Skip to content

A Will Eternal 848

บทที่ 848 พูดคุยก่อนจากลา

“โจวอีซิงอยู่กับข้ามานานหลายปีขนาดนี้ หากวันนี้ข้าจากไป คงต้องจัดการอะไรบางอย่างไว้ให้เขา”

“แล้วก็ยังมีซ่งเชวียอีกคน จะอย่างไรข้าก็เป็นอาเขยน้อยของเขา คงต้องพาเขากลับไปด้วยกัน”

“ทางด้านราชาผียักษ์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อยากบอกลาราชาผียักษ์เหมือนกัน แต่พอนึกถึงสตรีธุลีแดง เขาก็ปวดหัวจี๊ด ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ช่างเถอะ พี่ชายของข้าคนนี้ ไว้ค่อยเจอกันคราวหน้าก็แล้วกัน”

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมาอยู่แดนทุรกันดารนานหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังสร้างมรสุมแห่งคาวเลือดไว้มากมาย มีตัวตนสูงส่งไร้ทัดเทียม ตอนนี้จะจากไป…ก็อย่าให้เอิกเกริกจะดีกว่า”

ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนตัวเองต้องฝังกลบความสามารถและชื่อเสียงเอาไว้ให้ลึกสุด ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างลึกลับยิ่งนัก

หลังจากเคลิบเคลิ้มกับตัวเองอยู่พักใหญ่

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่งข้อความเสียงให้โจวอีซิง บอกให้เขามาที่พื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ตอนนี้โจวอีซิงซ่อนตัวอยู่ในนครผียักษ์ พอได้ข้อความเสียงจากป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็อึ้งไปครู่ หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างอดไม่อยู่ แอบมีลางสังหรณ์ว่า ป๋ายเสี่ยวฉุน…กำลังจะจากไป

และตอนนี้ลูกศิษย์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายเป็นจักรพรรดิหมิงไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นการที่เขาให้ตนไปหาก่อนจะจากไป ความหมายก็ชัดเจนมากพออยู่แล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ โจวอีซิงก็ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าการเลือกของตัวเองในปีนั้นสำคัญที่สุด แล้วก็ถูกต้องที่สุดในชีวิต!

โจวอีซิงพกพาเอาความคาดหวัง ความฮึกเหิมออกเดินทางทันที ทั้งก่อนออกไปยังเอาซ่งเชวียเก็บมาไว้ในถุงเก็บของแล้วจึงตรงดิ่งไปยังพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี

ระหว่างที่รอให้โจวอีซิงมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ไปจากพื้นที่ต้องห้ามแม่น้ำอเวจี ตอนนี้มืดแล้ว เขาถือโอกาสออกมานั่งที่ริมชายฝั่ง หวนนึกถึงประสบการณ์ในแดนทุรกันดารตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วก็ไพล่นึกไปถึงสำนักสยบธารที่อยู่ในความทรงจำ ความคิดนับพันนับหมื่นล้อมวนอยู่ในหัวใจทำให้ใจที่อยากกลับบ้านของเขาคล้ายลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่ง

เที่ยงคืนมาเยือนโดยไม่ทันรู้ตัว ไอหมอกจำนวนมากพลันลอยอวลขึ้นมาจากรอบด้าน ปราณแห่งความตายที่เข้มข้นเกินสิ่งใดเปรียบปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า แม่น้ำอเวจี…เผยตัวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำในแม่น้ำไหลบ่าห้อตะบึงผ่านเบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนไป

มองแม่น้ำอเวจี ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความรู้สึกสนิทชิดเชื้อขึ้นมาเป็นครั้งแรก อาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงปราณของลูกศิษย์ตนเองจากในแม่น้ำนี้ได้อย่างเลือนราง และหลังจากที่ปราณนี้เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างของป๋ายฮ่าวก็เผยกายขึ้นมากลางแม่น้ำอเวจีเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเงียบเชียบ

ไม่ได้สวมมงกุฎจักรพรรดิ ไม่ได้สวมชุดคลุมจักรพรรดิ ยังคงมีลักษณะดุจเดียวกับเมื่อครั้งที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน วินาทีที่เขาเผยกายนั้น ดวงตาก็ฉายความอาลัยอาวรณ์ ทั้งยังมากด้วยความเคารพนบนอบ แค่สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็มาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกุมมือคารวะ

“อาจารย์!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าลูกศิษย์ของตัวเองปรากฏตัว มองเห็นความเคารพและความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจดีว่าลูกศิษย์คนนี้ของตนไม่ได้มีท่าทีใดๆ เปลี่ยนแปลงไปเพียงเพราะได้เป็นจักรพรรดิหมิง

“ความรู้สึกหลังได้เป็นจักรพรรดิหมิงเป็นอย่างไรบ้าง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพร้อมยิ้มตาหยี ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการปรากฏตัวของลูกศิษย์ เขารู้จักป๋ายฮ่าวดี หากอีกฝ่ายไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าตนเอง นั่นต่างหากถึงจะทำให้เขาแปลกใจ

“ยังต้องเรียนรู้กับผู้อาวุโสคนเฝ้าสุสาน วิชาอภินิหารมากมายที่ต้องใช้แม่น้ำอเวจีร่ายใช้ ศิษย์ยังไม่เชี่ยวชาญนัก” ป๋ายฮ่าวเอ่ยขึ้นเบาๆ ความอาลัยอาวรณ์ในดวงตายิ่งเข้มข้น เขาอ้าปากหมายจะพูดอะไรต่อ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโบกมือตัดบท

“เจ้าต้องเคารพท่านปู่คนเฝ้าสุสานให้มาก เคารพเขาให้เหมือนที่เคารพอาจารย์”

“อยู่กับท่านปู่คนเฝ้าสุสานก็ต้องเรียนรู้ให้ดีว่าควรจะเป็นจักรพรรดิหมิงอย่างไร”

“น่าเสียดายที่อาจารย์ต้องไปแล้ว หาไม่แล้ว อาจารย์ยังมีเวทอภินิหารทางสายของพวกเราที่ต้องสืบทอดให้แก่เจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ อันที่จริงเขาเองก็อาลัยอาวรณ์ลูกศิษย์ของตัวเองเหมือนกัน

ป๋ายฮ่าวเงียบงัน มองอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า ในสมองของเขาก็มีภาพเหตุการณ์มากมายที่ทั้งสองคนร่วมผ่านมาด้วยกัน แต่เขาเข้าใจดีว่า สำหรับอาจารย์แล้ว การที่ได้กลับไปยังเขตแม่น้ำทงเทียน กลับไปยังสำนักของอีกฝ่าย คือสิ่งที่อาจารย์ต้องการมาตั้งแต่แรก

“อาจารย์ เดินทางครั้งนี้ท่านระวังตัวด้วยนะขอรับ…เขตทงเทียนก็อันตรายไม่แพ้ที่นี่ ข้าจะพยายามฝึกเวทอภินิหารทั้งหมดให้ได้โดยเร็วที่สุดจะได้เดินทางไปทั่วโลกใบนี้ได้!” ป๋ายฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกัน ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าเวลาแห่งการจากลาใกล้จะมาถึงแล้ว บทสนทนาในครั้งนี้ส่วนใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกำชับให้ป๋ายฮ่าวตั้งใจเป็นจักรพรรดิหมิงให้ดี ส่วนป๋ายฮ่าวก็เห็นได้ชัดว่าไม่วางใจเรื่องปัญหาด้านความปลอดภัยยามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไปเขตแม่น้ำทงเทียนจึงคอยเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่อง

ศิษย์และอาจารย์สองคนจึงเริ่มพูดคุยปรึกษากันดังที่เคยเป็นมาในอดีต พูดไปพูดมา จู่ๆ ป๋ายฮ่าวก็เอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์ จ้าวสงหลิน หลิวหย่ง แล้วยังมีเฉินฮ่าวซงผู้นั้น พวกเขาแสดงความไม่เคารพท่านอาจารย์อยู่หลายครั้ง วันหน้าข้าจะต้องทำให้พวกเขาเสียใจแน่นอน!”

“ส่วน…อาจารย์แม่ซวี่ซาน อาจารย์แม่เฉินม่านหยา และยังมีอาจารย์แม่โจวจื่อโม่…ข้าจะช่วยดูแลแทนอาจารย์เอง หากมีคนคิดร้ายกับพวกนาง ศิษย์จะลงมือจัดการทันที!”

“และยังมีทางฝ่ายของราชาผียักษ์…ศิษย์ก็จะดูแลเขาด้วยความเคารพ”

“ส่วนศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างพวกโจวหงที่อาจหาญมาหาเรื่องท้าทายอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า อาจารย์วางใจได้เลย ศิษย์จะไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตสุขสบายแน่!” ป๋ายฮ่าวแค่นเสียงเย็น สำหรับพวกคนที่เคยหาเรื่องอาจารย์ของเขาหรือใครก็ตามที่มีพระคุณต่ออาจารย์เขา เขาล้วนจดจำได้ขึ้นใจทั้งหมด

หากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์คนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ก็อาจจะวางท่าเป็นคนใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอได้ยินมาถึงตรงนี้นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความชื่นชม เห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่ง

“ถูกต้อง คนพวกนี้จะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตสุขสบายไม่ได้ แล้วยังมีตาแก่ราชาเก้านรกภูมินั่นอีกคน เจ้าต้องหาโอกาสเหมาะๆ เล่นงานเขากลับไปให้ได้!”

ศิษย์และอาจารย์สองคนนี้จึงปรึกษากันเรื่องที่ว่าจะจัดการคนเหล่านั้นด้วยวิธีใดอย่างละเอียดยิบอีกครั้ง สุดท้ายก็จบลงด้วยความพึงพอใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้สึกว่าลูกศิษย์ของตนช่างรู้ประสายิ่งนัก

“ใช่แล้ว อาจารย์ ช่วงเวลานี้ข้าใช้พลังของแม่น้ำอเวจี บวกกับที่มีผู้อาวุโสคนเฝ้าสุสานคอยชี้นำ ในที่สุดก็สามารถสร้างตำรับหลอมไฟยี่สิบสีและยี่สิบเอ็ดสีออกมาได้แล้ว!” ป๋ายฮ่าวพูดอย่างผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ตอนนี้เขายังฝึกวิชาอภินิหารได้ไม่เชี่ยวชาญมากพอ หลักๆ แล้วเป็นเพราะเวลาเกือบทั้งหมดถูกเขาใช้หมดไปกับการยืมใช้ตัวตนของตัวเอง ยืมใช้พลังแม่น้ำอเวจีมาสร้างตำรับหลอมไฟ

นั่นถึงทำให้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน เขาก็สร้างตำหรับหลอมไฟยี่สิบสีและยี่สิบเอ็ดสีขึ้นมาได้สำเร็จ!

“น่าเสียดายก็แต่ไฟยี่สิบเอ็ดสีเหมือนจะเป็นจุดสูงสุดแล้ว ข้อนี้ข้ามิอาจยืนยันได้ มีเพียงหลอมมันออกมาอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะรู้ว่าไฟยี่สิบเอ็ดสีจะใช่จุดสูงสุดของโลกใบนี้จริงๆ หรือไม่ แต่ตำรับไฟยี่สิบสองสี ขนาดผู้อาวุโสคนเฝ้าสุสานเองก็ยังเงียบงัน และศิษย์ก็พอจะสัมผัสได้ว่าไฟยี่สิบสองสีนั้นทำสำเร็จได้ยากยิ่ง ขออาจารย์โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย” ป๋ายฮ่าวยกมือขวาคว้าจับไปกลางอากาศ ทันใดนั้นในมือเขาก็มีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว ความสามารถในการหลอมไฟของเขาเรียกว่าสูงล้ำมากแล้ว เขาจึงรู้ดีถึงความยากในการสร้างตำรับหลอมไฟ

ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ป๋ายฮ่าวกลับสร้างตำรับหลอมไฟทั้งสองสีออกมาได้ นี่ก็พอจะจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากแค่ไหน

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฉายแววอ่อนโยน รับเอาแผ่นหยกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะมองลูกศิษย์ของตัวเองด้วยสายตาลึกล้ำ

“ฮ่าวเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเบาๆ

พอได้ยินประโยคนี้ของอาจารย์ ป๋ายฮ่าวก็พลันปลื้มใจ แม้ว่าเขาจะกลายมาเป็นจักรพรรดิหมิง แต่ใจเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน คำพูดที่แสดงการยอมรับจากป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ไรไหนมาก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา

“อาจารย์ ตอนนี้ยังมีเวลา ศิษย์เชี่ยวชาญไฟยี่สิบสีมากที่สุด พวกเราควรคว้าโอกาสนี้มาทดลองหลอมกันดูดีไหม?” ป๋ายฮ่าวมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดไปครู่ก็พยักหน้ารับ หลังจากนั้นอาจารย์และศิษย์สองคนก็เริ่มทำการหลอมไฟครั้งสุดท้ายก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไปอยู่ข้างริมฝั่งแม่น้ำอเวจี การหลอมไฟครั้งนี้ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับตำหรับหลอมไฟยี่สิบสี ก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีแนวทางกันมาครึ่งทางแล้ว และตอนนี้ป๋ายฮ่าวยังเป็นจักรพรรดิหมิง แค่โบกมือก็เรียกวิญญาณมาได้นับไม่ถ้วน

ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หลอมไฟยี่สิบสีได้สำเร็จ เมื่อไฟยี่สิบสีปรากฏขึ้น แสงเปลวเพลิงก็ส่องสว่างพร่างไปทั้งแผ่นฟ้า เสียงอึกทึกกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน

ไฟยี่สิบสีนี้คือจุดสูงสุดของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นดิน อาจารย์หลอมวิญญาณเช่นนี้ นับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันตลอดทั้งแดนทุรกันดารเคยมีปรากฏแค่คนเดียว และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือคนที่สอง

และหากเลื่อนขั้นไปหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีได้เมื่อไหร่ เขาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าที่มีแต่เพียงในตำนาน ทว่าทุกวันนี้…กลับยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

และในตำนานก็เล่าลือกันว่าไฟยี่สิบเอ็ดสีทำให้คนที่หลอมพลังจิตให้กับทารกก่อกำเนิดสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นคนฟ้าได้โดยตรง เพียงแต่ว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าในตำนานเท่านั้น ก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ยังไม่เคยมีใครทำได้ถึงจุดนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังฮึกเหิมจึงรีบทดลองหลอมไฟสิบเอ็ดสีทันที

เพียงแต่ว่าการหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีนี้ยากเกินไป ต่อให้มีตำรับหลอมไฟ ต่อให้มีความช่วยเหลือจากป๋ายฮ่าว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ทำความคุ้นเคยกับมันเท่านั้น คิดจะทำให้สำเร็จ แม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่ามิอาจทำได้ภายในวันสองวัน

เพื่อให้อาจารย์ยังสามารถหลอมไฟได้ต่อหลังไปจากแดนทุรกันดาร ป๋ายฮ่าวก็แอบกัดฟัน สุดท้ายร่ายใช้วิชาอภินิหารของจักรพรรดิหมิง ดึงเอาวิญญาณปริมาณน่าตกใจออกมาจากในแม่น้ำอเวจีแล้วมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ใช้สำหรับหลอมไฟในวันหน้ารวดเดียว

จำนวนของวิญญาณพวกนี้มีมากจนแม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก ต่อให้เขาจะล้มเหลวอีกหลายครั้ง แต่อย่างน้อยวิญญาณพวกนี้ก็ยังมากพอจะประคับประคองให้เขาหลอมไฟยี่สิบเอ็ดสีได้สำเร็จ

และเวลานี้เอง โจวอีซิงก็มาถึงในที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version