บทที่ 880 เสี่ยวฉุน เจ้าดูสินี่อะไร
พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์รักลึกล้ำหวานปานน้ำผึ้งที่อาหญิงน้อยของตัวเองใช้มองป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งเชวียก็ถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ รู้สึกเสียใจที่มาพบอาหญิงน้อยในเวลานี้ หากรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมาด้วย ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางมาเด็ดขาด
ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกนับถือในวิชาการเกี้ยวหญิงของอีกฝ่ายซึ่งต่อให้ตนไม่อยากจะยอมรับแค่ไหน แต่ก็ยังห้ามใจไม่ให้รู้สึกไม่ได้
เขาเป็นพยานในภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสอนจ้าวเทียนเจียวว่าจะจีบศิษย์น้องหญิงของตัวเองอย่างไร แก่นสำคัญของคาถาคำว่าชนะนั่น ซ่งเชวียเองก็ได้ฟังมาอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันตอนอยู่ในแดนทุรกันดาร เขาก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับสตรีธุลีแดง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าในแดนทุรกันดารยังมีเฉินม่านเหยาอยู่อีกคน…
พอนึกถึงว่าตลอดทางมานี้ขอแค่เป็นนักพรตหญิงที่เป็นโฉมสะคราญก็ดูเหมือนจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นกับป๋ายเสี่ยวฉุน… ข้อนี้ทำให้ซ่งเชวียปลงอนิจจังอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ รู้สึกว่าสวรรค์คล้ายจะรักป๋ายเสี่ยวฉุนลำเอียงเป็นพิเศษ…
ใจเขาอยากจะฟ้องให้อาหญิงน้อยของตนรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีเฉินม่านเหยา ยังมีสตรีธุลีแดงรออยู่ที่แดนทุรกันดาร
แต่พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นสายตาเตือนจากป๋ายเสี่ยวฉุน ใจเขาก็สั่นรัว ถอนหายใจยาวๆ อยู่ในหัวใจที่อัดอั้น พอค้นพบว่าความหวานล้ำในดวงตาของอาหญิงตัวเองคล้ายจะเข้มข้นจนถึงขีดสูงสุด เขาก็ให้รู้สึกว่าการที่ตัวเองมาอยู่ในถ้ำของอาหญิงแห่งนี้ ตนคล้ายจะกลายมาเป็นส่วนเกินที่น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงหาเหตุผลรีบร้อนบอกลาจากไป
จนกระทั่งออกมาจากถ้ำของซ่งจวินหว่าน เขาถึงได้รู้สึกหายใจหายคอคล่องหน่อย ขณะที่กำลังส่ายหัวก็มองไปเห็นว่าด้านหน้ามีลูกศิษย์สายธาราโลหิตยืนอยู่ เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้น ความภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นถึงผู้แข็งแกร่งก่อกำเนิดพลันแผ่ออกมาจากร่างของเขา หลังจากได้รับการคารวะจากลูกศิษย์มากมายตลอดทางที่เดินผ่านมา นี่ถึงพอจะทำให้ความมั่นใจในตัวเองของเขากลับคืนมาบางส่วน
และในถ้ำของซ่งจวินหว่านเวลานี้ เมื่อซ่งเชวียจากไปจึงเหลือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งจวินหว่านสองคน ไม่ได้เจอกันนานมาก อีกทั้งเหตุการณ์ในสนามรบก่อนหน้านี้ยังฉุกละหุก ยามนี้มีเวลาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
สายตาที่ซ่งจวินหว่านใช้มองป๋ายเสี่ยวฉุนจึงข่มกลั้นความคิดถึงเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
ยิ่งก่อนหน้านี้ที่นางได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนเล่าเรื่องเกี่ยวกับซ่งเชวีย และยังมีความอันตรายที่อีกฝ่ายต้องเผชิญกว่าจะช่วยซ่งเชวียออกมาได้
ทั้งหมดนี้สำหรับนางแล้ว ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจงใจเพิ่มความดีความชอบให้ตัวเองเกินจริงไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ซ่งเชวียได้กลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งตบะยังเลื่อนสู่ก่อกำเนิด แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้ว
นางช่วยจัดอาภรณ์บางจุดที่ยับยุ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอ่อนโยน ปากก็เอ่ยด้วยถ้อยคำห่วงใย เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เวลาที่นางเอ่ยคำพูดเช่นนี้จึงไม่ค่อยอายเท่าไหร่นัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ต่อหน้าซ่งจวินหว่านก็ยิ่งผ่อนคลาย ดื่มด่ำไปกับการปกป้องเหมือนพี่สาวใหญ่ที่ซ่งจวินหว่านมีให้ คนทั้งสองนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองช่วยซ่งเชวียใหม่อีกครั้งโดยคราวนี้มีการโม้นิดๆ ด้วย
ระหว่างที่พูดเขาจงใจเน้นความดีความชอบของตัวเองอย่างเด่นชัด พูดประมาณว่าหากไม่เป็นเพราะตน คราวนี้ก็คงยากที่ซ่งเชวียจะหนีพ้นหายนะได้ ขณะเดียวกันสายตาก็แอบเหลือบมองประเมินซ่งจวินหว่านไปด้วย
แม้ไม่ได้เจอกันนานหลายปี แต่ซ่งจวินหว่านกลับยังคงสวยเลิศล้ำ ดวงหน้าที่มีการประทินโฉม คิ้วโค้งงอนดุจกิ่งหลิวคล้ายจะทำให้เกิดความงามในลักษณะที่ต่างไปจากเดิม แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ริ้วคลื่นในดวงตาที่ราวกับรอให้คนเดาความหมายนั้นทำเอาหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นเร็วอยู่หลายที
ยิ่งทรวดทรงองค์เอวของซ่งจวินหว่านที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งประณีตบรรจง มองแล้วเผ็ดร้อนอย่างยิ่ง เอวนั่นเล็กบางราวกิ่งหลิว ส่วนสะโพกก็เด้งงอนเสียเกินจริง นี่ทำให้ร่างของนางแผ่กลิ่นอายของความมีเสน่ห์ออกมาตลอดเวลา และเนื่องจากการสวมใส่อาภรณ์อย่างใจกล้าของนางก็ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนแอบกลืนน้ำลายอยู่หลายที ในใจร้องตะโกนดังลั่นว่านางมารร้าย
อดนึกเอาซ่งจวินหว่านมาเปรียบเทียบกับสตรีธุลีแดงไม่ได้ สุดท้ายก็จำต้องทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังว่าในด้านความสมบูรณ์แบบของเรือนกาย ซ่งจวินหว่านชนะไปก้าวหนึ่ง
และเขาก็ค้นพบว่าตัวเองดูเหมือนจะผิดปกติ ครุ่นคิดว่านับตั้งแต่ที่ถูกสตรีธุลีแดงจงใจปลุกปล้ำในป่าของแดนทุรกันดารครั้งนั้น ก็ดูเหมือนว่าตนจะได้เปิดโลกใบใหม่…
มองเห็นสายตาที่แอบมองมาของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใจของซ่งจวินหว่านพลันเต้นแรง แต่ภายนอกกลับยังคงแย้มยิ้มงดงาม ดวงตาคู่สวยยังคงมองมาเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งยังจงใจทำให้ท่าทางของตัวเองดูน่าหลงใหลมากขึ้นกว่าเดิม
เพียงแต่ว่ารออยู่นานมากกลับพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงเอาแต่แอบมองโดยไม่มีทีท่าจะทำอย่างอื่น นี่ทำให้ซ่งจวินหว่านแอบหงุดหงิดใจ
นัยน์ตาจึงเริ่มมีความโมโหวาบผ่าน อารมณ์เร่าร้อนก็เจือจางลงไป แถมสีหน้ายังมีความเย็นชาปรากฏ ครั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“หากไม่มีเรื่องอะไรอีก ข้าจะนั่งเข้าฌาน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็อึ้งไปครู่ คิดกับตัวเองว่าก่อนหน้านี้ยังดีๆ ยังดูกระตือรือร้นอยู่เลย แต่จู่ๆ กลับอารมณ์เปลี่ยนซะงั้น นี่ทำให้เขาแปลกใจมาก ขณะเดียวกันก็คิดได้ว่าหากจะถามเรื่องของโหวเสี่ยวเม่ยในเวลานี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก…
ดังนั้นจึงกะพริบตาปริบๆ ลองถามหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค
“หา? ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะนะ?”
“ไม่ส่ง!” ซ่งจวินหว่านได้ยินเช่นนี้ ความโมโหไม่มีที่มาในใจก็ยิ่งดุเดือด หลังจากค้อนขวับใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปทีหนึ่งก็แค่นเสียงหึในลำคออย่างไม่พอใจ
คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนงงจริงๆ แล้ว เขาถอนหายใจ รู้สึกว่าผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดนัก สตรีธุลีแดงเป็นเช่นนี้ ซ่งจวินหว่านก็ไม่ต่างกัน
“หรือว่าผู้หญิงอายุมากเป็นอย่างนี้กันทุกคน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนี้ของตัวเองอย่างยิ่ง ในใจให้คิดถึงโหวเสี่ยวเม่ยอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เขารู้สึกว่าโหวเสี่ยวเม่ยเป็นเด็กดีว่าง่ายกว่ากันเยอะ
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ ล่ะนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำจมูก ตอนที่เขาลุกขึ้นยืน ซ่งจวินหว่านกลับหลับตาไม่สนใจเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกวางตัวไม่ถูก ในใจก็เริ่มโกรธเข้าบ้างแล้วเหมือนกัน จึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งหมายจะจากไป แต่พอเขาเดินไปได้ประมาณเจ็ดแปดก้าว ด้านหลังก็มีเสียงของซ่งจวินหว่านดังลอยมา
“ครั้งนี้จะอยู่ในสำนักนานแค่ไหน?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รอให้จัดการเรื่องของสำนักเสร็จเมื่อไหร่จะไปสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสักรอบ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พื้นอารมณ์ไม่ดี รู้สึกว่าซ่งจวินหว่านผู้นี้แปลกคน พอตอบรับหนึ่งประโยคเสร็จก็เดินไปข้างหน้าต่อ
ซ่งจวินหว่านได้ยินเช่นนั้นจึงลืมตาขึ้นมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเห็นว่าเขาจะจากไปจริงๆ อีกทั้งได้ฟังคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนนางก็แอบรู้สึกว่าด้วยตบะและพรสวรรค์ของอีกฝ่าย แม้สำนักสยบธารจะเป็นบ้านของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทางอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล เกรงว่าหากจากไปเมื่อไหร่ ครั้งหน้ากว่าจะกลับมา…ก็คงผ่านไปอีกนานมากๆ
คิดมาถึงตรงนี้ คิดถึงความรู้สึกถึงระยะห่างที่เกิดขึ้นในใจตอนนางอยู่ในสนามรบ ส่วนลึกในดวงตาของซ่งจวินหว่านก็เผยแววดิ้นรน นางแอบรู้สึกว่าหากครั้งนี้ตนไม่คว้าอีกฝ่ายเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นบางที…เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ระยะห่างระหว่างกันก็คงกว้างออกไปอีก ความรู้สึกไม่เพียงแต่จะเจือจางลง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็จะค่อยๆ กลายมาเป็นความทรงจำไปด้วย
มรสุมที่พัดกระหน่ำสำนักตลอดหลายปีมานี้ทำให้นางได้เห็นการจากตายจากเป็นที่เกิดขึ้นหลายครั้ง นางไม่รู้ว่าตัวเองจะฝ่าขั้นรวมโอสถไปสู่ก่อกำเนิดได้หรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งในอนาคตตนจะตายไปในสนามรบหรือเปล่า
นางรู้เพียงแค่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเพียงคนเดียวที่ต่อให้ในอดีตจะปั่นหัวยั่วเย้าตน แต่กลับไม่ทำให้ตนรู้สึกอคติ อีกทั้งเรื่องราวหลายครั้งหลายคราที่เกิดขึ้นก็ทำให้เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนตราตรึงลงไปในส่วนลึกของจิตใจนางนานแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ความดิ้นรนของซ่งจวินหว่านก็กลายมาเป็นความเด็ดเดี่ยว เดิมทีนางก็คือนางมารแห่งสำนักโลหิตซึ่งไม่ใช่สำนักที่ถูกทำนองคลองธรรมอย่างสำนักธาราเทพอยู่แล้ว
ยามนี้เมื่อตัดสินใจได้ ซ่งจวินหว่านก็หมดสิ้นซึ่งความลังเลอีกต่อไป ดวงตาของนางค่อยๆ ฉายประกายเย้ายวนล่อลวงใจคน ทั้งยังยืดแขนบิดเอว แสดงท่วงท่าที่งดงามออกมาจนหมด น้ำเสียงที่มีความเกียจคร้านและยั่วยวนซึ่งทำให้คนฟังใจสั่นดังออกมาแผ่วๆ
“เสี่ยวฉุน เจ้ามานี่สิ ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู”
เสียงนี้ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนมีมือเล็กๆ มาคว้าหัวใจของเขาเอาไว้ ทำให้เขาชาไปทั้งร่าง แต่ปากกลับแค่นเสียงเย็น
“ไม่ดู!” แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ฝีเท้าของเขากลับชะงัก หัวก็หันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ และมองปราดเดียวก็เห็นท่วงท่าบิดขี้เกียจยั่วใจคนของซ่งจวินหว่าน ในใจของเขาพลันเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง กู่ร้องว่านางมารร้ายอีกครั้งพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ
“เชื่อข้าสิ ทำไมไม่กล้ามาใกล้ๆ ล่ะ กลัวว่าข้าจะกินเจ้าหรือไง” ซ่งจวินหว่านกวักมือเรียกป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาคู่งามเปล่งประกายวาววับ
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำอีกครั้ง แต่ก็ยังแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ
“ข้าน่ะรึจะกลัวเจ้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา เดินปรี่เข้าไปหาซ่งจวินหว่าน ก่อนจะหยุดอยู่ข้างกายนางแล้วเชิดคางขึ้น พูดด้วยเสียงอันดัง
“ว่ามาสิ มีอะไรจะให้ข้าดู”
ซ่งจวินหว่านปิดปากหัวเราะ คลื่นเสน่ห์หาในดวงตาที่เด่นชัดเป็นราวกับตะขอคู่หนึ่งที่พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้า ลมหายใจก็หอบรัวอย่างมิอาจควบคุม และเวลานี้เอง ซ่งจวินหว่านก็ตบถุงเก็บของหนึ่งที ทันใดนั้นยาเม็ดหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ระหว่างสองนิ้วของนาง
“เจ้าดูสิ นี่คืออะไร?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขายังนึกว่าซ่งจวินหว่านมีอะไรดีๆ จะให้ตัวเองดู…แต่นี่กลับเป็นแค่ยาเม็ดหนึ่งเท่านั้น ขณะที่พึมพำอยู่ในใจ สายตาก็เหลือบไปมองยาเม็ดนั้นด้วย อาศัยพรสวรรค์ด้านโอสถที่ล้ำเลิศของเขา บวกกับที่ยานั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีจึงจำมันได้ในทันที
“นี่มันยากระสันซ่านนี่นา เจ้ามีมันได้ยัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หอบหายใจดังเฮือก ชั่ววินาทีนั้นเขาพลันไพล่นึกไปถึงสตรีธุลีแดง…
ทว่าเวลานี้เอง…ซ่งจวินหว่านที่ใบหน้าแดงก่ำ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความอาจหาญก็ได้ยกมือขวาขึ้นช้าๆ แล้ว…
บีบ!