต่อมาเมื่อคนในตระกูลไช่ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็เอา…วิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวงมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน!
วิญญาณคนฟ้านี้เป็นธาตุไฟ บรรจุไว้ในกล่องผลึกใสใบหนึ่ง มองวิญญาณคนฟ้า สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายลงในที่สุด ทั้งยังสูดลมหายใจเข้าช้าๆ …
การเปลี่ยนแปลงของลมหายใจเขาทำให้ทุกคนของตระกูลไช่ที่ความรู้สึกเฉียบไวรู้สึกคลายใจลงได้ ใจของประมุขตระกูลไช่เจ็บร้าวจนไร้คำบรรยายอยู่นานแล้ว ของพวกนี้ที่เอาออกมาพูดได้ว่าเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของรากฐานที่พวกเขาสะสมไว้ทีเดียว
มองสิ่งของที่วางกองอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้เป็นพวกก่อกำเนิดหลายสิบคนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใจสั่น สายตาทอประกายเร่าร้อน
ส่วนเฉินไห่นั้นเขาไม่ได้ตามมาด้วย แต่รออยู่ข้างนอก หาไม่แล้วเกรงว่าแม้แต่เขาก็ยังต้องสำลักลมหายใจอย่างแน่นอน
“ผู้กำกับการป๋าย ท่านพอใจหรือไม่?” ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่เอ่ยเนิบช้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก หัวใจเต้นตึกตักโลดแรงคล้ายมีฟ้าผ่า แต่ไม่ได้ตอบกลับทันที มือของเขาลูบคลำถุงเก็บของ ไม่ได้หยิบอะไรออกมา ทว่าเหมือนรออะไรบางอย่าง
เมื่อเขาเงียบงัน พวกคนตระกูลไช่ที่เพิ่งจะคลายใจก็เริ่มหวั่นวิตกกันขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางหวาดหวั่น
เวลาผ่านไป รออยู่พักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้รีบร้อน ที่เขามั่นใจก็เพราะว่าระหว่างที่เดินทางมา เขาได้ส่งข้อความเสียงให้กับเจ้าเต่าน้อย เรื่องค้นหาสมบัติเช่นนี้เจ้าเต่าน้อยถนัดกว่าเขา และพออีกฝ่ายได้ยินว่ามีเรื่องนี้ เจ้าเต่าน้อยก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันใดเหมือนกัน
เพียงแต่ตอนนี้กลับไม่ได้ยินข้อความเสียงส่งกลับมาจากเจ้าเต่าน้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าทุกคนล้วนหันมามองตนจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแล้วเปิดปากกะทันหัน
“ประมุขตระกูลไช่ ครั้งนั้นตระกูลไช่ของพวกเจ้าไล่สังหารข้าอยู่ในนครผียักษ์ทั้งวัน…ทำเอาข้าตกใจหวาดผวาจนไม่มีกะใจจะฝึกบำเพ็ญตน” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งที
ประมุขตระกูลไช่หนังตากระตุกยิกๆ มองผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าดำคล้ำ ก่อนจะกัดฟันหันไปมองคนในตระกูลซึ่งอยู่รอบด้าน
“ทุกคนจงเอายาวิญญาณออกมา” คนตระกูลไช่รีบหยิบเอายาวิญญาณของตัวเองออกมาทันที ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจทรัพย์สินนอกกายอีกต่อไปแล้ว
ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปเสียที ให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่นานยาวิญญาณของทุกคนในตระกูลก็มากองเป็นพะเนินอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ที่ผู้อาวุโสใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการใช้การกระทำบอกกับป๋ายเสี่ยวฉุนว่าพวกเขาไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไร้ความกระดากอาย ทว่าเจ้าเต่าน้อยยังไม่ส่งข้อความกลับมาเสียที นี่ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก เป็นไปได้ว่าตระกูลไช่ยังซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้…ดังนั้นจึงเริ่มกระแอมไออีกครั้ง
“พวกเจ้าเกรงใจกันเกินไปแล้ว จะพูดไปข้าผู้แซ่ป๋ายก็ละอายใจยิ่งนักที่เมื่อหลายวันก่อนเผาลานวิญญาณของพวกเจ้า…คิดดูแล้วก็น่าเสียดายเหลือเกิน ข้ารู้สึกผิดจริงๆ นะนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ พูดไปส่ายหัวไปด้วย
ใบหน้าของประมุขตระกูลไช่ขึงตึงจนเส้นเอ็นปูดโปน เขามองออกแล้วว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ช่างอำมหิตยิ่งนัก นี่มันคิดจะถลกหนังกันชัดๆ …แต่เขายังจะทำอะไรได้อีก นอกจากลุกพรวดขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว
“กะอีแค่ลานวิญญาณไม่กี่แห่งจะไปสำคัญอะไร ผู้กำกับการป๋ายไม่ต้องรู้สึกผิด นับแต่วันนี้ไปลานวิญญาณพวกนั้นเป็นของท่านแล้ว ท่านคิดจะเผาก็เผาตามสบายเถอะ”
เมื่อเห็นว่าตระกูลไช่ถึงขนาดยอมยกลานวิญญาณให้ตน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรอีก ครุ่นคิดว่าน่าจะพอสมควรแล้ว…แต่เวลานี้เอง เสียงตื่นเต้นดีใจของเจ้าเต่าน้อยก็พลันดังขึ้นมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไอ้หนูป๋าย นายท่านเต่าเจอสมบัติใหญ่ชิ้นหนึ่ง สวรรค์ ไม่นึกเลยว่าตระกูลไช่จะมีสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ได้ วัตถุชิ้นนี้ต่อให้เป็นในเขตแม่น้ำทงเทียนก็ยังหาได้ยาก อยู่ในแดนทุรกันดารก็ยิ่งประเมินค่าไม่ได้เชียวล่ะ…” เจ้าเต่าน้อยรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงห้าวเหิม ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย ทว่าสีหน้าที่มองไปยังประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่กลับค่อยๆ ดำทะมึน
ทุกคนในตระกูลไช่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าดำมืดไปอีกระดับก็พากันใจหายวาบ
“ประมุขตระกูลไช่ ได้ยินว่าตระกูลไช่ของพวกเจ้า…มีรูปสลักหยกวิเศษรูปหนึ่ง…ข้าผู้แซ่ป๋ายอยากจะลองชื่นชมดูสักหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเนิบนาบ นัยน์ตาทอประกายเย็นเยียบ
ประโยคนี้ดังจบ คนอื่นๆ ในตระกูลไม่มีท่าทีอะไร ทว่าประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลไช่สองคนกลับหน้าเผือดสีไปในพริบตา ร่างของพวกเขาถึงกับสั่นเทิ้ม นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ
รูปสลักหยกวิเศษคือความลับสูงสุดของตระกูลไช่ ตลอดทั้งตระกูลมีแค่พวกเขาสองคนและบุรพาจารย์เท่านั้นที่รู้ คนอื่นๆ ในตระกูลไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย อีกทั้งสถานที่ที่ใช้เก็บมันก็ยังถูกปิดผนึกแน่นหนา พวกเขาเชื่อว่าต่อให้เป็นครึ่งเทพก็ยังมิอาจสังเกตเห็น แต่กลับนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้เรื่องนี้เสียได้
และเห็นได้ชัดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางรู้ได้เอง ดังนั้นคำอธิบายเดียวก็คือ…ราชาผียักษ์ และที่ราชาผียักษ์รู้เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้เดียวนั่นคือรู้จากปากของบุรพาจารย์!!
หัวใจของคนทั้งสองเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง หันมามองหน้ากันด้วยความขมขื่น รูปสลักหยกวิเศษสำคัญอย่างยิ่งยวด สามารถพูดได้ว่านั่นคือรากฐานแท้จริงของตระกูลไช่ คือ วัตถุพิทักษ์ตระกูล
มีวัตถุชิ้นนี้อยู่จะทำให้คนของตระกูลไช่ฝึกบำเพ็ญตบะได้เร็วกว่าคนตระกูลอื่นไปตลอดกาล!
เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ยินดีแค่ไหนก็ไม่กล้าไม่เอาออกมา…ประมุขตระกูลไช่รู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรง นั่งลงไปตัวอ่อนเปลี้ย ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินก้าวออกมาหนึ่งก้าวแล้วหายตัวไป ไม่นานเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งและสะบัดแขนเสื้อ รูปสลักหยกวิเศษสูงหนึ่งจั้งกว่าที่ลักษณะเหมือนหญิงสาวผู้หนึ่งก็เผยกายอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
วินาทีที่รูปสลักหยกนี้ปรากฏตัว แสงแดดเจิดจ้าก็กระจายไปทั่วท้องฟ้า ปราณวิญญาณเข้มข้นระลอกหนึ่งที่แร้นแค้นอย่างยิ่งในแดนทุรกันดารกลับพุ่งมาปะทะใบหน้า!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ละคนหายใจหอบหนักถี่เร็ว มองจ้องไปยังรูปสลักหยกวิเศษอย่างมิอาจสะกดกลั้นความละโมบเอาไว้ได้!