Skip to content

A Will Eternal 878

บทที่ 878 นิจนิรันดร์

มองแผ่นหลังของกงซุนอวิ๋นที่มีกลิ่นอายความเศร้าอาดูรแผ่ออกมา

ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลือกที่จะไม่บอกความจริงแก่อีกฝ่าย เขาไม่สามารถเปิดปากได้ เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะให้เขาพูดว่าแท้จริงแล้วกงซุนหว่านเอ๋อร์ตายไปตั้งแต่ตอนอยู่ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตแล้ว

และน้องสาวที่กงซุนอวิ๋นเห็นหลังจากนั้นแท้จริงแล้วคือผีเด็กหญิงพิลึกพิลั่นที่เข้ามาสิงร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์แทน ความจริงข้อนี้โหดเหี้ยมเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนทนไม่ได้หากต้องมองเห็นกงซุนอวิ๋นแบกรับการโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้

แทนที่จะให้เป็นแบบนี้ก็สู้ให้คำตอบที่เด็ดขาดกับเขาไปเลยดีกว่า ในคำตอบนั้นกงซุนหว่านเอ๋อร์ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนปั้นแต่งให้เป็นวีรสตรีที่สละชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

แม้ว่าคำพูดนี้จะมีพิรุธมากมาย และกงซุนอวิ๋นเองก็อาจจะสัมผัสได้ แต่เขากลับไม่ได้ซักถาม แล้วก็ไม่คิดจะถาม…การที่ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าอึกอักจะพูดแต่ไม่พูดก็อธิบายถึงปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว

“น้องหญิง ที่อยู่ในสำนักก่อนหน้านี้ เป็นเจ้าจริงๆ หรือ…”

ในใจของกงซุนอวิ๋นซุกซ่อนประโยคนี้ไว้ตลอดเวลา อีกทั้งมีหลายครั้งที่เขาจงใจหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงว่าความจริงคืออะไร…

จนกระทั่งกงซุนอวิ๋นจากไป อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงหนักอึ้งอยู่อย่างเดิม เขาไม่ชอบอารมณ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนมองโลกในแง่ดี ยึดมั่นในสุขนิยม แต่เมื่อเติบโตขึ้น ตลอดทางที่เดินมานี้ อารมณ์เช่นนี้กลับปรากฏขึ้นมากลางใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

เพราะสาเหตุมากมาย เหตุการณ์หลายครั้งหลายคราก่อนหน้านี้จึงค่อยๆ ถูกเขาฝังกลบไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ภาพหลุมศพเหล่านั้นกลับลอยขึ้นมาในสมองของเขาไม่หยุด เงาร่างของโจวซินฉี รวมไปถึงใบหน้าของคนคุ้นเคยมากมายที่อยู่ในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะทำยังไงก็มิอาจลบเลือนไปได้

ความรู้สึกเศร้าอาลัยแผ่ปกคลุมไปทั่วหัวใจของเขา บุรพาจารย์สายธาราเทพผู้ที่ทุกวันนี้มีความหวังว่าจะได้เลื่อนสู่เขตคนฟ้า หรือถึงขั้นมีหวังมากยิ่งกว่าบุรพาจารย์ธาราโลหิตเวลานี้ได้เดินจากทิศไกลเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเงียบเชียบ

เขาสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกที่แผ่ออกมาจากคลื่นอำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเป็นคนที่เข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี แม้จะสู้หลี่ชิงโหวไม่ได้ แต่จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่เฝ้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนเติบโตขึ้นมาในสำนัก

ไม่นานเขาก็เดินมาถึงข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ได้รบกวนป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังจมจ่อมอยู่กับอารมณ์หดหู่ เพียงยืนเคียงข้างเขาอยู่ตรงนั้น สายตาก็ทอดมองไปยังทิศทางที่ตั้งสุสานของสำนักสยบธาร

เนิ่นนาน บุรพาจารย์ธาราเทพถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบเครือ น้ำเสียงของเขาที่มีความแก่ชราดังก้องอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุน

“เสี่ยวฉุน เจ้าลองมองรอบด้านนี่สิ…มองสำนักของพวกเรา เจ้ามองเห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่…”

การมาถึงของบุรพาจารย์ธาราเทพ ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรู้นานแล้ว เพียงแต่อารมณ์เขายังซึมเซา พอได้ยินประโยคนี้จึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองรอบด้าน

ตลอดทั้งสำนักยังคงมีเสียงจอแจดังแว่วมา งานการซ่อมแซมหลากหลายรูปแบบกำลังดำเนินไปอย่างเร่งรีบ ไม่พูดว่าทั้งสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แต่หากมองอย่างละเอียดก็พอจะสังเกตเห็นได้ว่าทุกอย่างในสำนักล้วนกำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวช้าๆ หากคนมากมายร่วมแรงร่วมใจกันเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ตลอดทั้งสำนักสยบธารก็คงฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาได้ดังเดิม

ส่วนลูกศิษย์ของสามสำนักที่ถูกจับเป็นเชลยศึกก็กลายมาเป็นเบี้ยในมือที่สำคัญของสำนักสยบธาร ไม่ว่าจะไปรวมอยู่ในสำนัก หรือเอาไปแลกเปลี่ยนกับอีกสามสำนักก็ล้วนทำให้สำนักสยบธารแข็งแกร่งได้อีกหลายเท่าตัว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมลูกศิษย์ทุกคนถึงได้ขยัน มุมานะกันขนาดนี้…เพราะว่าที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสำนักของพวกเขา แต่ยังเป็นบ้านของพวกเขาด้วย!”

“สำนักธาราเทพก็ดี สำนักสยบธารก็ช่าง ทั้งสองคือที่แห่งเดียวกันมาโดยตลอด…โชควาสนาเป็นของใครของมัน ส่วนการยอมรับและให้อภัยของสำนักก็แทบจะเรียกได้ว่าครอบคลุมจักรวาล ขอแค่ทำให้ทุกคนมีความเชื่อใจที่มากพอต่อสำนัก แบบนั้น…ถึงจะทำให้พวกเขามองสำนักเป็นดั่งบ้านของตัวเอง!”

“และในความเป็นจริง เดิมทีสำนักก็คือ…บ้านของพวกเราทุกคน”

บุรพาจารย์ธาราเทพเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาชราภาพมากเหลือเกินแล้ว ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หากไม่ได้อาศัยเวทลับ เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว ทว่าต่อให้มีเวทลับอยู่ แต่บางทีอาจเป็นเพราะมรสุมที่พัดกระหน่ำสำนักสยบธารตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าของเขาเพิ่มมากกว่าเดิม มองดูแล้วจึงยิ่งแก่หง่อมเข้าไปอีก

ทุกอย่างนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นและได้ยิน อารมณ์ที่หดหู่ก็ดีขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย เพียงแต่ว่าปมในใจยังคงมีอยู่ เขาค่อยๆ ถอนสายตากลับมามองยังบุรพาจารย์ธาราเทพ

“บุรพาจารย์ นักพรตอย่างพวกเรา…ฝึกบำเพ็ญตนก็ไม่ใช่เพื่อเป็นอมตะหรอกหรือ? ทำไมต้องรบราฆ่าฟันกัน คนเรามีชีวิตอยู่ถึงมีความหวัง หากตายไปแล้ว…จะมีความหมายอะไร…”

ปมในใจนี้ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนมาตลอดระยะเวลาหลายปี และเวลานี้เมื่อจมอยู่ในอารมณ์ที่ดิ่งลงต่ำ เขาจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว

คำถามข้อนี้ลึกล้ำอย่างมาก ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ธาราเทพเองก็ยังเงียบงัน มิอาจตอบคำถามของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานมาก สีหน้าก็ยิ่งดูแก่ชราลงไปอีก ตอนที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาที่อ่อนโยนของเขามีความสงสารอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เขาสงสารลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสายธาราเทพคนนี้ เพราะเขารู้ว่านับตั้งแต่วันแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาอยู่ในสำนัก อีกฝ่ายก็ใฝ่ฝันอยากเป็นอมตะมาโดยตลอด

เขายิ่งสงสารเด็กคนนี้ที่มีความฝันอยากอายุยืนยาวแต่กลับกลัวตายอย่างมาก ตลอดทางที่อีกฝ่ายเดินมา เขาได้ประสบพบเจอกับความโหดร้ายของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับยังคงมีความยึดมั่น มีใจที่ไม่แปรผันได้ถึงเพียงนี้ เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนัก

“เสี่ยวฉุน…” บุรพาจารย์ธาราเทพเอ่ยขึ้นเบาๆ

“คนเรามีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวังก็จริง แต่ตายไปแล้วก็หาใช่จะไม่มีปณิธานเสมอไป!”

“คนอื่นๆ ข้าผู้อาวุโสไม่กล้าพูดถึง แต่ลูกศิษย์ทุกคนในที่แห่งนี้ที่รบตาย…พวกเขาต่างก็ตายเพราะเต๋าในใจของตน!”

“อะไรคือเต๋า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย คำถามนี้เขาเคยได้ยินมาก่อนตอนที่อยู่บนสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แต่สุดท้ายกลับไม่มีคำตอบใดๆ เขาเพียงรู้สึกว่า เต๋าของเขา…ก็คืออยากเป็นอมตะ

“คำว่าเต๋านี้ลึกล้ำเกินไป ไม่มีใครสามารถอธิบายมันได้อย่างชัดเจน…ข้าผู้อาวุโสเองก็แค่มีชีวิตอยู่มานานจึงค่อยๆ มีความเข้าใจเป็นของตัวเอง…”

“เต๋า ก็คือความยึดมั่นถือมั่น เหล่าวีรชนผู้กล้าที่ตายไปในสงคราม พวกเขาไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ ความยึดมั่นของพวกเขาก็ไม่ใช่อยากเป็นอมตะอย่างนั้นหรือ? แต่สำนักคือบ้านของพวกเขา เพื่อปกป้องคนในครอบครัว เพื่อปกป้องบ้านของตัวเอง พวกเขายินดีสละตน ยินดีวางความยึดมั่นของตัวเองไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ต่อให้จะเสียดาย แต่สุดท้ายก็ยังเลือกปกป้องสำนักจนตัวตาย!”

“อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นข้าผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้าก็เตรียมใจไว้แล้ว ทุกคนล้วนจากไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้ นาทีที่สำนักถูกดับทำลาย นั่นก็คือนาทีที่ข้าผู้อาวุโสจะตายไปจากโลกนี้!”

“ยกตัวอย่างเช่นเจ้า…เสี่ยวฉุน ศึกที่เทือกเขาลั่วเฉินในปีนั้น เหตุใดเจ้าถึงได้ย้อนกลับไปช่วยคน? เจ้าไม่รู้หรือว่าเมื่อย้อนกลับไปอาจจะต้องตาย?”

“แล้วยังมีครั้งนี้ หากศัตรูไม่ใช่คนฟ้าสามคน แต่เป็นครึ่งเทพสามคน…เจ้าจะยังคงกลับมา หรือไม่กล้าเข้ามาใกล้ ยอมทนมองให้พวกเราตายจากไป โดยที่ตัวเองหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว?”

ประโยคนี้ทำให้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน คำถามข้อนี้ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดมาก่อน แล้วก็ไม่มีคำตอบด้วย นั่นเป็นเพราะชั่วเวลาที่เขารู้ว่าสำนักมีภัย ในสมองของเขาก็ว่างเปล่าขาวโพลน เขามิอาจทนมองสำนักเดินไปสู่ความพินาศย่อยยับโดยที่ตัวเองยืนเฉยไม่เข้าไปช่วยได้

บัดนี้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด เขาพอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว แม้ความยึดมั่นถือมั่นของเขาคือการได้เป็นอมตะ…แต่บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่เขาห่วงพะวง มีเรื่องมากมายที่เขามิอาจทอดทิ้งได้ ต่อให้เขาไม่อยากรบราฆ่าฟันกับใคร แต่เขากลับไม่มีกำลังพอจะไปเขย่าคลอนกฎแห่งการดำรงอยู่ของโลกใบนี้

ในช่วงเวลาที่ญาติของตัวเอง สำนักของตัวเอง บ้านของตัวเองเผชิญกับวิกฤตอันตราย ต่อให้ความยึดมั่นของเขาจะแรงกล้าแค่ไหน เขาก็ยังจำเป็นต้องเลือก จำเป็นต้องสละ!

และการเลือกนี้…ก็คือเขายินดี!

“ส่วนเรื่องเป็นหรือตายนั้น…” เสียงของบุรพาจารย์ธาราเทพแฝงเร้นไว้ด้วยกาลเวลาอันยาวนาน ราวกับว่าด้วยอายุขัยของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องความเป็นความตาย ในน้ำเสียงก็ได้แผ่กลิ่นอายของสัจธรรมความจริงบางอย่างออกมา

“บางครั้งเจ้ายังมีชีวิตอยู่…แต่ในสายของคนอื่น เจ้าได้ตายไปแล้ว…”

“และบางครั้ง เจ้าตายไปแล้ว ทว่าในใจของคนอื่น เจ้ากลับยังมีชีวิตอยู่…โจวซินฉีจากไปแล้ว ทว่าในใจของซ่างกวานเทียนโย่ว นางกลับคงอยู่ไปชั่วนิจนิรันดร์!

แม้หมาใหญ่สีดำจะตายไป แต่ในใจของเป่ยหันเลี่ย มันจะดำรงอยู่ไปตลอดกาล!”

“ชื่อที่เจ้าเห็นอยู่บนป้ายหลุมศพพวกนั้น เสี่ยวฉุน พวกเขารบตายไปแล้ว แต่ในสำนักสยบธาร ตั้งแต่บนยันล่าง มีใครบ้างที่ลืมพวกเขาได้ลง? ใครบ้างที่กล้าลืมพวกเขา?!” น้ำเสียงของบุรพาจารย์ธาราเทพเด็ดเดี่ยวมีพลัง ปานประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าที่ฟาดลงมายังจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ขณะเดียวกันความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่ชัดเจนก็เหมือนถูกนำมาจัดเรียงกันใหม่ จนเขาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้

สีหน้าของเขาเปลี่ยนมาเป็นเยือกเย็น ดวงตาของเขาฉายแววแห่งการประจักษ์แจ้ง คำพูดเหล่านี้มีความหมายกับเขาอย่างมาก ทำให้เขาเข้าใจความเป็นความตาย เข้าใจการเลือก เข้าใจ…ความยึดมั่นของตัวเอง!

แม้ว่าความเศร้าเสียใจจะยังคงอยู่ แต่อารมณ์เหล่านั้นกลับค่อยๆ ตกตะกอนและถูกแทนที่มาด้วยความเคารพนับถืออย่างลึกล้ำ ความเคารพนี้ยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มเติมเปี่ยมล้นไปทั่วหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุน

ครั้นจึงเงยหน้าขึ้น หันไปมองยังทิศที่ตั้งของสุสาน ก่อนจะประสานมือขึ้นกุมกันแล้วโค้งตัวคารวะต่ำๆ …นิ่งนาน!

“บุรพาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ การคารวะครั้งนี้คือคารวะทุกคนที่สู้รบจนตัวตาย คารวะการเสียสละของพวกเขา คารวะความไม่หวาดกลัวของพวกเขา ที่มากไปกว่านั้นคือคารวะ…วิญญาณที่กล้าหาญของพวกเขา!

เมื่อสำนักยังอยู่ ต่อให้เวลาผ่านไปพันปีหมื่นปี พวกคนที่สู้รบจนตัวตายเหล่านี้…ก็จะยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของศิษย์รุ่นหลังไปตราบนานเท่านั้น!

พวกเขาตายอยู่บนโลกใบนี้ แต่กลับมีชีวิตอยู่ในกาลเวลา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version