บทที่ 846 การสืบทอดตำแหน่งของจักรพรรดิหมิง
มีเพียงพวกต้าเทียนซือเท่านั้นที่รู้ความจริง
เรื่องการสืบทอดของจักรพรรดิหมิงจึงไม่ได้ทำให้พวกเขาแปลกใจมากนัก แต่กระนั้นในใจก็อดรู้สึกเลื่อนลอยนิดๆ ไม่ได้ ในสายตาของพวกเขา นี่ก็คือแผนการของจักรพรรดิหมิงที่ตั้งใจจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ตัวตนของป๋ายฮ่าวต่อไป เพราะอย่างไรซะชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนี้ก็เปราะบางเกินไป
และหากใช้ชื่อป๋ายฮ่าวกลายมาเป็นจักรพรรดิหมิงรุ่นต่อไป ก็จะช่วยคลี่คลายข้อกังขาไปได้ไม่น้อย
ทว่าขณะที่ข่าวนี้สร้างความครึกโครมให้กับแดนทุรกันดาร
วันนี้…หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านมาได้หนึ่งเดือน จู่ๆ บนท้องฟ้าของแดนทุรกันดารก็พลันมีแม่น้ำอเวจีจำแลงขึ้นมา!
ฟ้าดินพลันหม่นมัว พลานุภาพสยบแผ่อบอวลเขย่าคลอนนภากาศ!
ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นว่าแม่น้ำอเวจีเข้ามาแทนที่ท้องฟ้า สายน้ำไหลบ่าซัดครืนครั่นอย่างต่อเนื่อง ด้านในยังมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่แต่ละดวงต่างก็หันมากราบไหว้ทิศทางหนึ่งไม่ต่างกัน!
ไม่เพียงวิญญาณพวกนี้เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ วิญญาณทั้งหมดตลอดทั้งแผ่นดินแดนทุรกันดารต่างก็ตัวสั่นเทิ้มแล้วหันไปกราบกรานในทิศทางหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน!
ทิศทางที่พวกเขาหันไปกราบไหว้ก็คือทิศทางที่ตั้งของนครจักรพรรดิขุย!
และเวลานี้ สิ่งปลูกสร้างทุกหลังบนแผ่นดินของนครจักรพรรดิขุย โดยเฉพาะเจดีย์เจ้าพระยาสวรรค์ เจดีย์พระยาสวรรค์ หรือแม้แต่วังหลวงต่างก็ระเบิดแสงสีดำ ขนาดมังกรเฒ่าที่อยู่ท่ามกลางชั้นเมฆก็ยังร้องคำราม
แต่ไม่กล้าทะยานตัวขึ้นฟ้า ประชาชนทุกคนที่อยู่ในเมือง ขุนนางบุ๋นบู๊ของทั้งราชสำนัก ต่อให้เป็นต้าเทียนซือเอง หรือแม้แต่จักรพรรดิขุยก็ยังเดินออกมาจากตำหนักของตัวเอง เมื่อเงยหน้าก็มองเห็นแม่น้ำอเวจีที่อยู่บนท้องฟ้า
เสียงหอบหายใจดังเฮือกๆ พลันดังมาจากทั่วทุกมุมในนครจักรพรรดิขุย ทั่วทุกมุมในแดนทุรกันดาร…
นาทีนี้ทุกคนต่างก็ตระหนักได้ถึงสิ่งเดียวกัน…
การสืบทอดของจักรพรรดิหมิง กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
นภากาศถูกแทนที่มาด้วยแม่น้ำอเวจี ท้องฟ้าไม่ใช่สีเทาขมุกขมัวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีดำสนิท กลบทับแสงตะวัน ทว่าท่ามกลางความมืดมิดนี้กลับมีแสงดาวดารดาษสาดส่องพร่างพราวไปทั้งแผ่นดิน
หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าแสงดาวเหล่านั้นก็คือไฟแห่งวิญญาณของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ท่ามกลางแม่น้ำอเวจี มองไปไกลๆ ท้องฟ้าตลอดทั้งแดนทุรกันดารเกิดเป็นภาพปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่ทุกคนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต!
ทุกชีวิตกลั้นลมหายใจ ตอนที่สายตาของพวกเขาไปตกอยู่บนท้องฟ้า พลานุภาพสยบขุมหนึ่งที่ราวกับแผ่ออกมาจากกระดูก แผ่ออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณทำให้พวกเขาเกิดความเคารพนับถืออย่างห้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองของชนเผ่าหรือผู้ฝึกวิญญาณที่ไม่ว่าจะมีตบะอะไร ต่อให้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างต้าเทียนซือ บัดนี้ก็ยังใจเต้นกระหน่ำรัวเร็ว บังเกิดความเคารพเลื่อมใสออกมาจากใจจริง
นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง คือตราประทับอย่างหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในสายเลือดของพวกเขา แม้แต่พวกสัตว์ร้ายทั้งหมดที่อยู่ในแดนทุรกันดารก็ยังมีอาการไม่ต่างกัน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ลงไปนั่งคุกเข่าคำนับ ไม่นานคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทั่วทุกมุมในแดนทุรกันดารก็พากันคุกเข่าคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน ยิ่งในนครจักรพรรดิขุยก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ประชาชนทุกคนก้มลงกราบกราน ต่อให้เป็นขุนนางของราชสำนักก็ยังทำแบบเดียวกัน ส่วนต้าเทียนซือและสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ถึงแม้จะไม่ได้ก้มลงคุกเข่ากราบไหว้ ทว่าต่างก็โค้งตัวคารวะ!
ทุกสรรพชีวิตกราบไหว้ ทุกดวงวิญญาณหมอบกราบ!
นี่คือความเคารพนับถือที่มีต่อแม่น้ำอเวจี ยิ่งเป็นความยำเกรงที่มีต่อจักรพรรดิหมิง!
ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปิดด่านฝึกตนจนใกล้จะฝ่าทะลุขั้นเต็มทีซึ่งไม่ได้คารวะกราบไหว้แล้ว ก็ยังมี…จักรพรรดิขุยอีกคนหนึ่งที่ถึงแม้จะเป็นแค่หุ่นเชิด ทว่าตัวตนของเขาก็ยังคงเป็นจักรพรรดิขุยของรุ่นนี้ จึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ต่อให้อยู่ภายใต้พลานุภาพสยบ อยู่ท่ามกลางความเคารพเลื่อมใสนี้ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสายตาเคร่งขรึม
ภายใต้การจับจ้องของคนนับหมื่น ไม่นานบนท้องฟ้าเหนือนครจักรพรรดิขุย ท่ามกลางแม่น้ำอเวจีที่ร้องคำรามซัดสาดครืนครั่น เงาร่างพร่าเลือนของคนเฝ้าสุสานก็ค่อยๆ เดินออกมา และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขา…ปรากฏตัวต่อหน้าสรรพชีวิต!
คนเฝ้าสุสานในเวลานี้ไม่ได้มีลักษณะเหมือนอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเห็นในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าจะยังคงสวมชุดคลุมสีดำ ทว่าบนชุดคลุมกลับมีมังกรทมิฬลอยขึ้นมา ความรู้สึกที่เขามอบให้กับทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความสูงส่งไร้ทัดเทียม ยิ่งมงกุฎจักรพรรดิที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็ยิ่งทำให้บารมีน่าเกรงขามของมหาจักรพรรดิแผ่ไพศาลไปสี่ทิศ อบอวลไปทั่วทั้งแดนทุรกันดาร!
การปรากฏตัวของคนเฝ้าสุสานทำให้จิตวิญญาณของทุกคนในแดนทุรกันดารสั่นคลอนทันที แต่ละคนอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก
และยังมีคนไม่น้อยที่เกิดความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง สำหรับสรรพชีวิตในแดนทุรกันดารแล้ว ในความหมายบางประการ…จักรพรรดิหมิงนั้นอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิขุยด้วยซ้ำไป!
เพราะอย่างไรซะจักรพรรดิขุยก็สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนถึงตอนนี้ก็มีหลายรุ่นแล้ว ทว่าจักรพรรดิหมิงนั้น…ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ฟ้าดินถือกำเนิดขึ้นมาก็มีเพียงองค์เดียวมาโดยตลอด!
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าสำหรับปวงประชาของราชวงศ์ขุยแล้ว…จักรพรรดิหมิงก็คือสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณ คือทวยเทพที่พวกเขาเฝ้าขออำนวยพร!
“จักรพรรดิหมิง!”
“จักรพรรดิหมิง!!”
“จักรพรรดิหมิง!!!” คลื่นเสียงเป็นทอดๆ พลันระเบิดอึงอลทั่วทุกมุมของแดนทุรกันดาร เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็กลายมาเป็นเสียงกัมปนาทที่เกริกก้องไปทั้งฟ้าดิน
ยามนี้เมื่อทวยเทพเผยกาย จิตวิญญาณของสรรพชีวิตจึงถูกเขย่าคลอน!
และท่ามกลางคลื่นเสียงระลอกแล้วระลอกเล่าที่ดังราวฟ้าผ่านี้ คนเฝ้าสุสานที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยกมือขวาขึ้นช้าๆ เพียงแค่ยกมือ เสียงกระหึ่มทั่วแดนทุรกันดารก็เงียบสงัดลงทันที
ชั่วขณะที่ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ แม่น้ำอเวจีบนท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าคนเฝ้าสุสานก็ไหลเชี่ยวกรากซัดหลุนๆ อีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างที่สองจะปรากฏขึ้นมา!
นั่นคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผิวพรรณขาวเนียน เขาสวมชุดคลุมยาวสีดำ สง่าราศีของเขาสามารถข่มทับดวงดาวจากไฟวิญญาณที่ดารดาษทั่วแผ่นฟ้าเอาไว้ได้อย่างราบคาบ เขายืนอยู่หน้าคนเฝ้าสุสานได้อย่างกลมกลืนโดยที่ไม่มีความขัดแย้งแม้แต่น้อย ราวกับว่า…เดิมทีเขาก็ควรยืนอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว
และชั่วขณะที่ชายหนุ่มคนนี้ปรากฎตัว วินาทีที่โฉมหน้าของเขาเผยออกมาต่อสายตาของคนมากมาย เสียงหอบหายใจอย่างที่ควบคุมไม่ได้ก็ดังขึ้นมาอีกไม่น้อย ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่เคร่งเครียดเป็นการเป็นงานเช่นนี้ก็ยังมีคนร้องอุทานเสียงหลงอย่างอดไม่ไหว
“ป๋ายฮ่าว!”
“อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน ป๋ายฮ่าว!!”
“ข่าวลือเป็นเรื่องจริง ป๋ายฮ่าว…คือจักรพรรดิหมิงคนต่อไป!!”
พวกโจวหง เสี่ยวหลางเสินต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม ในใจยิ่งมากด้วยความขมขื่น ขนาดพวกเขายังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ เลย ยังดีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือแพร่ออกมาก่อน ทุกคนจึงมีการเตรียมใจเอาไว้บ้าง หาไม่แล้ว หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน เกรงว่าคงมีคนที่ตกใจจนสติหลุดมากกว่านี้
ทว่าตอนที่เห็นเงาร่างของป๋ายฮ่าวปรากฏอยู่บนท้องฟ้า พวกต้าเทียนซือ สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่และยังมีพวกคนที่คุ้นเคยกับป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดีกลับพากันอึ้งค้าง!
“เขาไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุน! เขาคือวิญญาณทาสที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน…”
ต้าเทียนซือมองปัญหาออกแทบทันที ใจเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง เขาจำได้ว่าครานั้นเพื่อป๋ายฮ่าวแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นสังหารพระยาสวรรค์ และจากข่าวที่เขาได้รับมา ป๋ายฮ่าวผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ของป๋ายเสี่ยวฉุน!
“ลูกศิษย์ของเขากลายมาเป็นจักรพรรดิหมิง!!” ขนาดต้าเทียนซือผู้มีตบะแก่กล้าก็ยังสำลักลมหายใจ ตะลึงลานไปกับความจริงข้อนี้
สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะราชาผียักษ์ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
หากไม่เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดีก็เป็นเพราะตบะแข็งแกร่ง ความสามารถในการสังเกตการณ์ละเอียดประณีต ทำให้พวกเขาสังเกตเห็นทันทีถึงความแตกต่างระหว่างป๋ายฮ่าวกับป๋ายเสี่ยวฉุน!
ความแตกต่างที่ว่านี้มองจากภายนอกไม่ออก แต่กลับหนีไม่พ้นอำนาจจิตที่เฉียบคมของคนเป็นครึ่งเทพ!
“ไม่ใช่คนเดียวกัน!” ราชาผียักษ์หอบหายใจถี่รัว ภาพนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทีพวกเขานึกว่าคนที่ได้กลายเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิงก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน! และเขาก็รู้จักป๋ายฮ่าวเช่นกัน ดังนั้นในสมองจึงมีความตื่นตะลึงไม่ต่างจากต้าเทียนซือ!
ต่อให้เป็นพวกเฉินฮ่าวซงก็ยังเป็นเช่นนี้ แม้พวกเขาจะมองไม่เห็นอย่างชัดเจนนัก ทว่าความรู้สึกในใจกลับบอกพวกเขาอย่างแจ่มชัดว่าป๋ายฮ่าวและป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนคนเดียวกัน!
ส่วนโจวอีซิงนั้นเป็นคนที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีที่สุด แม้ว่าตบะจะไม่สูงมากพอ แต่เขาคุ้นเคยกับป๋ายเสี่ยวฉุนดียิ่งนัก ยามนี้แค่มองปราดเดียวก็มองออกถึงความจริง!
“นั่นคือ…ป๋ายฮ่าวลูกศิษย์ของนายท่าน?!” โจวอีซิงมองเซ่อไปทันที แต่ซ่งเชวียนั้นเห็นได้ชัดว่าสังเกตไม่เห็นถึงความแตกต่างใดๆ ยามนี้จึงยังคงตื่นเต้นดังเดิม
บัดนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมศึกไร้เทียมทาน คนที่รู้จักตัวตนแท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเกิดอาการแตกต่างกันออกไป บางคนที่มองไม่ออกถึงข้อเท็จจริงก็ให้เกิดความซับซ้อนอยู่ในใจ แต่คนที่มองออกถึงเส้นสนกลในกลับใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ทว่าต่อให้ในใจของพวกเขาจะสงบลงไม่ได้แค่ไหนก็ยังทำได้เพียงมองท้องฟ้าเงียบๆ มองเงาร่างผู้ยิ่งใหญ่สูงศักดิ์คนหนึ่งแก่คนหนึ่งหนุ่มที่อยู่บนฟ้า! ขณะเดียวกันป้ายศิลาการสืบทอดจักรพรรดิหมิงที่อยู่ในนครจักรพรรดิขุยก็ได้หายไปแล้ว
และเวลานี้เอง ในพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี จุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน ร่างของเขาพลันสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ในร่างมีเสียงอสนีบาตดังกึกก้อง ส่วนเส้นผมโลหิตของเทียนจุนที่อยู่ในมือของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
พลังชีวิตที่เข้มข้นจนมิอาจบรรยายได้ไหลบ่าเข้ามาในร่างของเขาทั้งหมด ผลักดันให้ขอบเขตกระดูกคงกระพันของเขาไต่ทะยานขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งไต่ไปถึงจุดสูงสุดของกระดูกคงกระพัน!
และชั่วขณะที่ไต่ไปถึงจุดสูงสุดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกโพลง ใบหน้าของเขาแดงปลั่ง สัมผัสได้ถึงพลังเหนือจินตนาการขุมหนึ่งที่กำลังโคจรอยู่ในร่างและสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ!
และหากมันระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ย่อมต้องพลิกภูเขาซัดมหาสมุทร สะท้านฟ้าสะเทือนดินแน่นอน!
“กระดูกคงกระพัน ขั้นสมบูรณ์แบบ!”
ในลูกตาดำของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงคมกริบ นี่เป็นเหตุให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาที่อยู่ในถ้ำอันมืดมิดซึ่งถูกเขาขุดขึ้นมาสว่างไสวราวเดือนและดาว ส่องให้ตลอดทั้งถ้ำสว่างเจิดจ้าราวเวลากลางวัน