Skip to content

A Will Eternal 686

บทที่ 686 เรียกข้าไปพบอีกครั้ง?

แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าใจตำรับการหลอมไฟสิบห้าสีผ่านการอนุมานแบบย้อนกลับ แต่หากให้หลอมจริงๆ ก็ยังมีความยากอยู่อีกเล็กน้อย จำเป็นต้องทดลองอย่างต่อเนื่องถึงจะได้

ยังดีที่จำนวนวิญญาณพยาบาทของเขามีมากพอให้เอามาใช้อย่างสิ้นเปลือง ยามนี้ขณะที่ปิดด่านเขาจึงเริ่มทดลองหลอมครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ล้มเหลวเขาก็จะสรุปข้อประสบการณ์เพื่อหาสาเหตุที่ล้มเหลวแล้วค่อยทำการแก้ไขอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้พอเวลาผันผ่านไปเรื่อยๆ เขาจึงยิ่งหลอมไฟได้อย่างชำนาญมากขึ้น

“มากสุดคืออีกสิบครั้ง ข้าต้องทำสำเร็จแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมตื่นเต้น หยิบเอาวิญญาณพยาบาทออกมาหลอมอีกครั้ง ขณะเดียวกันนครจักรพรรดิในเวลานี้ก็เลื่องลือเรื่องบุปผาราชาผีผลิบานกันไปทั่ว

“บุปผาราชาผีบานแล้ว!! ว่ากันว่าในกาหลอมวิญญาณอันเป็นหนึ่งในแปดพื้นที่ลับของราชวงศ์มีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่งเรียกว่าบุปผาราชาผีซึ่งจักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งเป็นคนลงมือปลูกด้วยตัวเอง หากกินผลของดอกไม้นี้เข้าไป สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แบบ ขจัดโรคร้ายทั้งหมด!”

“วัตถุชิ้นนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นคือสามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงตบะทั้งร่างได้อย่างสมบูรณ์และเลือกเปลี่ยนวิชาในการฝึกตนได้ใหม่!”

“นี่ยังเป็นเรื่องรอง ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าผลของดอกไม้ราชาผีนี้ทำให้วิญญาณที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง!!”

พริบตาเดียวตลอดทั้งนครจักรพรรดิขุยก็โกลาหลวุ่นวาย ข่าวลือหลากหลายรูปแบบแพร่ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เหล่าพวกผู้สูงศักดิ์ในนครจักรพรรดิขุยพากันใจสั่น บุปผาราชาผีนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อราชาผียักษ์

แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ถือว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงดังเซ็งแซ่อยู่ตามที่พักอันหรูหราแต่ละแห่ง แต่กลับไม่มีใครกระทำการบุ่มบ่าม เพราะอย่างไรซะกาหลอมวิญญาณนี้ก็เป็นของเชื้อพระวงศ์ แม้จะมีคำสั่งบอกว่าผู้ที่มีวาสนาจึงได้ครอบครอง แต่รายละเอียดมากกว่านั้นยังจำเป็นต้องรอฟังจากทางพระราชวังเสียก่อน

และขณะที่คนมากมายในนครจักรพรรดิขุยถกเถียงและรอคอยกันอยู่นั้น พระราชโองการหนึ่งก็ประกาศออกมาจากในวังหลวง!

“กาหลอมวิญญาณคือหนึ่งในแปดพื้นที่ลับของเชื้อพระวงศ์เรา การเปิดพื้นที่ลับครั้งนี้ ด้วยประสงค์ของต้าเทียนซือจึงให้ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง…ทว่าผู้ที่มีขอบเขตเหนือกว่าก่อกำเนิดมิอาจเข้าไป ต่ำกว่าก่อกำเนิดก็ห้ามเข้า มีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดเท่านั้นถึงสามารถเข้าไปคว้าโชควาสนาครั้งนี้!”

“สูงถึงเชื้อพระวงศ์ ต่ำถึงเจ้าผู้ครองรัฐ ไม่ว่าฝ่ายใดล้วนส่งคนไปได้แค่คนเดียว ห้ามมากกว่านั้น!”

หลังจากที่พระราชโองการนี้แพร่ออกมา เหล่าผู้สูงศักดิ์ในนครจักรพรรดิขุยก็พากันคิดพิจารณาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทำความเข้าใจกับความหมายของพระราชโองการนี้อย่างละเอียด แต่ละคนก็ทำท่าครุ่นคิด และมีหลายคนที่พากันมองไปยังที่ตั้งของนครผียักษ์อย่างพร้อมเพรียงกัน

พวกเขารู้ว่านี่ย่อมไม่ใช่พระราชโองการของจักพรรดิขุยอย่างแน่นอน แต่เป็นความต้องการของต้าเทียนซือเอง ทว่านครจักรพรรดิขุยทุกวันนี้ ต้าเทียนซือมีบารมีและอำนาจยิ่งกว่าจักรพรรดิขุยเองเสียอีก

แต่ที่น่าแปลกก็คือพวกผู้สูงศักดิ์เหล่านี้กลับพากันเงียบงันคล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

ไม่นานเมื่อพระราชโองการของจักพรรดิขุยป่าวประกาศออกมา เรื่องนี้ก็ดังไปเข้าหูของราชาเก้านรกภูมิ ราชาเก้านรกภูมินั่งเข้าฌานอยู่ในตำหนักราชานครเก้านรกภูมิ ร่างกายของเขาสูงใหญ่บึกบึน ข้างกายมีขวานศึกขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งวางอยู่ ยามนี้กำลังมองแผ่นหยกในมือพร้อมแสยะปากยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ

“ผียักษ์…เจ้าคิดจะครอบครองบุปผาราชาผีดอกนี้ แต่ข้าผู้อาวุโสจะไม่มีทางให้เจ้าได้สมใจหวัง!” เขากับราชาผียักษ์ไม่ลงรอยกันมาหลายปีแล้ว หากไม่เป็นเพราะสาเหตุบางอย่างทำให้เขามิอาจลงมือได้ด้วยตัวเอง เกรงว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ราชาผียักษ์ตบะเสื่อมถอยเขาคงไม่ใช่แค่โจมตีผ่านอากาศ ปลุกระดมความกล้าให้สามตระกูลใหญ่ก่อกบฏเพียงเท่านั้น แต่คงลงมือด้วยตัวเองไปแล้ว

“เรียกตัวซื่อจื่อโจวหง (ซื่อจื่อคือชื่อตำแหน่งของทายาทผู้สืบทอด) ให้มาพบข้าผู้เป็นราชา!” ราชาเก้านรกภูมิหัวเราะเสียงเย็น ดวงตาฉายแสงเย็นเยียบ เสียงของเขาดังสะท้อนไปรอบด้าน ทั้งยังหยิบแผ่นกระดูกออกมาส่งข้อความเสียงสั่งการตระกูลผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนครเก้านรกภูมิ

เวลาเดียวกัน บนยอดเขาแห่งหนึ่งในนครชิงชัย ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีเขียวผู้หนึ่งกำลังเอามือไพล่หลังยืนอยู่บนยอดเขา เรือนกายของเขามองดูแล้วไม่ใหญ่โตเท่าราชาเก้านรกภูมิ แต่พอยืนอยู่ตรงนั้นก็ราวกับกลายมาเป็นเพียงเงาร่างหนึ่งเดียวที่อยู่ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้ ประหนึ่งว่าพลานุภาพสยบบนร่างของเขาสามารถข่มทับนภากาศและพื้นดินได้อย่างสิ้นเชิง

ชายชุดเขียวผู้นี้ก็คือราชาชิงชัย

“น่าสนใจ…บุปผาราชาผีเคยบานมาแล้วสี่ครั้ง ก่อนหน้านี้ราชาผียักษ์แต่ละรุ่นล้วนช่วงชิงเอามาได้สำเร็จทั้งสี่ครั้ง ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้จึงสำคัญที่สุดสำหรับราชาผียักษ์รุ่นนี้ หากเขาได้มาครองก็จะกลายมาเป็นรูปแบบของเบญจธาตุ นับแต่นี้จะสามารถกำจัดโรคแฝงซึ่งเกิดจากวิชาที่ฝึกฝนให้หายขาด ไม่ต้องมีช่วงระยะเวลาของการเสื่อมถอยอีก!”

“ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้…ไม่ว่าใครที่ได้ไปครองก็ล้วนสามารถเอามัน…ไปแลกสมบัติที่ทำให้ราชาผียักษ์เสียดายอย่างสุดแสน…” ชายชุดเขียวหรี่ตาทั้งคู่ลง ในสมองมีภาพขวดยาของราชาผียักษ์ที่สามารถชุบหลอมทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นยาเม็ดใหญ่ลอยขึ้นมา

“อี้เอ๋อร์ มาพบข้า!” นิ่งคิดไปพักหนึ่งชายชุดเขียวก็ยิ้มน้อยๆ แล้วเปล่งเสียงออกไป

ราชาเก้านรกภูมิ ราชาชิงชัยล้วนมีความคิดความต้องการเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันในนครเทพจุติ ราชาเทพจุติหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เกิดความสนใจเช่นกัน ร่างกายของราชาเทพจุติผู้นี้อ้วนใหญ่ นั่งอยู่ตรงนั้นก็ราวกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง อ้วนยิ่งกว่าจางต้าพั่งในปีนั้นหลายต่อหลายเท่า

ทว่าในแดนทุรกันดารแห่งนี้คนที่กล้าแสดงท่าทางดูแคลนเขานั้นมีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ยามนี้เขานั่งอยู่ในตำหนักของตัวเอง รอบกายมีสาวใช้จำนวนมากห้อมล้อม ในมือถือจอกเหล้า นัยน์ตาฉายแสงคมกริบ

“ครั้งนี้ราชาผียักษ์อนาถแน่ ทุกคนมีแต่อยากจะเล่นงานเขา คงฉวยโอกาสผสมโรงกันหมด…โอกาสอย่างนี้มีหรือที่ข้าผู้เป็นราชาจะทิ้งไปให้เสียเปล่า” ราชาเทพจุติหัวเราะฮ่าๆ แล้วพลันเงยหน้าขึ้นมองไปข้างนอก ก่อนจะตะโกนดังลั่น

“ซานซาน ลูกสาวคนดีของข้าผู้เป็นราชา เจ้าคอยหาคนมาซ้อมมืออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ใช่หรือ บิดายกโอกาสนี้ให้เจ้า จงไปที่กาหลอมวิญญาณ เจ้าตีใครก็ได้ตามใจชอบ แต่จำไว้ว่าจงเอาผลของบุปผาราชาผีกลับมาให้พ่อของเจ้า!”

เมื่อเสียงนั้นดังออกมา ในคฤหาสน์หลังหนึ่งกลางนครเทพจุติก็มีเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะบินพรวดออกมาด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม ทว่ารอบกายกลับลุกโชนไปด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้

การลงมือของราชาสวรรค์ทั้งสามคนประหนึ่งกังหันบอกทิศทางลม ชักนำให้ในนครจักรพรรดิขุยเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นมาทันที

ไม่นานในกลุ่มของผู้สูงศักดิ์ก็มีข้อความเสียงส่งต่อๆ กันออกไป

“ตระกูลหนึ่งส่งไปได้แค่คนเดียว? เรื่องนี้อาจล่วงเกินราชาผียักษ์เอาได้…ช่างเถอะ การช่วงชิงกันของสี่ราชาสวรรค์ ตระกูลโจวของพวกเราไม่เข้าร่วมด้วยจะดีกว่า!”

“แม้ราชาผียักษ์จะเป็นครึ่งเทพ ทว่าตระกูลหลี่ของข้าผูกมิตรกับราชาเก้านรกภูมิ…จะไม่ไปก็ไม่ได้ เอาเถอะ บุตรกิเลนตระกูลหลี่ของข้าจะได้ถือโอกาสสร้างชื่อในกาหลอมวิญญาณนี้เสียเลย!”

“ไม่มีการแก่งแย่งที่เกี่ยวพันกับตระกูลใหญ่ๆ แบบนี้มานานมากแล้ว หากเด็กรุ่นเล็กที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดคว้าโอกาสเอาไว้ได้ก็ล้วนมีสิทธิ์ได้ลุกผงาด! แม้อาจจะล่วงเกินราชาผียักษ์ แต่มีราชาชิงชัยอยู่ พวกเราก็ไม่กลัว!”

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นแสดงพร้อมกันในหลายพื้นที่ทั่วแดนทุรกันดาร และทั้งหมดนี้ก็ยิ่งแปลงมาเป็นข่าวผ่านเส้นสายที่อู๋ฉางกงจัดวางไว้รอบทิศอย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับข่าวเหล่านี้เขาก็มีสีหน้ามืดคล้ำ ตรงดิ่งไปยังตำหนักราชาทันที

ไม่นานนัก หลังจากที่เขาจากไป ในตำหนักราชาก็มีเสียงคำรามเดือดดาลของราชาผียักษ์ดังลอยมา ราชาผียักษ์หอบหายใจฮักๆ เดินลงมาจากแท่นเก้าอี้ นัยน์ตาอบอวลไปด้วยแสงเย็นเยียบเข้มข้น อันที่จริงไม่ต้องให้อู๋ฉางกงมารายงานเขาก็พอจะเดาได้ว่าการปรากฏตัวของบุปผาราชาผีย่อมชักนำให้เกิดมรสุมลูกใหม่แน่นอน

หลังจากที่ระยะเสื่อมถอยสิ้นสุดและได้หวนคืนกลับมานครผียักษ์อีกครั้ง ในใจของเขาก็เอาแต่คิดถึงเรื่องกาหลอมวิญญาณตลอดเวลา มาลองนับเวลาดูแล้ว เขาก็รู้ว่าบุปผาราชาผีนั่นน่าจะบานเป็นครั้งที่ห้าแล้ว

ดังนั้นเขาจึงให้อู๋ฉางกงไปจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการจับตามองพวกราชาสวรรค์ หรือแม้แต่ไปติดต่อกับต้าเทียนซือ พยายามให้ต้าเทียนซือรับปากว่าจะมอบรายชื่อผู้ที่ได้เข้าไปในกาหลอมวิญญาณครั้งนี้ให้แก่นครผียักษ์เพียงผู้เดียว

แต่เห็นได้ชัดว่าต้าเทียนซือปฏิเสธ ต่อให้ราชาผียักษ์จะยอมติดหนี้บุญคุณ ผลลัพธ์ก็ยังออกมาเป็นแบบเดิม ชัดเจนว่าอีกฝ่ายจงใจโจมตีตน นี่จึงทำให้เขาเดือดดาลอย่างหนัก แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เพราะต้าเทียนซือที่มีวิธีการร้ายกาจถึงขนาดกล้าจี้ตัวโอรสสวรรค์แล้วตั้งตัวเป็นใหญ่เองนั้นทำให้เขากริ่งเกรงอย่างถึงที่สุด

“ทุกคนต่างก็รู้ว่าบุปผาราชาผีนี้สำคัญกับข้าอย่างถึงที่สุด เจ้าพวกสามคนนี้คิดจะปล้นข้าให้ได้เลยใช่ไหม?! ทั้งยังข่มกองกำลังของข้าอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้กลุ่มอิทธิพลที่ผูกมิตรกับนครผียักษ์ของข้ายอมถอยออกจากการช่วงชิงครั้งนี้!”

“หึ สามราชาร่วมมือกันยังไม่สำคัญเท่าท่าทีของต้าเทียนซือ…” ราชาผียักษ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่การที่เขาไม่อาจไปยังกาหลอมวิญญาณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับต้าเทียนซือ เพราะกาหลอมวิญญาณนั้นมีความพิเศษ เดิมทีผู้ที่อยู่ในขอบเขตคนฟ้าและครึ่งเทพก็เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว

“แต่พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้เป็นราชาไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน!” ราชาผียักษ์แค่นเสียงเย็น ในสมองพลันมีภาพของคนผู้หนึ่งลอยขึ้นมา…พอนึกถึงคนผู้นี้ ราชาผียักษ์ก็หัวเราะออกมาทันที

“สมควรแก่เวลาให้เจ้ากะล่อนคนนี้ไปสัมผัสกับความยากลำบากดูบ้างแล้ว หัวของข้าผู้เป็นราชาจะให้เขาตบอย่างเสียเปล่าไม่ได้” คิดมาถึงตรงนี้ ราชาผียักษ์ก็ออกคำสั่งทันที

“เรียกป๋ายฮ่าวให้มาพบข้าผู้เป็นราชาโดยเร็วที่สุด!”

ตอนที่คำสั่งเรียกเข้าเฝ้าของราชาผียักษ์ดังออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปิดด่านอยู่ในห้องลับกำลังหลอมไฟสิบห้าสี เขาล้มเหลวมาแล้วสิบกว่าครั้ง ยามนี้ดวงตาฉายแววยึดมั่น รวบรวมสมาธิทั้งหมดให้อยู่ที่การควบคุมเปลวไฟในมือซึ่งกำลังกลืนกินวิญญาณพยาบาทรอบด้าน

เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย จนกระทั่งทะเลเพลิงระเบิด วิญญาณพยาบาทถูกผสานรวมเข้าด้วยกันจนหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาแดงฉานก็กำมือขวาเข้าหากัน ท่ามกลางเสียงอึกทึก ทะเลเพลิงซึ่งกระจายไปรอบด้านก็พลันหุบเข้ามารวมกันอยู่ในมือของเขา!

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังตื่นเต้นสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะแบมือออกช้าๆ มองเห็นเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งที่เผาไหม้กลางฝ่ามือ ใบหน้าของเขาก็แย้มยิ้ม และไม่นานก็เริ่มหัวเราะเสียงดัง

“ในที่สุดก็…สำเร็จแล้ว!!”

ไฟกลุ่มนั้นพริบพราวไปด้วยแสงไฟสิบห้าสี แฝงเร้นปณิธานแห่งฟ้าดินบางอย่าง นั่นก็คือ…ไฟสิบห้าสี!

เมื่อหลอมไฟสิบห้าสีนี้ได้ก็หมายความว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีเหลืองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็น…ขั้นสีดำ!!

ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร อาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำอาจไม่ถึงขั้นหายากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน แต่ก็มีไม่เกินร้อยคน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอาศัยการศึกษาและอนุมานอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเอง ยามนี้ในที่สุดเขาก็ได้เลื่อนขั้นมาถึงระดับนี้แล้ว

ขณะที่กำลังลำพองใจ ทันใดนั้นนอกพื้นที่ปิดด่านของเขาก็มีเสียงเร่งเร้าดังลอยมา

“ผู้กำกับการใหญ่ หวังเหย่เรียกท่านเข้าพบ ท่านรีบไปเถอะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าทุกครั้งที่หวังเหย่เรียกพบตนล้วนตรงกับช่วงที่ตนคิดจะออกจากด่านพอดี…

“ไม่ถูกสิ หรือว่าเขามองเห็นข้า?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกลนลานทันใด มองไปรอบด้านด้วยสายตาสงสัย ก่อนจะรีบเก็บไฟสิบห้าสีในมือลงไป หน้าของเขาเปลี่ยนสี แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไหร่นัก

หลังจากเดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากในพื้นที่ปิดด่านพร้อมความลังเล

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นองค์รักษ์สองคนที่อยู่ด้านนอกทันที ซึ่งคนทั้งสองกำลังหันมาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

“หวังเหย่ตามตัวข้าผู้กำกับการด้วยเรื่องอันใด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมององค์รักษ์ผู้นั้นแล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจ

องค์รักษ์ทั้งสองลังเลเล็กน้อย รู้ดีว่าอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนล้นฟ้า ไม่กล้าล่วงเกิน ดังนั้นจึงอธิบายเบาๆ เกี่ยวกับเรื่องบุปผาราชาผีผลิบานที่พวกเขารู้มาและคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ฟังก็อ้าปากสูดลมเฮือกทันที ในใจสั่นเยือก

“ผู้กล้าก่อกำเนิดทุกคนในแดนทุรกันดารล้วนไปที่นั่น? อันตรายเกินไปแล้ว…” คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เซถอยหลังไปหลายก้าว เปล่งเสียงแหบแห้ง

“เกิดข้อผิดพลาดตอนที่ข้าฝึกตน พวกเจ้ารีบไปรายงานหวังเหย่ว่าขอให้ข้าปิดด่านพักฟื้นก่อนสักครึ่งปี…” พูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบถอยกลับเข้าไปในพื้นที่ปิดด่าน เสียงปังดังหนึ่งที ประตูใหญ่ก็ปิดแน่นสนิท

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนี้รวดเร็วเกินไปจนทำให้องค์รักษ์ทั้งสองมองตาค้าง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version