บทที่ 733 ปล่อยพิษ
หลังจากสั่งความโจวอีซิงไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้สนใจร้านทั้งสองนั้นอีก แต่กลับไปรอคอยในร้านตัวเองด้วยความคาดหวัง ฮึกเหิมอยู่พักใหญ่ถึงได้เริ่มปลงอนิจจัง
“ต่อไปหากเจอพวกตาแก่ทั้งหลายจะดูถูกไม่ได้เลย เพราะยิ่งมากประสบการณ์ ความฉลาดก็ยิ่งมีมากตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นข้า หากข้าไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องพวกนั้นมาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา วันนี้มีหรือจะคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้!”
“หึหึ วิธีการนี้แม้จะง่ายดาย แต่กลับได้ผลชะงัดนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะหึหึ แผนการของเขาก็คือจะนำทุกความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเพราะพรรคอะไรๆ ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามาแสดงที่นี่อีกหนึ่งรอบ
จนถึงตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังจำได้ว่าพรรคท้องฟ้าอะไรนั่นเหี้ยมโหดมากแค่ไหน พวกเขาใช้ยาปี้กู่ของตนมาทำให้ตนอับจนหนทาง ขณะเดียวกันก็ทำให้ยาที่เดิมทีทดแทนอาหารวิเศษกลายเป็นของไร้ค่าไปอย่างสิ้นเชิง
“ในเมื่อปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตทั้งสองคนนี้คิดจะหาเรื่องเล่นงานข้าให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษที่ข้าอำมหิตไร้ปราณีก็แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่นั่งขัดสมาธิก็แหงนเงยศีรษะไปด้านหลัง ทำให้แสงแดดจากนอกประตูสาดกระทบลงบนใบหน้าของเขา ส่วนร่างของเขาซ่อนอยู่ในความมืด ท่าทางเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งสอดคล้องกับลักษณะของคนโฉดชั่วเข้าไปใหญ่
ส่วนทางฝ่ายของโจวอีซิงนั้น ก็ได้รับเอาวิญญาณพยาบาทจำนวนมากมาจากป๋ายเสี่ยวฉุน พอวันที่สองเขาก็เริ่มลงมือทันที เขาไม่ได้ออกหน้าเอง แต่เรียกลูกน้องจากนครผียักษ์จำนวนไม่น้อยให้กระจายตัวกันเข้าไปในร้านของซือหม่าเทาและซุนอี้ฝาน พอไปถึงก็แสร้งทำเป็นลูกค้าที่ไปหาซื้อยาวิญญาณระดับสูง
ยาวิญญาณระดับสูงพวกนี้ราคาไม่ธรรมดา แต่คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ดังนั้นโจวอีซิงจึงกว้านซื้อมาเป็นจำนวนมากอย่างไม่ลังเล ทั้งยังเปลี่ยนคนไปซื้อทุกวัน ไม่นาน ครึ่งเดือนต่อมาโจวอีซิงก็สะสมยาวิญญาณระดับสูงได้จำนวนไม่น้อย
อีกทั้งยาวิญญาณเหล่านี้ล้วนมีตราประทับของซือหม่าเทาและซุนอี้ฝาน เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ยาวิญญาณที่หลอมออกมาจึงมีตราประทับเป็นของตัวเอง และในบางระดับ ตราประทับนี้ก็จะเพิ่มมูลค่าให้กับตัวยาไปด้วย
นอกจากยาวิญญาณระดับสูงแล้วยังมียาวิญญาณระดับกลาง ขอแค่มีตราประทับของปรมาจารย์สองท่านนี้ โจวอีซิงก็ล้วนซื้อหามาหมด ยิ่งสะสมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหลังจากผ่านไปอีกไม่กี่วัน เขาก็ใช้วิญญาณพยาบาทที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบให้จนหมด
เขาถึงได้ติดต่อไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน กลางดึกคืนนี้คนทั้งสองจึงมาเจอกันในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้อยู่นาน หลังจากทิ้งวิญญาณพยาบาทสำหรับซื้อหายาวิญญาณชุดใหม่ไว้ให้ เขาก็เก็บยาวิญญาณชุดแรกแล้วจากไปทันที
การซื้อหาของโจวอีซิงจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มยุ่งวุ่นวาย วิญญาณป๋ายฮ่าวจับตามองอย่างใกล้ชิด ครุ่นคิดอยู่นานก็พอจะเดาแผนการนี้ได้เกินครึ่ง ทว่าจุดสำคัญหลายข้อในนี้เขายังคิดไม่ตก
“เห็นได้ชัดว่าอาจารย์คิดจะเอายาวิญญาณของอีกฝ่ายมาปรับเปลี่ยน แล้วค่อยปล่อยขายในราคาที่ต่ำกว่า พอคนเกิดอาการไม่เหมาะสมก็ย่อมไประบายความโกรธแค้นใส่ซือหม่าเทาและซุนอี้ฝาน”
“แผนการนี้ง่ายดายตรงไปตรงมา ทั้งยังเหี้ยมเกรียมอย่างถึงที่สุด ทว่ายาวิญญาณนี้เดิมทีก็สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดว่าจะเล่นตุกติกกับยาพวกนั้นได้หรือไม่ แต่หากถูกคนจับได้ขึ้นมาก็ไม่เท่ากับยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเองหรือไง” วิญญาณป๋ายฮ่าวเกิดความลังเล ก่อนจะบอกความกังวลของตัวเองให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรู้
“ศิษย์ข้าวางใจเถอะ อาจารย์มีวิธี รับรองว่าสมบูรณ์แบบไร้รอยโหว่!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังจบก็เชิดหน้าพูดด้วยความลำพองใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบเอายาวิญญาณที่โจวอีซิงกว้านซื้อออกมา พอสังเกตอย่างละเอียดก็มองออกว่าไม่เสียแรงที่เป็นยาซึ่งผู้มีชื่อเสียงลงมือหลอมด้วยตัวเอง พลังวิญญาณมั่นคง ทั้งยังเปี่ยมล้น
“ช่วยไม่ได้ พวกเขามาหาเรื่องข้าก่อนเองนี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายประกายแสงประหลาด เขารู้ดีว่ากุญแจสำคัญของแผนการนี้ก็คือจะทำอย่างไรไม่ให้คนจับได้ เรื่องที่ป๋ายฮ่าวกังวลใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจในตัวเองมากพอ เพราะเรื่องนี้ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงแดนทุรกันดาร หลังจากที่หลอมยาวิญญาณได้เป็นครั้งแรก เขาก็เคยมีความคิดอย่างหนึ่งที่อาจหาญเป็นพิเศษ
ตอนนั้นเขาครุ่นคิดว่าจะหลอมยาวิญญาณด้วยวิธีเดียวกับการหลอมยา คิดจะนำการหลอมยาของเขตแม่น้ำทงเทียนและการหลอมวิญญาณของแดนทุรกันดารมาผสานรวมเข้าด้วยกัน และสร้างโอสถวิญญาณที่สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนได้มากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเค้นสมองคิด ทดลองหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายกลับพบว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิดเพ้อฝันของตัวเองฝ่ายเดียว ทั้งสองสิ่งไม่สามารถมาผสานรวมกันได้เลย เพราะเมื่อทับซ้อนกันจะทำให้เกิดการระเบิด แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รับผลพวงใดๆ เสียเลย เพราะหลังจากที่เขาศึกษาวิจัยก็ค้นพบว่าหากนำวัตถุอย่างควันหลอนประสาทมาผสานรวมเข้าไปในยาวิญญาณ ก็ยังถือว่าพอทำได้ อีกทั้งเนื่องจากระบบการหลอมยาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่มีทางตรวจสอบเจอได้เลย
นอกเสียจากว่าเดิมทีคนผู้นั้นก็ไม่เพียงแต่เป็นปรมาจารย์หลอมวิญญาณ แต่ยังเป็นอาจารย์หลอมโอสถด้วยถึงจะมองเส้นสนกลในออก แต่สำหรับแดนทุรกันดารแล้ว อาจารย์หลอมวิญญาณที่แข็งแกร่งมีเยอะมาก ทว่าปรมาจารย์ด้านการหลอมโอสถนั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย!
เพราะแดนทุรกันดารไม่มีรากฐานของปรมาจารย์หลอมโอสถ พืชหญ้าของที่นี่ไม่สามารถนำมาหลอมยาได้ ก็เหมือนกับที่ในเขตแม่น้ำทงเทียน มีอาวุธหลอมพลังจิตหลายครั้งอยู่น้อยชิ้น
“นึกไม่ถึงเลยว่าการทดลองในครานั้นที่ข้าคิดว่าล้มเหลว มาตอนนี้จะกลับกลายมาเป็นวิธีการรับมืออย่างหนึ่งของข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่พักหนึ่ง ดวงตาเผยแววครุ่นคิด เขากำลังคิดว่าควรจะผสานรวมควันพิษเข้าไปในยาวิญญาณนี้อย่างไรดีถึงจะทำให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่รุนแรงถึงตายด้วย
“ยากระสันซ่าน? ไม่ได้ ยานี้ร้ายกาจเกินไป”
“ยาหลอนประสาท ก็ไม่ได้เหมือนกัน ชื่อเสียงของยานี้มีมากเกินไป หากมีคนสงสัยแล้วไพล่นึกไปถึงตัวตนของข้าขึ้นมาก็แย่แน่ แถมถ้าเรื่องลุกลามใหญ่โตก็คงอธิบายได้ไม่ง่ายนัก”
เพราะอย่างไรซะเรื่องนี้จะต้องเดือดร้อนคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบเหยียบกองกระดูกคนอื่นขึ้นไปสู่ความสำเร็จ หลังจากใคร่ครวญพักหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เป็นประกายวาบ
“ควันเขียวที่ทำให้ท้องเสียตอนอยู่สำนักธาราโลหิตถึงจะสมบูรณ์แบบบมากที่สุด! ผลที่ได้พอดิบพอดี อีกทั้งหากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็หาคำอธิบายได้หลากหลาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเม้มปาก คิดถึงควันเขียวซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการหลอมธูปหอมตอนที่ตนอยู่บนเขาจงเฟิงของสำนักธาราโลหิต
“ธูปหอมเลื่อนลอย ยาวิเศษระดับสี่ ตอนนี้ข้าหลอมได้ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลิกหาถุงเก็บของทันที แม้ตอนนี้เขาจะมีพืชหญ้าอยู่ไม่มาก ทว่าในฐานะที่เป็นสุดยอดปรมาจารย์ด้านการหลอมยา เขาสามารถเปลี่ยนตำรับยา ใช้พืชหญ้าของตัวเองมาสร้างให้เกิดควันสีเขียวที่มีประสิทธิผลแบบเดียวกันขึ้นมาได้
ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เปิดพลังการอำพรางของหน้ากากให้มากถึงขีดสุด ก่อนจะหยิบเอาเตาหลอมออกมาวางไว้ตรงหน้า
“ไม่ได้หลอมยามานานมากแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำเตาหลอมยา ในใจเกิดความคิดถึง ผ่านไปพักใหญ่ถึงตั้งสมาธิแล้วเริ่มลงมือหลอมยา อันดับแรกหลอมควันพิษสีเขียว จากนั้นถึงได้ผสานรวมเข้าไปในยาวิญญาณ
คืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เช้าตรู่วันที่สองมาถึง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากในห้อง ป๋ายฮ่าวที่รออยู่ข้างนอกก็เห็นความเหนื่อยล้าในดวงตารวมไปถึงความฮึกเหิมบนใบหน้าของอาจารย์ตัวเองได้ทันที แถมพอเดินออกมา อีกฝ่ายยังเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วย
“โจวหง มาสู้กับข้า ข้านายท่านป๋ายไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องอะไรมาบ้าง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะครืน เพราะรอบด้านมีตราผนึก เขาจึงไม่กลัวว่าเสียงจะดังเล็ดรอดออกไป
วิญญาณของป๋ายฮ่าวเป็นกังวลเล็กน้อย เขารีบปรี่เข้าไปหาอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยื่นยาวิญญาณเม็ดหนึ่งมาให้เขาพร้อมเอ่ยอย่างลำพองใจ
“ศิษย์ข้า ลองใช้ทุกวิธีการที่เจ้ามีมาดูสิว่ายาวิญญาณเม็ดนี้มีปัญหาหรือไม่”
ดวงตาของป๋ายฮ่าวแน่วนิ่ง ก้มหน้าลงมองยาวิญญาณระดับสูงในมือของตัวเองอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ แต่ก็ยังมองไม่ออกว่ามีอะไรแตกต่าง อีกทั้งเขายังทำมุทราชี้ไปยังยาวิญญาณเม็ดนี้ ตรวจสอบทั้งนอกและใน แถมยังเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ
มาถึงท้ายที่สุด วิญญาณของป๋ายฮ่าวก็เริ่มมองเซ่อ เพราะในสายตาของเขา ยาวิญญาณเม็ดนี้ปกติมากๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านจัดการกับยาวิญญาณเม็ดนี้แล้วจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เอามาผิดเม็ดหรอกนะ?” วิญญาณป๋ายฮ่าวมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความแปลกใจ
ต้องรู้ว่าถึงแม้ป๋ายฮ่าวจะมีร่างเป็นวิญญาณทั้งเป็นผีนักพรต ทว่าพรสวรรค์ด้านการหลอมไฟของเขานั้นลึกล้ำมาก ขนาดเขายังไม่รู้สึกว่ามีปัญหา ถ้าเช่นนั้นในแดนทุรกันดารแห่งนี้ คนที่มองออกว่ายาเม็ดนี้มีปัญหาก็พูดได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่ ต่อให้มีจริงๆ ก็น้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน น้อยยิ่งกว่าน้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินอย่างนี้ก็รีบมองตรวจสอบ พอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หยิบมาผิดก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“ไม่ผิดแน่ ภายในหนึ่งเดือนนี้ข้าจะให้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของทั้งสองร้านเลื่องลือไปทั่วทุกหัวถนนเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจเกินจะเปรียบ พอคิดถึงความอเนจอนาถที่ตัวเองโดนพรรคท้องฟ้าเล่นงานในปีนั้น เขาก็รู้สึกวิธีนี้อำมหิตไม่น้อย แต่ก็พูดกับตัวเองว่าตนปราณีมากพอแล้ว เพราะทุกอย่างนี้ พวกเขาล้วนบังคับให้ตนต้องทำ
“หากข้าลงมือเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนภาคภูมิใจอยู่กับตัวเอง หลังจากพุ่งตัวออกไปนอกร้านก็ส่งข้อความเรียกหาโจวอีซิง คนทั้งสองมาพบกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหยิบเอายาวิญญาณที่ผ่านการปรับเปลี่ยนมาส่งให้อีกฝ่ายแล้วจึงกำชับอีกสองสามคำ โจวอีซิงเองก็รับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างไม่มีลังเล นั่นถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมจากไปด้วยอารมณ์เบิกบาน
โจวอีซิงมีความสามารถอย่างที่เขารับประกันจริงๆ แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาอยู่ในนครจักรพรรดิขุยแห่งนี้ได้ไม่นาน แต่เขามีลูกน้องในนครผียักษ์มากพอ ตอนนี้ในนครจักรพรรดิขุย เขาเองก็ได้สร้างเครือข่ายของตัวเองในพื้นที่บางส่วน ไม่นานโจวอีซิงจึงหาร้านที่จะนำยาวิญญาณนี้ไปขายต่อได้
ยาวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นยาระดับสูง ทั้งยังมีตราของปรมาจารย์รับประกัน ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่มีข้อบกพร่อง บวกกับที่ราคาต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ดังนั้นขั้นตอนการขายออกไปจึงราบรื่นอย่างมาก แถมหากไม่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งว่าต้องพยายามขายให้กับคนมากที่สุด ก็ยังมีคนถึงขั้นเสนออยากจะกว้านซื้อไปหมดทีเดียวเลยด้วยซ้ำ
เวลาเพียงแค่วันเดียว ยาวิญญาณระดับสูงเหล่านี้ก็กระจายไปทั่วนครจักรพรรดิขุย ไม่นานเมื่อโจวอีซิงรับยาวิญญาณชุดที่สองซึ่งผ่านการแปรสภาพจากมือป๋ายเสี่ยวฉุนมาแพร่ไปทั่วเมืองอีกครั้ง ผู้ฝึกวิญญาณที่ได้ยาวิญญาณเหล่านี้ไปครอบครองจึงยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งโจวอีซิงยังตั้งใจนำไปปล่อยในพื้นที่ที่แปดสิบเก้าและบริเวณใกล้เคียงเป็นพิเศษ ดังนั้นที่นี่จึงมีจำนวนนักพรตที่ซื้อยาวิญญาณซึ่งผ่านมือป๋ายเสี่ยวฉุนไปมากที่สุด
เมื่อยาชุดที่สาม ชุดที่สี่ ชุดที่ห้าถูกแพร่ออกไป เวลาเพียงครึ่งเดือน นักพรตในนครจักรพรรดิขุยที่เริ่มใช้ยาวิญญาณนี้มาฝึกบำเพ็ญตนก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อ