Skip to content

A Will Eternal 749

บทที่ 749 บุกราบเป็นหน้ากลอง

หมัดเดียวซัดให้เสี่ยวหลางเสินลงไปกองอยู่กับพื้น แผ่นดินถึงกับสั่นไหว ก่อนจะเกิดรอยปริแตกเป็นเส้นๆ ทั้งร่างของเสี่ยวหลางเสินโชกไปด้วยเลือด นอนแน่นิ่งไม่ขยับ ทำเอาคนรอบด้านสูดลมดังเฮือกแล้วชะงักค้างทันที

ทว่ายังไม่ทันรอให้พวกเขาคืนสติ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พกพาเอาความโกรธเคืองก็พลันหายวับไปราววิญญาณร้าย พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่เบื้องหน้าผู้ฝึกวิญญาณคนที่สองแล้ว

“เจ้าก็ลงไปนอนซะ!”

ท่ามกลางเสียงคำรามเดือดดาล ผู้ฝึกวิญญาณคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะโต้กลับ ทว่ากลับค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าทารกก่อกำเนิดของตนเกิดความไม่มั่นคง พลังตบะที่กำลังโคจรก็หยุดชะงัก ปากร้องอุทานเสียงหลง ทว่าร่างกลับไม่ทันรับมือ เสียงกัมปนาทดังลั่นขึ้นมาหนึ่งครั้ง หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกลงไปบนไหล่ของเขา เสียงกร๊อบดังลั่น กระดูกบนไหล่ของคนผู้นั้นแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดหาย ร่างถูกกระแทกร่วงตูมลงไปบนพื้นตามรอยเสี่ยวหลางเสิน

ยังไม่สิ้นสุด ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนลุกโหมเต็มที่แล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นใครที่ก่อตั้งร้านขึ้นมาอย่างลำบากลำบน แล้วต้องมาถูกคนอื่นทำลายแบบนี้ก็รับไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนได้ไฟเขียวจากราชาผียักษ์ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งไร้ซึ่งความกริ่งเกรง

ไม่คิดจะหยุดมือ หลังจากโจมตีผู้ฝึกวิญญาณสองคนติดต่อกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขยับร่างมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนที่สาม คนผู้นี้คือชายวัยกลางคน บัดนี้สีหน้าของเขาซีดขาว ถอยกรูดไปข้างหลัง ปากก็ยิ่งเปล่งเสียงร้องโหยหวน

“ป๋ายฮ่าว เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ!”

“ไม่กล้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าดุดัน คำรามกลับไปด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่า เสียงนี้เต็มไปด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม ทว่าถ้อยความกลับทำให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นอึ้งงัน ขณะที่กะพริบตาปริบๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้ามาใกล้แล้ว มือขวาของเขายกขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็คว้าลำคอของชายวัยกลางคนผู้นี้เอาไว้ พอจับได้มั่นก็เหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายลงไปกระแทกกับพื้นเบื้องล่างอย่างแรง

เสียงตูมดังลั่น ชายวัยกลางคนผู้นี้กระอักเลือด ทารกก่อกำเนิดในร่างเกือบจะแหลกลาญ ทั้งยังกระเด็นออกมานอกร่าง อวัยวะข้างในพังป่นปี้ หมดสติไปเช่นเดียวกัน

“คิดว่าข้าโง่หรือไง ฆ่าเจ้า พลังชีวิตก็เสียเปล่าน่ะสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าประโยคนี้ไร้ความน่าเกรงขาม กลับยิ่งรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะแสดงให้เห็นถึงความองอาญห้าวหาญของตน ขณะที่จะลงมืออีกครั้ง ทว่าเวลาที่ผ่านไปช่วงหนึ่งทำให้คนหลายสิบคนรอบด้านฟื้นคืนสติมาจากความน่าหวาดกลัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้แล้ว

พวกเขาต่างก็มีตบะไม่ธรรมดา แม้ในบรรดานี้มีไม่น้อยที่เป็นรวมโอสถ แต่อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของแต่ละตระกูล ส่วนใหญ่จึงมักจะแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเดียวกัน แม้จะมองออกถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พวกเขาก็มีคนเยอะกว่า จึงมีคนรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ลงมือพร้อมกัน!”

“ต่อให้ป๋ายฮ่าวผู้นี้จะร้ายกาจแค่ไหน เขาก็ไม่ได้มีสามเศียรหกกร!”

“เขากระตุ้นความโกรธของฝูงชน วันนี้ต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา!” ระหว่างที่พูด คนหลายสิบคนที่อยู่รอบด้านก็พากันโคจรตบะเต็มกำลัง มือก็ทำมุทรา พริบตานั้นวิชาอภินิหารหลายชนิดต่างปรากฏตัว ห้าแสงสิบสีก่อกลายมาเป็นคลื่นเวทคาถาที่ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ในเวทคาถาผืนนี้มีมังกรวิญญาณสามตัวที่เกิดจากอาคม และยังมีพายุบ้าคลั่งจำนวนมากที่มาพร้อมกับแสงมีด อีกทั้งด้านหลังยังมีคนจำแลงกายเป็นนกยูงตัวหนึ่งที่พอรำแพนหางก็กลายมาเป็นกระบี่แสงหลายเล่มที่ทะลุทะลวงผ่านความว่างเปล่าหมายดื่มเลือดป๋ายเสี่ยวฉุน

และห่างออกไปไกลก็ยังมีเงาร่างอีกสี่สิบห้าสิบเงาที่ร่ายความเร็วเต็มกำลัง บางคนยังไม่ทันมาถึง ทว่าอาวุธวิเศษกลับนำมาก่อนแล้ว พวกมันต่างก็กลายเป็นรุ้งยาวที่แล่นเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงด้านหลังคนสี่สิบห้าสิบคนนี้ที่มาจากสี่ด้านแปดทิศ ซึ่งขนาดอยู่ใต้ม่านรัตติกาลก็ยังมองเห็นว่ามีเงาร่างจำนวนมากกว่าเดิมกำลังห้อทะยานเข้ามาใกล้ และโอบล้อมรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนไว้อย่างแน่นหนา

นี่คือการล้อมสังหาร!

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในวงล้อมก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้เช่นกัน ดวงตาของเขาแดงเป็นสีเลือดอย่างสมบูรณ์แบบ ร่างของเขาสั่นสะท้าน ทว่ากลับไม่มีเวลาให้คิดมาก ต่อให้หนี แต่เจอคนล้อมเป็นวงเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางหนีไปได้โดยไม่โดนสกัดขวาง

วิธีเดียวที่มีอยู่…ก็คือ…สู้!!

อาศัยพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งจากการชุบหลอมกระดูกของตัวเองมาสู้กับคนมากมายเต็มฟากฟ้าเหล่านี้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก พอมือขวายกขึ้น ร่มราตรีนิรันดร์ก็มาปรากฏกลางมือของเขาแล้ว ร่มนี้เมื่ออยู่ภายใต้พลังของหน้ากาก ลักษณะจึงเปลี่ยนแปลงไปจนคนนอกมองไม่ออก

วินาทีที่หยิบร่มราตรีนิรันดร์ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กางร่มดังพรึ่บอย่างไร้ซึ่งความลังเล

แทบจะวินาทีเดียวกับที่กางร่มออก เวทคาถาผืนใหญ่ที่กรูกันเข้ามาก็กระแทกลงบนร่มอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็นมังกรตัวยาวที่อยู่ข้างใน หรือจะเป็นลมพายุงวงช้าง และยังมีกระบี่แสงก็ล้วนถูกร่มราตรีนิรันดร์สกัดกั้นเอาไว้จนหมด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตัวสั่นเยือก นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วก็ถือโอกาสลดตัวลงไปบนพื้น ไปหยุดอยู่ข้างกายพวกเสี่ยวหลางเสินสามคน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทิ่มร่มราตรีนิรันดร์ลงไปบนร่างของคนทั้งสามอย่างแรง

สามคนที่หมดสติไปก่อนหน้านี้กรีดร้องโหยหวนทันที มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของพวกเขาแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พลังชีวิตจำนวนมากถูกร่มราตรีนิรันดร์ดูดเอาไปแล้วผสานรวมเข้าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กระดูกหลอมรอบที่แปดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่หยุดนิ่งมานานได้ไต่ทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง

คนทั้งสามนอกจากเสี่ยวหลางเสินแล้ว ผู้ฝึกวิญญาณอีกสองคนต่างก็เพิ่งถูกดูดพลังชีวิตเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้แค่เคยได้ยินความอำมหิตของป๋ายฮ่าว ทว่าตอนนี้พอมาสัมผัสกับตัวเอง เสียงร้องของพวกเขาจึงฟังเจ็บปวดรวดร้าวมากเป็นพิเศษ

ส่วนเสี่ยวหลางเสินนั้นดีขึ้นมาหน่อย เขามีประสบการณ์มาแล้วหนึ่งครั้ง ตระกูลของเขาต้องใช้วิธีการไม่น้อยถึงทำให้พลังชีวิตของเขาฟื้นกลับคืนมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คราวนี้เมื่อโดนเป็นครั้งที่สอง แม้เขาจะบ้าคลั่ง แต่กลับพอทนได้อย่างกล้อมแกล้ม เพียงแต่ความขมขื่นและเสียใจนั้นกลับมากจนมิอาจบรรยาย

หยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมาต้านทานเวทคาถาของผู้คน ก่อนจะถือโอกาสดูดเอาพลังชีวิตของพวกเสี่ยวหลางเสินสามคน ทุกอย่างนี้ลื่นไหลดั่งวางแผนมาเป็นดิบดี ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุดชะงักแม้แต่เสี้ยวนาที พอดูดพลังชีวิตเสร็จ ร่างของเขาก็พุ่งพรวดออกไปอีกครั้ง

ชนาเขย่าภูเขาพลันระเบิดออก ทำให้ร่างของเขากลายมาเป็นภาพติดตาที่เรียงต่อกันเป็นทอดๆ เสียงอากาศระเบิดดังติดๆ กัน ร่างทั้งร่างชนโครมลงบนตัวของผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ผู้ฝึกวิญญาณก่อกำเนิดคนนั้นเลือดพุ่งออกมาเป็นสาย ร่างสั่นสะท้านราวตะแกรงร่อน หมายจะถอยหนี ทว่าวินาทีที่เขาก้าวถอยนั้น ผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกลับทำมุทราชี้ใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างคนไม่รู้จักที่ตาย ก่อนที่ไข่มุกสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งจะตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี การปรากฏตัวของไข่มุกเม็ดนี้ทำให้เขาหวาดหวั่นผิดปกติ รู้ได้เลยว่าไข่มุกเม็ดนี้ต้องไม่ธรรมดา มือซ้ายจึงทำมุทราชี้ไปที่ไข่มุกนั่นทันที พอชี้ไป วิชาการควบคุมของเขาแฝงเร้นอยู่ในการชี้นั้นด้วย จึงทำให้ไข่มุกที่แล่นฉิวเข้ามาด้วยท่าทางดุดันพลันชะงักกึก แล้วถูกม้วนตลบกลับไป

ผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถหน้าเปลี่ยนสี คิดจะถอยหนีแต่กลับสายไปเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไข่มุกนี้ก็กระแทกลงมาบนร่างของเขาอย่างจัง พริบตานั้นมันแตกละเอียดกลายมาเป็นควันพิษสีเขียวที่ร้ายแรงถึงตาย พิษนี้น่ากลัวอย่างมาก ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าล้วนพร่าเลือน นักพรตรวมโอสถคนนั้นร้องเสียงเศร้าสลดเกินจะเปรียบ ยืนหยัดอยู่ได้แค่สองชั่วลมหายใจ ตลอดทั้งร่างของเขาก็กลายมาเป็นเพียงกองเลือด…

ดับสลายทั้งกายและจิต!

ผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่โดยรอบพากันสูดลมหายใจดังเฮือก ภาพนี้ทำให้ดวงตาของเสี่ยวหลางเสินที่อยู่บนพื้นเปลี่ยนจากมืดมนมาเป็นทอประกาย!

“เริ่มฆ่าคนแล้วหรือ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สีหน้าไม่น่ามอง เขาไม่อยากฆ่าใคร ก่อนหน้านี้ที่ไฟสิบเจ็ดสีระเบิดก็เผาร่างคนตายไปแล้วหลายคน

ทว่าคราวนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายลงมือฆ่าคนก่อน แม้นหากสาวถึงแก่นแล้ว ความผิดไม่ได้อยู่ที่เขา แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจดีว่าตระกูลของอีกฝ่ายต้องไม่ฟังคำอธิบายของตนแน่นอน

เขาเข้าใจดีว่าเรื่องครั้งนี้มองดูคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งกาหลอมวิญญาณ แต่ในด้านแก่นแท้นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ในกาหลอมวิญญาณเขาสามารถหนีได้ มีหมอกควันให้อำพรางตัว อีกทั้งผู้อาวุโสของเหล่าผู้ฝึกวิญญาณก็เข้ามาไม่ได้

แต่ที่นี่คือนครจักรพรรดิขุย ทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม ไม่เพียงแต่เขาไม่มีที่ให้หนี ทั้งเกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ผู้อาวุโสของคนเหล่านี้คงปรากฏตัว

ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ส่งข้อความเสียงหาราชาผียักษ์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงข่มกลั้นไม่ลงมือฆ่าใคร

เพียงแต่ตอนนี้…ช่วยไม่ได้อีกแล้ว

“ฆ่าแล้วก็ฆ่า ใครจะทำอะไรข้าได้!!”

“พยัคฆ์ไม่สำแดงความน่ายำเกรง พวกเจ้าคงนึกสินะว่าข้าเป็นแมวน้อย แม้ข้าไม่อยากฆ่าคน แต่ทุกอย่างนี้เป็นเพราะพวกเจ้าบีบบังคับข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาดุดัน เผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณมากมายที่พังร้านตัวเอง ในที่สุดนัยน์ตาของเขาก็เผยไอสังหาร พริบตาเดียวก็ลงมืออย่างเหี้ยมหาญ ทุกที่ที่ผ่าน ร่างทั้งร่างเหมือนกลายมาเป็นเทพสงคราม กลายมาเป็นสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์ เปิดฉาก…สังหารโหด!

เสียงคำรามรอบด้านก็ยิ่งดังกระหึ่ม เวทคาถาหลายเส้นสายพุ่งเข้ามาโจมตี มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมออกไป เสียงอากาศระเบิดดังสะท้านนภา ก่อนที่ร่างของเขาจะมาปรากฏอยู่หน้าผู้ฝึกวิญญาณอีกคนหนึ่ง ร่มราตรีนิรันดร์พลันทิ่มแทงลงไป พลังวิญญาณของอีกฝ่ายถูกดูดเอามาจนเกลี้ยง!

ยังไม่หยุดยั้ง เมื่อขยับอีกครั้งก็ดูดพลังชีวิตของคนถัดมา

ผู้ฝึกวิญญาณหลายสิบคนที่อยู่รอบกายย่อมไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา มองไปไกลๆ แม้เวทคาถาจะเต็มท้องฟ้า ทว่าคาถาอาคมพวกนั้นกลับไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทัน ต่อให้มีบางส่วนใกล้จะกระแทกลงบนร่างของเขาจริงๆ ก็ล้วนถูกร่มราตรีนิรันดร์สกัดกั้นไว้หมด

ทุกที่ที่ผ่าน บุกราบเป็นหน้ากลอง!

แสงไฟสีเลือด สาดสะท้อนฟ้าดิน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version