Skip to content

A Will Eternal 776

บทที่ 776 เล่นงานเจ้าให้ตาย

ต้องรู้ว่าในราชวงศ์จักรพรรดิขุยนี้ จักรพรรดิขุยคือตำแหน่งเลื่อนลอย ต้าเทียนซือต่างหากที่กุมอำนาจค้ำฟ้า จี้ตัวโอรสสวรรค์ให้ออกคำสั่งต่อขุนนาง แต่อย่างไรซะสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ก็สูงส่ง ไม่ว่าภายในจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับภายนอกก็ยังมีผ้าคลุมบางๆ ชั้นหนึ่งปกปิดเอาไว้

แม้ราชวงศ์จะอ่อนแอ แต่ก็เป็นเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ในวันหน้ารุ่นใดรุ่นหนึ่งอาจทำให้อำนาจราชวงศ์กลับมาผงาดอีกครั้ง อีกทั้งต้าเทียนซือก็ไม่ได้ทำอย่างเทียนจุนของเกาะทงเทียนที่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ในสายตาของคนบางส่วน หากว่ากันตามเหตุตามผล ต้าเทียนซือก็ถือว่ามีเมตตาปราณีมากแล้ว

และคนมากกว่านั้นก็ยังเลือกจะเป็นเพียงผู้ชมในเรื่องนี้ พวกเขาไม่กล้าเข้าร่วม อีกทั้งยังวางท่าดั่งคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างต้าเทียนซือและจักรพรรดิขุยดำเนินอยู่อย่างนี้ต่อไปในราชสำนักขุย เพียงแต่เรื่องในวันหนึ่งปานประหนึ่งสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมา นำปัญหาระหว่างต้าเทียนซือและจักรพรรดิขุยมาตีแผ่ต่อหน้าชนชั้นสูงทุกคนให้เห็นกันจะๆ!

ทุกคนที่อยู่บนลานกว้างต่างก็ก่นด่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในใจ และคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยิ่งเดือดดาล รู้สึกเพียงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างชั่วร้าย เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ทว่าตอนนี้กลับถูกดึงให้มามีเอี่ยวด้วย บางคนยังถึงขั้นรู้สึกเสียใจที่มาร่วมงานในวันนี้

อย่าว่าแต่พวกเจ้าพระยาสวรรค์หรือพระยาสวรรค์พวกนี้เลย แม้แต่ตัวจักรพรรดิขุยเองก็ยังรับมือไม่ทัน เขาไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย และตอนนี้เขาก็เข้าใจได้แล้วว่า เรื่องในวันนี้…ถูกกำหนดมาแล้วว่าตนต้องเสียอำนาจในมือไป!

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ หัวใจเขาก็เต้นกระหน่ำเหมือนกัน กระนั้นกลับอับจนหนทาง องค์ชายรองหรือแม้แต่องค์ชายใหญ่ต่างก็ลงมือเล่นงานตนมาตั้งนานแล้ว หากไม่มีต้าเทียนซือ เกรงว่าตนอาจไม่ถึงศพไร้ที่ฝัง แต่ตอนนี้ก็ต้องฝังร่างอยู่ในแดนทุรกันดารแห่งนี้แล้วแน่นอน

“จักรพรรดิขุยเอ๋ย เรื่องนี้หากจะโทษใคร ก็โทษที่โอรสทั้งสองคนของเจ้าเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจแล้วว่าตนต้องกอดขาต้าเทียนซือเอาไว้ให้แน่น

ตลอดทั้งลานกว้างมีแต่ความเงียบงัน ไม่มีใครเอ่ยคำใด เจ้าพระยาสวรรค์ พระยาสวรรค์ทุกคนต่างก็ก้มหน้าลงต่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งพระราชวังเงียบกริบขนาดนี้ในพิธีเซ่นไหว้บรรพชน

และตรงข้ามกันก็คือเบื้องล่างวังหลวง เสียงไชโยโห่ร้องที่มาจากประชาชนทุกคนในนครจักรพรรดิขุยดังแว่วมาแต่ไกล สร้างความแตกต่างให้กับที่แห่งนี้อย่างเห็นได้ชัด

จักรพรรดิขุยเงียบงัน ต้าเทียนซือเองก็ไม่เอ่ยคำใด ทุกคนในตำหนักปิดปากเงียบ พวกองค์ชายรองที่จมอยู่ในความขมขื่นก็ก้มหน้าลงต่ำ ทว่าความเกลียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งเป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้กลับรุนแรงเกินบรรยาย ส่วนความกริ่งเกรงหวาดผวาที่มีต่อต้าเทียนซือก็ได้กลายมาเป็นความชิงชังเข้ากระดูกดำที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไปด้วย

ความเงียบที่น่าประหลาดนี้ดำเนินไปนานมาก และไม่นานในกลุ่มของพระยาสวรรค์ก็มีคนหนึ่งเดินออกมา พอคนผู้นี้เดินออกมาจากแถวก็หันไปประสานมือคารวะจักรพรรดิขุยและต้าเทียนซือ เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงตะโกนเสียงดัง

“ข้าผู้แซ่โจวเห็นชัดเจนแล้วว่าในมือของผู้ตรวจการป๋ายฮ่าว คือวิญญาณคนฟ้า!”

เมื่อมีคนแรกแสดงท่าที ไม่นานก็มีคนที่สอง คนที่สามตามมา พระยาสวรรค์หนึ่งร้อยกว่าคนที่อยู่ที่แห่งนี้ทยอยกันเดินออกจากแถวมาแสดงท่าที

“นั่นคือวิญญาณคนฟ้า!”

“ถูกต้อง เมื่อมองอย่างละเอียด นี่ก็คือวิญญาณคนฟ้า!” ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นคือวิญญาณคนฟ้า!

ในบรรดานี้มีคนที่ใจเอนเอียงเข้าหาต้าเทียนซือจริงๆ ทว่าก็มีบางคนที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร คำตอบของพวกเขาในเวลานี้ต่างก็รื่นไหล เด็ดขาด ไร้ซึ่งความลังเล!

เพียงแต่ว่าในบรรดานี้มีคนไม่น้อยที่ในใจสบถด่าป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ากลับชี้ไปที่วิญญาณสร้างฐานรากแล้วบอกว่านั่นคือวิญญาณคนฟ้าด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจังอย่างถึงที่สุด

อย่างพวกเก้าพระยาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ตอนนั้นเคยล้อมโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ทำเช่นนี้ โดยเฉพาะจ้าวสงหลินที่ก่นด่าอยู่ในใจไม่ขาดเสียง แต่ปากกลับเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน

“ข้าผู้แซ่จ้าวเองก็เห็นชัดเจนแล้ว นั่นคือวิญญาณคนฟ้าอย่างแท้จริง!”

พระยาสวรรค์ทุกคนที่เดินออกมาจากแถวล้วนทำให้พวกเชื้อพระวงศ์ในตำหนักใหญ่หน้าซีดขาว สีหน้าผู้เฒ่าเย็นชาสองคนเต็มไปด้วยความขมขื่น

ส่วนจักรพรรดิขุยกลับสงบนิ่งผิดปกติ เขานั่งอยู่ตรงนั้น สายตาไม่ได้มองไปยังพวกพระยาสวรรค์ที่อยู่บนลานกว้าง แต่จ้องนิ่งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ความเย็นชาในสีหน้าของเขาก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแต่ความลึกล้ำในดวงตาก็คล้ายกับว่าได้จดจำป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ขึ้นใจแล้ว

ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งใจหายใจคว่ำ

แต่พอคิดว่าตัวเองคือคนของต้าเทียนซือ ต่อให้จักรพรรดิขุยผู้นี้จะร้ายกาจแค่ไหนก็ทำอะไรตนไม่ได้ ดังนั้นความกล้าหาญจึงเพิ่มขึ้นมาอีกไม่นาน

“จักรพรรดิขุยจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว หัวของราชาผียักษ์ข้าผู้อาวุโสก็เคยตบมาแล้ว หัวของจักรพรรดิขุย…หากมีโอกาสก็ต้องลองตบดูสักที ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นจะเป็นเช่นไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ขณะที่เขากำลังปลุกเร้าความกล้าหาญให้กับตัวเอง พระยาสวรรค์ที่อยู่บนลานกว้างก็มีคนอีกไม่น้อยที่เปิดปากแสดงท่าที

ไม่นานพระยาสวรรค์หนึ่งร้อยกว่าคนก็พูดกันครบหมด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือวิญญาณคนฟ้า จากนั้นเจ้าพระยาสวรรค์สิบคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็พากันแสดงท่าทีอย่างไร้ซึ่งความลังเล

“วิญญาณคนฟ้า!”

“วิญญาณคนฟ้า!”

เจ้าพระยาสวรรค์สิบคนที่รวมถึงเฉินฮ่าวซงล้วนตอบเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ภาพนี้ทำให้เชื้อพระวงศ์ทุกคนที่อยู่ในตำหนักตัวสั่นเทิ้ม บางคนอาจตัวสั่นเพราะโมโห แต่หลายคนตัวสั่นเพราะตกใจกลัว! จนกระทั่งพวกสตรีธุลีแดงที่เป็นตัวแทนของสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างก็ยอมรับว่านี่คือวิญญาณคนฟ้า ตลอดทั้งลานกว้างก็เงียบสงัดลงอีกครั้ง

ทว่าความเงียบครั้งนี้กลับเป็นตัวแทนว่าอำนาจของต้าเทียนซือได้ทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง แถมระดับความแข็งแกร่งนั้นยังมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอย่างไรซะนี่ก็คือการปะทะกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรกระหว่างจักรพรรดิขุยและต้าเทียนซืออย่างแท้จริง!

แค่คำพูดประโยคเดียวของต้าเทียนซือก็ทำให้ทุกคนพากันก้มหัว อำนาจเช่นนี้นับว่าไร้คำบรรยายแล้ว และก็เป็นเหมือนอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเอาไว้

สิ่งที่ต้าเทียนซือต้องการไม่ใช่รับรู้ความคิดของคนทุกคน เขาแค่ต้องทำให้ทุกคนหวาดกลัว เท่านี้ก็พอแล้ว

ในตำหนักใหญ่ พวกองค์ชายใหญ่ องค์ชายรองต่างก็หน้าไร้สีเลือด ซีดขาวราวกระดาษ เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสกับความอัปยศอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสถึงความหวาดกลัว นั่นคือความหวาดกลัวที่มีต่อต้าเทียนซือ…

นั่นคือความหวาดผวาที่ไม่ว่าตัวเองจะมีการกระทำเช่นไรในทางลับ ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าอำนาจของต้าเทียนซือ ตนกลับอ่อนแอเปราะบางจนมิอาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้

มากไปกว่านั้นคือความเศร้าอาลัย…ที่เชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต้องมาตกต่ำอยู่ในยุคสมัยของพวกเขา…

สายตาของจักรพรรดิขุยหยุดนิ่งอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน ไม่มองใครที่อยู่รอบกาย ยิ่งไม่ได้หันไปมองต้าเทียนซือที่อยู่ข้างหลัง เพียงเดินเข้าไปในตำหนักหลัง ส่วนผู้เฒ่าเย็นชาสองคนนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งอยู่พักหนึ่งถึงเดินตามไป

พวกลูกหลานเชื้อพระวงศ์ก็รีบตามติดไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานคนทั้งกลุ่มก็หายไปจากตำหนักใหญ่แห่งนี้ ระหว่างนั้นไม่มีใครพูดคำใด ทว่าก่อนที่พวกเขาจะจากไป ทุกคนล้วนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำ

หลังจากที่พวกเชื้อพระวงศ์จากไปแล้ว ขุนนางทั้งกลุ่มที่อยู่บนลานกว้างจึงเงยหน้าขึ้นมองไปในตำหนักใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงต้าเทียนซือนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำเพียงลำพัง มองเห็นสายตาของต้าเทียนซือที่มีประกายดำมืดวาบผ่าน

ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ต้าเทียนซือจับตามองคนแทบทุกคนบนลานกว้างอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นพระยาสวรรค์หรือเจ้าพระยาสวรรค์

ภายใต้การแสดงละครฉากนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ และคลื่นทางความคิดของพวกเขาทุกคนล้วนฉายชัดอยู่ในดวงตาของต้าเทียนซือ

เขามิอาจพูดได้ว่าตัวเองมองออกทั้งหมด แต่ก็วิเคราะห์ได้ไม่น้อยแล้ว หลังจากประกายเย็นเยียบวาบผ่านลูกตาดำมืด เขาก็ลุกขึ้นยืน เมื่อเขาลุกขึ้น ทุกคนบนลานกว้างต่างก็ประสานมือคารวะ

“น้อมส่งต้าเทียนซือ จักรพรรดิขุย!”

“แยกย้ายกันไปเถอะ ป๋ายฮ่าว ตามข้ามา” ต้าเทียนซือมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาชื่นชม พอเอ่ยประโยคนี้จบก็เดินเข้าไปทางด้านหลัง

“แยกย้ายกันได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นแววชื่นชมจากดวงตาของต้าเทียนซือ ปากก็ตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันใจก็คลายลงได้ และความตื่นเต้นก็ค่อยๆ บังเกิดขึ้น เขารู้สึกว่าวันนี้ตนก่อเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ!

โดยเฉพาะเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีเขาเป็นผู้ดำเนินการหลัก ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสะใจอย่างยิ่ง แม้จะยังหวาดหวั่นอยู่บ้าง

แต่พอนึกได้ว่ามีต้าเทียนซือคอยหนุนหลังให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด

“ครั้งนี้ข้าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าต้าเทียนซือจะให้รางวัลข้าอย่างไร” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย เดินเร็วๆ อยู่ไม่กี่ก้าวก็ตามไปทันฝีเท้าของต้าเทียนซือ ขณะที่กำลังฮึกเหิมพลันรู้สึกได้ว่าบนร่างของตัวเองเหมือนจะมีสายตามากมายมารวมกัน เขาจึงหันขวับกลับไปมอง แล้วก็เห็นทันใดว่าสายตาที่พวกพระยาสวรรค์และเจ้าพระยาสวรรค์บนลานกว้างมองมายังตนเหมือนจะเป็นสายตาเวลาที่ใช้มองคางคกขึ้นวอ

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด

ยิ่งจ้าวสงหลินผู้นั้นที่เดิมทีร่างเขาก็ใหญ่โตล่ำสันอยู่แล้ว พอถลึงตาดวงตาก็ยิ่งขึงกว้างดุดัน สายตานั้นราวกับว่าหากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะฉีกร่างป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเป็น

“กล้าถลึงตาใส่ข้ารึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด

“ในเมื่อทุกคนต่างก็บอกว่าวิญญาณที่ข้าได้มาคือวิญญาณคนฟ้า ข้าไม่ได้มองผิด วันนี้ข้าก็ช่างโชคดียิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็โยนวิญญาณสร้างฐานรากในมือไปให้กับจ้าวสงหลินที่กำลังถลึงตามองเขา

“พระยาสวรรค์จ้าว ต้าเทียนซือเรียกพบข้า วิญญาณคนฟ้านี่ก็ขอฝากไว้ที่เจ้าแล้วกัน เจ้าช่วยเก็บไว้ให้ข้าก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเอาที่บ้านของเจ้า อย่าทำหายเสียล่ะ นี่น่ะวิญญาณคนฟ้าเชียวนะ!”

พอโยนวิญญาณสร้างฐานรากไปให้อีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สนว่าจ้าวสงหลินจะรับไว้ได้หรือไม่ เพียงกระโดดตัวบินตามต้าเทียนซือไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version