Skip to content

A Will Eternal 81

บทที่ 81 วิชาพลังจิตโบราณ

จางต้าพั่งเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเช่นนี้เขาก็รู้สึกว่าฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นจึงรีบพยักหน้า

“ใช่ๆ อาจารย์ก็เคยพูดว่าไม่ให้ข้ามองดูความล้มเหลวหรือความสำเร็จ ศิษย์น้องเก้า เจ้ารีบกลับเข้าไปลองพลังจิตในห้องเถอะ” จางต้าพั่งไอแห้งๆ หนึ่งที แสร้งรีบพูดอย่างเยือกเย็น

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันหลังเดินเร็วๆ สองสามก้าว พอกลับเข้ามาอยู่ในห้องเขาก็มองไปยังกระบี่ในมือหนึ่งครั้ง หัวคิ้วขมวดมุ่น กังวลว่าจะทำให้จางต้าพั่งเสียใจจึงไม่ได้บุ่มบ่ามทดลอง แต่ทำมุทราชี้ไป ทันใดนั้นหม้อลายกระดองเต่าก็ปรากฏ

‘เฮ้อ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่ถูกบีบคั้นกดดันอยู่ตลอดเวลา วันนี้กว่าจะมีความมั่นใจกลับคืนมาไม่ใช่เรื่องง่าย จะให้เขาจากไปพร้อมความผิดหวังไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะทำให้กระบี่บินหลอมพลังจิตได้สำเร็จหรือไม่’ ท่ามกลางความลังเล ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาไฟหนึ่งสีออกมา โยนกระบี่บินสีเงินที่ยังไม่ได้ทดลองพลังจิตลงไปในหม้อ

แสงสีเงินเดิมทีก็บาดตามากอยู่แล้ว เวลานี้หลังจากเปล่งวาบขึ้นมาอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงค่อยเก็บหม้อกระดองเต่ากลับเข้าไปแล้วหยิบกระบี่บินสีเงินขึ้นมา ขณะที่กัดฟัน พลังวิญญาณในร่างกายส่งเสียงดังตูมตาม พริบตาเดียวก็หลอมรวมเข้าไปในกระบี่อย่างไร้ซึ่งการยับยั้งใดๆ วินาทีนั้นแสงสีเงินหดตัวลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นเส้นสีเงินหนึ่งเส้นบนกระบี่บิน

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงระคนดีใจ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจางต้าพั่งทำสำเร็จอยู่ก่อนแล้ว หรือเพราะการช่วยเสริมของตัวเองในภายหลัง รีบผลักประตูเดินออกไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ สำเร็จแล้วๆ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านร้ายกาจมากเลย!”

ในลานบ้าน จางต้าพั่งกำลังพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะออกมาดีหรือเลว ในใจตื่นเต้นสุดกำลัง แม้แต่ผิวหน้าก็ยังแข็งค้าง พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน พอเห็นลายเส้นสีเงินบนกระบี่บินที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ตบขาตัวเองดังป้าบ เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง

“เป็นยังไงล่ะ เป็นยังไงล่ะ!”

“ข้าบอกแล้วไงว่าก่อนหน้านี้ควบคุมพลังได้ไม่ดีพอ ตอนอยู่เขาจื่อติ่งข้าหลอมอาวุธสำเร็จถึงสามชิ้น แม้แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่าข้ามีพรสวรรค์มาก ศิษย์น้องเก้า คราวนี้สำเร็จแล้วเห็นไหม!” จางต้าพั่งตื่นเต้น รับเอากระบี่บินที่ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งมา มองดูด้วยรอยยิ้มพร่างพราย

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ด้านข้างนัยน์ตาเผยแววเลื่อมใส จางต้าพั่งเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งฮึกเหิม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สะบัดแขนหนึ่งที

“มา วันนี้ศิษย์พี่อารมณ์ดี จะหลอมให้เจ้าอีกหนึ่งครั้ง ให้กระบี่เล่มนี้ผ่านการหลอมพลังจิตสองครั้ง!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าว่าเอาไว้คราวหน้าดีไหม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบรู้สึกว่าทำแบบนี้ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เขาจำได้รางๆ ว่าเหมือนทางสำนักจะมีข้อห้ามมากมายต่อการหลอมพลังจิต

“ไม่เป็นไร!” จางต้าพั่งไม่ยอมพูดมากความ หยิบเอากระบี่บินมาอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า เริ่มหลอมพลังจิตด้วยพลังทั้งหมด

การหลอมพลังจิตครั้งที่สองเห็นได้ชัดว่าลำบากกว่าก่อนหน้านี้อยู่มาก แร่ธาตุเหล่านั้นของจางต้าพั่งแทบจะถูกเอามาใช้จนหมด ร่างสั่นไปตลอดทั้งตัว ทั้งยังต้องกลืนยาลงไปจำนวนไม่น้อยถึงได้ฝืนดึงเอาพลังฟ้าดินมาหลอมรวมเข้ากับตัวกระบี่ได้ จนกระทั่งกระบี่เล่มนี้มีแสงสีเงินเปล่งประกาย จางต้าพั่งหมดแรงนั่งกองลงกับพื้นหอบหายใจ

แต่นัยน์ตาของเขากลับแฝงไปด้วยความฮึกเหิม ส่งกระบี่ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

“ลองดูอีกครั้ง”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าทันที พอรับกระบี่มาแล้วยังไม่ทันได้ทดลองพลัง จางต้าพั่งก็คว้าหมับเข้าที่มือเขา กำชับด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“อย่าทดลองที่นี่ ข้าจะบอกเจ้าให้นะศิษย์น้องเก้า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทดลองพลังจิตก็คือความรู้สึก เวลาที่รู้สึกดีก็เหมือนมีเทพเจ้าคอยช่วย ในเมื่อเจ้าไปทดลองอยู่ในห้องแล้วสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปลองในห้องเถอะ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าท่าทางจางต้าพั่งจะเข้าใจการหลอมพลังจิตดีมาก ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง วิ่งกลับเข้าไปในห้องแล้วครุ่นคิด

‘ไม่แน่ว่าการหลอมพลังจิตของศิษย์พี่ใหญ่อาจจะร้ายกาจมากจริงๆ ก็ได้ เมื่อครู่ต่อให้ข้าไม่ใช้หม้อกระดองเต่าก็ต้องสำเร็จ’ เขาคิดมาถึงตรงนี้ก็มองไปยังกระบี่บินในมือครั้งหนึ่ง ตัดสินใจไม่ใช้หม้อกระดองเต่า เคลื่อนพลังวิญญาณในร่างออกมาหลอมรวมเข้ากับตัวกระบี่

พริบตาเดียวแสงสีเงินเปล่งวาบ แต่กลับดับแสงลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงคึ่กๆ ดังขึ้น บนกระบี่ก็ปรากฏรอยแตกร้าวเป็นเส้นๆ กลายเป็นของไร้ค่าไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเสียทันควัน ขณะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้นด้านนอกก็มีเสียงตื่นเต้นแฝงไว้ด้วยความกังวลของจางต้าพั่งดังลอยมา

“ศิษย์น้องเก้า เมื่อครู่เหมือนว่าข้ามองเห็นแสงสีเงินแล้ว เป็นยังไงบ้าง สำเร็จหรือไม่?”

“คือว่า…ข้ายังไม่ได้ทดลอง ข้าจะลองเดี๋ยวนี้แหละ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ยปาก เริ่มร้อนรนขึ้นมา

ในลานบ้าน จางต้าพั่งเงียบงัน ใบหน้าเผยความขมขื่น เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ทำไมจะฟังไม่ออก อีกอย่างเมื่อครู่หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าห้องไปแล้ว เขาก็ยังเห็นรางๆ ว่ามีแสงสีเงินเปล่งวาบตรงตำแหน่งหน้าต่าง

จางต้าพั่งถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง เขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากให้ตนต้องผิดหวัง เวลานี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยปากไปทางบ้านไม้

“ศิษย์น้องเก้า ศิษย์พี่รู้ว่าเจ้าลองแล้ว ไม่เป็นไร ข้า…ข้ากลับก่อนล่ะ” ตอนที่มาจางต้าพั่งเต็มไปด้วยความฮึกเหิม เวลานี้ถูกความจริงโจมตีจึงหดหู่สิ้นหวังอย่างอดไม่อยู่

เขารู้ว่าตัวเองหุนหันมากเกินไป ตามที่อาจารย์ของเขากล่าวไว้ การหลอมพลังจิตเป็นวิชาที่ลึกลับและมหัศจรรย์มากวิชาหนึ่ง คาถาอาคมเช่นนี้ไม่มีใครที่ทำสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ตลอดทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้ดันมีปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมากอย่างหนึ่งอยู่ คือดูเหมือนว่า…ผู้ที่ทำสำเร็จได้หลายครั้ง ก็จะยิ่งสำเร็จมากขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนคนที่ล้มเหลวบ่อย ก็ยิ่งไม่สามารถประสบความสำเร็จได้

พูดแล้วก็แปลก แต่ความเป็นจริงพลังจิตคือตัวตัดสิน นั่นเป็นความรู้สึกที่ลึกลับและมหัศจรรย์มาก เหมือนว่ายิ่งมั่นใจเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จก็ยิ่งมาก

ดังนั้นในโลกของการหลอมพลังจิตจึงมีวิธีการฝึกฝนอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือแบบดั้งเดิม เน้นย้ำว่าอาจารย์หลอมพลังจิตรับผิดชอบแค่การหลอมพลังจิต จะไม่ทดลองด้วยตัวเองเด็ดขาด อีกทั้งเมื่อส่งมอบสิ่งของให้กับผู้ว่าจ้างแล้ว จะตั้งเงื่อนไขไม่ให้ผู้ว่าจ้างทดลองพลังจิตต่อหน้าอาจารย์ผู้หลอม

ไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวก็ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของอาจารย์หลอมพลังจิตแม้แต่นิดเดียว หลังจากส่งมอบสิ่งของให้ผู้ว่าจ้างแล้ว อาจารย์หลอมพลังจิตจะลืมเรื่องนี้ไปโดยพลัน เพื่อรักษาความนิ่งสงบไว้

แต่ยังมีวิธีการบำเพ็ญตบะที่สุดโต่งอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่าวิชาพลังจิตโบราณ เน้นในเรื่องพลังจิตที่ลึกลับซับซ้อน ซึ่งก็คือต้องมองเห็นกับตาตัวเองว่าสำเร็จหรือไม่ ยิ่งทำสำเร็จ การหลอมพลังจิตของตัวเองก็ยิ่งน่าตะลึง เพียงแต่ว่ามันสุดโต่งเกินไปหน่อย หากเจอกับอุปสรรคมากเกินไป ผลกระทบจะสูงมากถึงขั้นสามารถทำลายพรสวรรค์ ทำให้ไม่กล้าแตะต้องการหลอมพลังจิตอีกเลยตลอดชีวิต

แม้จะเป็นเช่นนี้แต่กลับมีคนไม่น้อยเสาะแสวงหาและชื่นชมวิธีนี้ แม้แต่อาจารย์ของจางต้าพั่งอย่างสวีเหม่ยเซียงก็ยังยอมรับ หากมีคนฝึกวิชาหลอมพลังจิตที่สุดโต่งประเภทนั้น และสามารถสยบฟ้าดินทำสำเร็จติดต่อกันได้จำนวนหนึ่ง เช่นนั้นพลังจิตของคนผู้นี้ก็จะทำให้เขามั่นใจในตัวเองจนถึงขีดสุด สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินในด้านการหลอมพลังจิตได้เลยทีเดียว

กระบี่เขาสวรรค์อันเป็นสมบัติสยบสำนักของสำนักธาราเทพเล่มนั้น ถูกหลอมพลังจิตสิบครั้งโดยอาจารย์หลอมพลังจิตผู้บ้าคลั่งคนหนึ่งเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน

จางต้าพั่งขมขื่น เข้าใจดีว่าเขาจื่อติ่งของพวกเขาฝึกวิชาดั้งเดิม และก็เพราะตัวเองบุ่มบ่ามมากเกินไปถึงได้ทำพลาดเช่นนี้ จิตใจที่ไม่สงบสุขไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกลับมาดีได้เช่นเดิม

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแผ่นหลังสิ้นหวังนี้ของจางต้าพั่งเข้าก็กัดฟัน เขาไม่อยากให้จางต้าพั่งผิดหวัง จึงรีบหยิบกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งที่เหมือนกันออกมาจากในถุงเก็บของ หยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมา รีบหลอมพลังจิตสองครั้งอย่างว่องไว

จางต้าพั่งยิ้มขื่น ผลักประตูของลานบ้านกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นเบื้องหลังของเขาก็มีเสียงตกตะลึงระคนดีใจของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอยมา

“ศิษย์พี่ใหญ่ สำเร็จแล้ว!!” ประตูบ้านไม้ถูกผลักออก ป๋ายเสี่ยวฉุนถือกระบี่บินที่มีเส้นสีเงินสองเส้นพุ่งออกมาด้วยสีหน้ายินดีอย่างบ้าคลั่ง

“จริงเหรอ?” ร่างของจางต้าพั่งสั่นสะท้าน หันตัวกลับไปทันใด พอเห็นกระบี่บินก็รีบคว้ามาถือไว้ในมือ ร่างกายค่อยๆ สั่นไหว รู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววตื่นเต้น

“ฮ่าๆ ข้าจางต้าพั่งเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจด้านการหลอมพลังจิตจริงๆ ด้วย ถึงได้ทำสำเร็จสองครั้ง หลอมพลังจิตสองครั้ง ข้าทำสำเร็จทั้งหมด!!”

จางต้าพั่งกอดป๋ายเสี่ยวฉุนหมับ น้ำตาแทบจะร่วงลงมาท่ามกลางความยินดีอย่างบ้าคลั่ง คุณสมบัติในการบำเพ็ญเพียรของเขานั้นธรรมดา หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษและอาจารย์มองการณ์ไกลก็คงไม่ได้เข้ามาอยู่ในสำนักธาราเทพ

ตอนอยู่ที่ฝ่ายครัวไฟ มีของวิเศษล้ำค่าพวกนั้นเขาถึงฝึกตบะได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณที่สาม หลังจากเข้ามาอยู่ฝ่ายนอกก็ไม่มีของวิเศษพวกนั้นอีก การฝึกบำเพ็ญตบะของเขาจึงยิ่งยากลำบาก มองเห็นว่าเฮยซานพั่งล้ำหน้าตัวเอง เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนล้ำหน้าตัวเอง แม้ว่าเขาจะยินดีด้วยแต่ในใจก็หดหู่ไม่น้อย

ตอนนี้รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิต ความปิติยินดีของเขายากที่ใครจะนึกภาพได้ เขารู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์แล้ว ท่ามกลางความตื้นตันเขาเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าเสียงดัง ความมั่นใจดุเดือดระลอกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วกาย คล้ายว่ามีพลังแปลกประหลาดบางอย่างรวมตัวกันอย่างเลือนราง…พลังวิเศษแต่ละเส้นเหล่านี้ก็คือพลังจิต

เส้นทางของการหลอมพลังจิตแบบสุดโต่ง ยิ่งสำเร็จ ยิ่งมั่นใจ พลังจิตยิ่งแข็งแกร่ง ความสำเร็จก็ยิ่งมีมาก!

บางทีอาจไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง แต่ขอแค่มั่นใจว่าตัวเองทำได้ ความสำเร็จแต่ละครั้งแบบขั้นบันได ก็ทำให้พลังจิตที่ลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน

จางต้าพั่งกลับไปแล้ว เดินจากไปไกลพร้อมกับความฮึกเหิมและความภาคภูมิใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนส่งจางต้าพั่งอยู่ในลานบ้าน เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิดหรือถูก ทว่าเมื่อเห็นท่าทางดีใจของจางต้าพั่ง เขารู้สึกว่าตัวเองทำถูกแล้ว

หลังจากจางต้าพั่งกลับไปได้หลายวัน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้รู้สาเหตุที่เขาเซียงอวิ๋นมีคนน้อยจากปากของสวีเป่าไฉ เพราะว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังรวมลมปราณขั้นหกขึ้นไปแทบจะทุกคนล้วนเริ่มปิดด่าน พยายามฝ่าทะลุขั้นที่แปดไปให้ได้ คาดหวังว่าจะได้เข้าร่วมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในสำนักซึ่งสามสิบปีจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง!

การต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกของชายฝั่งเหนือใต้จะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นที่จับตามองของทั้งสำนักธาราเทพ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรและสำนักเล็กๆ ทั้งหมดที่อยู่ในเขตเกาะตงหลินล้วนให้ความสำคัญกับการต่อสู้ครั้งนี้อย่างยิ่ง

การสู้รบครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายนอกรุ่นปัจจุบันของชายฝั่งเหนือใต้ ผู้ที่ถูกคัดเลือกติดสิบอันดับแรกจะกลายเป็นมังกรชายหงส์สาว ใช้สถานะนี้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน ไม่ว่าจะเป็นระดับของชื่อเสียงหรือการให้ความสำคัญจากสำนัก ล้วนแตกต่างไปจากลูกศิษย์ที่เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายในในเวลาอื่นอย่างสิ้นเชิง

สิบอันดับแรกจากการต่อสู้ซึ่งสามสิบปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้งนี้ ในแต่ละยุคแต่ละสมัยจะสามารถดำรงความรุ่งโรจน์อยู่ได้ต่อไป กลายเป็นบุคคลผู้ปรีชาสามารถของสำนัก ชื่อเสียงสั่นสะเทือนแปดทิศ ต่อให้เป็นสำนักใหญ่อื่นๆ ที่เทียบเคียงกับสำนักธาราเทพได้ก็ยังให้ความสนใจ

ขณะเดียวกันผู้ใดก็ตามที่ได้อยู่ในสิบอันดับแรก สำนักก็จะมอบรางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจให้ โดยเฉพาะอันดับที่หนึ่ง ว่ากันว่าแค่คะแนนคุณความดีอย่างเดียวก็สูงหลายแสน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของวิเศษอื่นๆ ถึงขั้นที่ว่ายังได้รับโอกาสให้เข้าไปยังเขตลึกลับของสำนักได้หนึ่งครั้งด้วย

ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นไหวไม่หยุด

และสำหรับการคัดเลือกลำดับผู้สืบทอดในตำนานที่ลึกลับเกินคาดเดานั้น ต้องมีคุณสมบัติที่จำเป็น และการได้เป็นศิษย์ฝ่ายในจากการติดสิบอันดับแรกในศึกครั้งนี้ก็เป็นแรงผลักดันที่สำคัญเช่นกัน

ก่อนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจะเกิดขึ้นก็คือการต่อสู้ของผู้มีคุณสมบัติ ชายฝั่งเหนือใต้ต่างแยกจัดการกันเอง เลือกลูกศิษย์ฝ่ายนอกสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละชายฝั่งมาเป็นตัวแทนเข้าร่วมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ

และครั้งนี้ข้อจำกัดของตบะถูกกำหนดไว้ที่การรวมลมปราณขั้นแปด ขอแค่มีตบะถึงรวมลมปราณขั้นแปดก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น คิดจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในมีเงื่อนไขอยู่สองประการ หนึ่งคือพลังรวมลมปราณขั้นแปด อีกหนึ่งคือผ่านการทดสอบ การทดสอบเลื่อนขั้นในวันปกติมีวิธีมากมายหลากหลาย มีเพียงศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่สามสิบปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้งเท่านั้นที่ใช้สงครามคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติมาเป็นการทดสอบ

และการทดสอบประเภทนี้ก็ถูกลูกศิษย์ในสำนักเรียกว่าเป็นการทดสอบที่ยากที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดด้วย!

ดังนั้นที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยยังไม่ได้เลื่อนขั้น ความจริงก็เพราะรอเวลาของสงครามคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติ ติดอันดับห้าสิบคนแรกของสงครามคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน ติดสิบอันดับแรกก็จะได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งเหนือใต้สำนักธาราเทพ

พวกซ่างกวานเทียนโย่ว หลู่เทียนเหล่ย โจวซินฉี และคนอื่นๆ ล้วนมีความคิดเช่นนี้ ติดสิบอันดับแรกของชายฝั่งทิศใต้ สู้รบกับตัวแทนของชายฝั่งทิศเหนือ สุดท้ายได้ใช้สถานะสิบอันดับแรกของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจชายฝั่งเหนือใต้มาเลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน เป้าหมายก็เพื่อให้มีโอกาสได้เหยียบย่างเข้าสู่อันดับผู้สืบทอดของสำนักธาราเทพในไม่กี่ปีข้างหน้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือก

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version