Skip to content

A Will Eternal 83

บทที่ 83 เชิญผู้เฒ่าโจวแสดงฝีมือ

ไม่เพียงแต่เจิ้งหย่วนตงที่สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะยังไงซะตอนที่ทุกคนล้วนฮือฮากันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนวางท่าเป็นผู้อาวุโสอยู่ด้านข้างรูปปั้น ท่วงท่าตลอดร่างแตกต่างออกไปจากทุกคน จึงดูเด่นชัดเป็นพิเศษ

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เด็กคนนี้ก็มีพลังรวมลมปราณถึงขั้นแปดแล้ว ทั้งยังเคยเอาชีวิตรอดจากการสู้รบกับตระกูลลั่วเฉิน ข้าว่าวันนี้เด็กคนนี้ต้องติดสิบคนแรกแน่นอน หรืออาจถึงขั้นช่วงชิงห้าอันดับแรกมาได้ด้วย” บนแท่นสูงมีผู้อาวุโสเอ่ยปากด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“ถูกต้อง เด็กคนนี้ความรู้ด้านพืชหญ้าไม่ธรรมดา วิชาการฝึกร่างกายก็ยิ่งน่าตกตะลึง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นม้ามืดของศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้ก็เป็นได้”

ได้ยินคำพูดของทุกคน หลี่ชิงโหวและเจิ้งหย่วนตงล้วนรู้สึกได้หน้าขึ้นมา ทั้งสองคนล้วนหัวเราะฮ่าๆ

“เด็กคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ความยึดมั่นที่แข็งแกร่งของเขาไกลเกินกว่าคนวัยเดียวกันจะเทียบเคียงได้ ปีนั้นที่ข้าพาเขาขึ้นเขามาก็เคยถามเขาว่าทำไมถึงอยากบำเพ็ญเพียร เขาบอกข้าว่า เขาอยากเป็นอมตะ” หลี่ชิงโหวพูดด้วยรอยยิ้ม ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยความอ่อนโยน เขาได้แลกอาวุธป้องกันตัวเพื่อนำมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไว้แล้ว กะว่าเมื่อศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติสิ้นสุดลงจะมอบให้เขา

“ทุกคนอย่าเพิ่งชมเขาดีกว่า เด็กคนนี้แม้ว่าจะเป็นศิษย์น้องของข้า แต่ชิงโหวรู้จักเขาดี เด็กคนนี้นิสัยเกเร ยังต้องขัดเกลากันอีกมาก แต่สันดานเดิมนั้นเป็นคนจิตใจดีงาม ไม่ชอบโอ้อวดตน ซึ่งก็น่าชมเชยไม่น้อย” เจ้าสำนักเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม แม้จะพูดเช่นนี้แต่ทุกคนก็มองออกถึงความคาดหวังของเจิ้งหย่วนตง

ขณะที่ทุกคนบนแท่นสูงกำลังพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ด้านข้างรูปปั้นรูปหนึ่งบนลานกว้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังหลู่เทียนเหล่ยผู้โอหังเกินจะเปรียบ และก็มองไปยังซ่างกวานเทียนโย่วที่ดึงดูดเสียงฮือฮาของคนนับไม่ถ้วนอีกหนึ่งที ในใจเขาก็ให้ตื่นตะลึง

สายฟ้าตลอดทั้งร่างของหลู่เทียนเหล่ยทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่หนังหัวชาหนึบ นึกถึงภาพเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ถูกฟ้าผ่า ส่วนวาสนาบารมีและความไม่ธรรมดาของกระบี่โบราณเล่มนั้น และยังพลังอำนาจตลอดร่างที่คล้ายจะสะเทือนฟ้าสะท้านดินได้ของซ่างกวานเทียนโย่ว ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือก

เขารู้สึกว่าสองคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ

แต่พอนึกถึงฐานะของตัวเองป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบไอแห้งๆ หนึ่งที อมยิ้มพยักหน้าอีกครั้ง วางท่าชื่นชมออกมาทางสายตา

‘ยิ่งมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจมาก นั่นหมายความว่าสำนักธาราเทพของข้ายิ่งแข็งแกร่ง ข้าเป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นศิษย์น้องท่านเจ้าสำนัก จะลดตัวไปแข่งขันกับเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาคืออนาคตของสำนัก ข้าจะไปกลั่นแกล้งพวกเขาไม่ได้ อืม ถ้าคิดจะแข่งกันก็ต้องรอให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ล้วนเข้าไปอยู่ฝ่ายในให้หมดก่อน!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้แน่วแน่ก็เผยท่าทางปลื้มใจออกมา

ไม่นานก็ค่อยๆ มีคนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกผู้มีพลังรวมลมปราณขั้นแปดทุกคนล้วนพากันมาเข้าร่วมอย่างกระปรี้กระเปร่า และยังมีบางส่วนที่ถึงแม้ว่าตบะจะยังไม่ถึง แต่เรื่องใหญ่อย่างศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ย่อมต้องมาสังเกตการณ์

ตลอดทั้งสามเขาของชายฝั่งทิศใต้ ลูกศิษย์ที่มีพลังรวมลมปราณขั้นแปดมีมากเป็นพันๆ คน เวลานี้ล้วนมารวมตัวกันอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ มีคนไม่น้อยที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน เพราะยังไงซะก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบความคึกคัก ส่วนใหญ่จะชื่นชอบความสันโดษ บำเพ็ญตบะเพียงลำพังมากกว่า ไม่มีความคิดที่จะยืมเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้มาสร้างความตกตะลึง

และรอบด้านยังมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนมากยิ่งกว่า ตบะของพวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติได้ เวลานี้จึงทำได้เพียงแค่มองดู แต่ละคนมองไปยังลูกศิษย์รวมลมปราณขั้นแปดนับพันคนด้วยสีหน้าคาดหวัง ในใจของแต่ละคนล้วนกำลังรอคอยว่าศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สุดท้ายแล้วจะมีใครบ้างที่ได้ติดอันดับหนึ่งร้อยคนแรก และมีใครบ้างที่ติดอันดับสิบคนแรก

ส่วนสามคนแรกนั้น ในความคิดของทุกคนไม่มีสิ่งใดให้ต้องสงสัยอีก ย่อมต้องเป็นซ่างกวานเทียนโย่ว หลู่เทียนเหล่ย และโจวซินฉีอย่างแน่นอน อีกทั้งการเรียงลำดับก็ต้องเป็นไปตามนี้ด้วย

ไม่นาน หลังจากลูกศิษย์รวมลมปราณขั้นแปดนับพันคนค่อยๆ เงียบเสียงลง ลูกศิษย์ที่มารอดูอยู่รอบด้านจึงเงียบเสียงลงเช่นเดียวกัน บรรยากาศกดดันระลอกหนึ่งค่อยๆ แผ่คลุมไปทั่ว นั่นจึงทำให้ความเย็นยะเยือกยิ่งเข้มข้น

ราวกับว่าได้กดทับจนทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก ในใจเริ่มตึงเครียด

ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบอย่างแปลกใจว่าตัวเองก็ตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ เหมือนกัน เขารู้สึกประหลาดใจ บอกกับตัวเองว่าไม่ได้คิดจะแข่งกับใครเขาสักหน่อย เขามองไปรอบด้าน ขยับกายให้ร่างผ่อนคลายลงมา

และในเวลานี้เอง เสียงของหลี่ชิงโหวที่อยู่บนแท่นสูงพลันดังออกมา สะท้อนไปทั่วแปดทิศ

“ชายฝั่งเหนือใต้ การประลองใหญ่ใกล้จะมาถึง!”

“ในกลุ่มพวกเจ้า บางคนรักความสันโดษ ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความสามารถที่แท้จริง ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ก็คือโอกาสที่ให้เจ้าได้เปิดเผยตัวตน ไม่ต้องกังวลใจว่าการที่ตบะเพิ่มขึ้นสูงเร็วเกินไป หรือมีความพิเศษบางอย่างจะทำให้ผู้อาวุโสแห่งสำนักเกิดความระแวงสงสัย การบำเพ็ญตบะเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทุกคนล้วนมีความลับ ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาสำนักธาราเทพของเราพัฒนาจากสำนักเล็กๆ มาจนถึงทุกวันนี้ได้หาใช่เพราะโชคช่วย ลูกศิษย์ทุกคนล้วนมีการสรรค์สร้างของใครของมัน เจ้าสามารถทำได้ นั่นก็เพราะชีวิตเจ้าได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว!”

“ในกลุ่มพวกเจ้ายังมีคนบางส่วนที่ถูกเรียกว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ แต่นั่นอาศัยแค่พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผู้ที่มีพรสวรรค์มากมายแต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ก็มีให้เห็นกันทั่ว ถ้าเช่นนั้นวันนี้ก็จงพิสูจน์ตัวเอง ว่าพวกเจ้าเป็นอย่างที่คนอื่นพูดถึงหรือไม่ เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ…อย่างสมชื่อหรือไม่!” น้ำเสียงของหลี่ชิงโหวทุ้มต่ำ และยิ่งกระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม ดั่งต้องการปลุกระดมความรู้สึกร่วมของคนรอบด้าน ทำให้ลมหายใจของทุกคนที่อยู่ในหุบเขาถี่กระชั้นขึ้น

โดยเฉพาะพวกคนที่มีความลับอยู่กับตัว นัยน์ตาแต่ละคนก็ล้วนเปล่งประกาย

แม้แต่พวกหลู่เทียนเหล่ยเองก็ยังพากันเงยหน้าขึ้น สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความพรั่งพร้อมในการสู้รบ

“ศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้ หนึ่งร้อยคนแรกได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน สิบคนแรกจะได้เป็นตัวแทนชายฝั่งทิศใต้เข้าร่วมการประลองใหญ่ นี่คือศึกใหญ่ที่สามสิบปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง และก็เป็นโอกาสหนึ่งครั้งในรอบสามสิบปีที่จะทำให้สหายร่วมสำนักแห่งชายฝั่งทิศเหนือจดจำพวกเจ้า!” หลี่ชิงโหวสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ฟ้าดินเกิดเสียงดังครืนครัน ภูเขาทั้งสามของชายฝั่งทิศใต้ในยามนี้ล้วนระเบิดเสาลำแสงหนึ่งต้นพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า

สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ท้องฟ้าพลิกตลบ ราวกับมีมือคู่ใหญ่ที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งฉีกกระชากความว่างเปล่า ทำให้ปากทางเข้าหุบเขาที่อยู่ด้านข้างปรากฎสะพานแห่งหนึ่ง!

สะพานนี้เก่าแก่เรียบง่ายคล้ายผ่านเวลามาเนิ่นนานสุดจะนับ ก้อนหินที่ประกอบกันเป็นสะพานแห่งนี้ ด้านบนของแต่ละก้อนล้วนมีอักษรโบราณเปล่งแสงวิบวับ

สะพานแห่งนี้กว้างพอร้อยจั้ง ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นได้ในปราดเดียว อยู่ๆ ก็ปรากฏพรวดออกมาดั่งว่าได้ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน และหุบเขาแห่งนี้ที่เดิมทียิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เมื่อมาเทียบกับสะพานแห่งนี้แล้วกลับกลายเป็นเพียงแค่ทางเข้าแห่งหนึ่งเท่านั้น

“สะพานแห่งนี้มีชื่อว่าสะพานธาราเทพ คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งแห่งสำนักธาราเทพของเรา วันนี้เชิญมาเพื่อใช้เป็นเส้นทางทดสอบแก่พวกเจ้า ลูกศิษย์รวมลมปราณขั้นแปดทุกคน หลังจากได้ยินเสียงระฆังครั้งที่เก้าดังขึ้น พวกเจ้าทั้งหมดจงเหยียบย่างขึ้นไปบนสะพานแห่งนี้!” ผู้พูดไม่ใช่หลี่ชิงโหวอีกแล้ว แต่เป็นสวีเหม่ยเซียงที่ลุกขึ้นยืนอยู่บนแท่นสูง ท่วงท่าของนางงดงามเลิศล้ำ เวลานี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ตรงนั้นลมพัดเอาอาภรณ์ของนางให้ปลิวไสว ผมยาวพลิ้วสะบัด มองดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์ผู้หญิง แต่เหมือนเทพเซียนมากกว่า

“ผู้ที่ไปถึงปลายทางได้เร็วที่สุดก็คืออันดับที่หนึ่ง ใช้วิธีการเช่นนี้เลือกสิบอันดับแรก และร้อยอันดับแรกออกมา!” น้ำเสียงของสวีเหม่ยเซียงดังก้องสะท้อน จิตใจลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนตื่นเต้นฮึกเหิม แต่ละคนมองไปยังสะพานแห่งนั้นทันที

วิธีการประลองเช่นนี้คือการทดสอบความสามารถโดยรวม และกฎก็ไม่ได้บอกว่าห้ามทุกคนต่อสู้กัน ซึ่งก็หมายความว่าขอแค่ไม่มีคนตาย ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม แค่ไปถึงปลายทางให้เร็วที่สุดก็คืออันดับหนึ่ง!

อีกทั้งยังพอนึกภาพออกว่าบนสะพานแห่งนี้ย่อมต้องมีอุปสรรคบางอย่างปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โชคก็อาจจะกลายมาเป็นความสามารถที่แท้จริงอย่างหนึ่ง

ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนพากันหายใจถี่กระชั้น ดวงตาเปล่งประกาย ตบะในร่างเริ่มก่อตัวนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนหาวอยู่ในกลุ่มคน และเวลานี้เองเสียงระฆังก็ดังออกมา

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…สี่ครั้ง ห้าครั้ง หกครั้ง…

เสียงระฆังแต่ละเสียงที่ดังมาเหมือนเคาะไปที่หัวใจของทุกคน ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้ แต่ละคนล้วนใจเต้นแรง ตบะในร่างกายไหลเคลื่อนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนตั้งท่าพร้อมรบ

เสียงระฆังดังครั้งที่เจ็ด ครั้งที่แปด…ชั่วขณะที่ครั้งที่เก้าดังออกมานั้นเอง เสียงตูมตามดังสะเทือนฟ้า ลูกศิษย์พลังรวมลมปราณขั้นแปดทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ตบะในร่างกายของคนแทบทุกคนคล้ายระเบิดออกมาในพริบตานั้น ร่างแต่ละร่างพุ่งถลาไปข้างหน้าราวลูกธนูที่ออกจากแล่ง!

คนนับพันดิ่งทะยาน และยังมีคนไม่น้อยที่บินพุ่งออกไปยังสะพานโบราณเบื้องหน้า พริบตาเดียวก็มีคนเหยียบย่างลงไปบนสะพาน ซ่างกวานเทียนโย่วเร็วที่สุด เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่บินทะยานออกไป ร่างทั้งร่างกลายเป็นรุ้งสีเขียว นำหน้าเป็นอันดับหนึ่ง!

เบื้องหลังของเขาคือหลู่เทียนเหล่ย สายฟ้าทั่วร่างของเขาหมุนวนคล้ายมีแรงดึงรั้ง รวดเร็วอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เป็นรองแค่ซ่างกวานเทียนโย่วเท่านั้น นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ คำรามเสียงต่ำ ความเร็วยิ่งมากกว่าเดิม

อันดับที่สามคือโจวซินฉี แพรต่วนสีฟ้าใต้ฝ่าเท้าของหญิงผู้นี้ขยับเคลื่อนไปข้างหน้าเร็วจี๋

เบื้องหลังยังมีคนตามมาอีกหลายคน คนเหล่านี้ล้วนหน้าไม่คุ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ที่ปกติอำพรางตบะของตัวเองเอาไว้อย่างที่หลี่ชิงโหวบอก เวลานี้มีโอกาสมาถึง พวกเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปจึงระเบิดพลังทั้งหมดออกมา แผล็บเดียวก็ทิ้งช่วงห่างกลุ่มคนเบื้องหลัง และยังดูออกด้วยว่าพวกเขายังมีพลังอีกเหลือเฟือ

ลูกศิษย์รอบด้านที่มองดูอยู่ เวลานี้ล้วนเบิกตากว้าง จิตใจสั่นไหว หันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน

แต่ขณะที่สายตาของคนนับหมื่นจับจ้องอยู่นั้นเอง บนลานกว้าง เนื่องจากทุกคนล้วนพุ่งถลาออกไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานจึงเหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เดียวที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ แทบจะวินาทีที่เสียงระฆังครั้งที่เก้าดังขึ้นนั้นเอง เขารู้สึกถึงเพียงลมกระหน่ำพัดผ่าน จากนั้นรอบด้านก็ไม่เหลือคนอีกแล้ว เบื้องหน้าเขาคนนับพันกำลังห้อทะยานพุ่งขึ้นไปบนสะพานหิน ภาพนี้ช่างโอ่อ่าสง่างาม ทำให้เขาจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด

“สู้ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนเสียงดังอยู่บนลาน ขยับร่างวิ่งเหยาะๆ ไปตามทางเล็กๆ ขึ้นไปบนสะพาน เขาตัดสินใจแล้วว่าศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้ ตัวเองแค่เข้าร่วมก็พอแล้ว ไม่ไปแย่งสิบคนแรก ร้อยคนแรกอะไรทั้งนั้น

‘ได้ยินว่าคนฝั่งทิศเหนือมีแต่พวกโหดเหี้ยม มีแต่คนโง่น่ะสิถึงจะไปสู้กับพวกเขา’ ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกอกถูกใจ ทำท่าทางกวนๆ ออกมา ส่วนเรื่องการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน เขาก็ยิ่งไม่สนใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติแล้ว เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักแล้ว ใครจะไปสนใจสถานะศิษย์ฝ่ายในอะไรนั่นอีกล่ะ

ดังนั้นเวลานี้จึงชื่นชมทิวทัศน์พลางส่งเสียงให้กำลังใจเป็นพักๆ ก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างเด่นชัดกับคนอื่นๆ บนสะพานหิน

ลูกศิษย์รอบด้านที่มองอยู่ ทุกคนเซ่อกันไปหมด มองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอึ้งๆ แล้วพากันทำสีหน้าเหยเกขึ้นมา

บนแท่นสูง เส้นเอ็นบนหน้าผากหลี่ชิงโหวปูดโปน จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน รู้สึกแค่เพียงโทสะที่ระเบิดอยู่ในหัว

สวีเหม่ยเซียงและท่านผู้นำของเขาชิงเฟิงก็อึ้งไปเช่นกัน ทั้งสองคนมองหน้ากันก็ยิ้มเจื่อนออกมา ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านเวลานี้ก็ตาเหลือกถลน ไม่เคยคาดคิดว่าศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติครั้งนี้จะเกิดภาพเช่นนี้ขึ้นมาได้

หากเป็นลูกศิษย์คนอื่นยังพอทำเนา พวกเขาสามารถลงไปสั่งสอนได้ แต่สถานะของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นพิเศษเกินไป ดังนั้นแต่ละคนจึงอดหันไปมองหลี่ชิงโหวและเจิ้งหย่วนตงไม่ได้

เจิ้งหย่วนตงเวลานี้ปวดหัวจี๊ด ที่มากกว่านั้นคือความกระอักกระอ่วน รู้สึกว่าช่างขายหน้ายิ่งนัก…ยามนี้จึงกระแอมแห้งๆ หนึ่งที มองผู้เฒ่าโจวที่อยู่ด้านข้างหนึ่งครั้ง

“ผู้เฒ่าโจว เรื่องต่อจากนี้ข้าสามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ นกเฟิ่งเหนี่ยวตัวนั้นของท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน”

ผู้เฒ่าโจวเข้าใจโดยพลัน ทันใดนั้นก็ทำหน้าทะมึน ร่างลอยพรวดออกไป คำรามเสียงดังไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนสะพานหิน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน วันนี้ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เมื่อข้าจับตัวเจ้าได้แล้ว จะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานของนกฟ่งเหนี่ยวของข้าในวันนั้นแน่นอน!!” ขณะที่พูดร่างกายเขาก็บึ่งไปทางสะพานหินราวกับนกใหญ่ตัวหนึ่ง

———

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version