Skip to content

A Will Eternal 884

บทที่ 884 เมฆทะมึนปกคลุมอีกครั้ง

เวลานี้เป็นยามสนธยา ลูกศิษย์มากมายในสำนักสยบธารยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานซ่อมแซมสำนัก ทอดสายตามองไป การซ่อมบำรุงในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เทือกเขาสี่สายของสำนักสยบธารฟื้นคืนกลับมาได้แล้วเกินครึ่ง หอเรือนสิ่งปลูกสร้างบางส่วนก็กลับมาตั้งตระหง่าน มองไกลๆ แม้จะยังมองเห็นซากปรักหักพังเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังไม่ถูกจัดการ แต่ส่วนใหญ่ก็คืนสภาพกลับมาดีดังเดิมถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว

ยิ่งความกล้าหาญของลูกศิษย์สำนักสยบธารที่พอผ่านศึกก่อนหน้ามาจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังมีเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังลอยมาตลอดเวลา ทำให้สำนักสยบธารเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาสดใส

อีกทั้งหลังจากผ่านศึกนั้นมาได้ สี่สายของสำนักสยบธารก็ยิ่งกลมเกลียวกันมากว่าเดิม ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันบรรยากาศอย่างใหม่ปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัด

ส่วนพวกบุรพาจารย์ในสำนักที่ตอนนี้เหมือนจะมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ทว่าในใจของพวกเขากลับคล้ายมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะวางใจลงได้ หลายวันที่ผ่านมานี้พวกเขาคอยติดต่อไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็กชายคนฟ้าของแดนฟ้าผู้นั้นที่พวกเขาอยากพูดคุยด้วยเป็นพิเศษ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ตอบรับอะไรกลับมาแม้แต่ครึ่งคำ

นี่จึงทำให้ในใจของพวกบุรพาจารย์ธาราเทพพะวงถึงผลได้ผลเสียอยู่ตลอดว่า ทว่ากลับไม่อาจเปิดเผยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะสำนักสยบธารคงมิอาจเผชิญกับหายนะครั้งใหม่ได้ไหวอีกแล้ว

“จะเอาแต่ให้เสี่ยวฉุนแบกรับทุกแรงกดดันไว้เพียงลำพังไม่ได้!” ในตำหนักใหญ่ของสำนักสยบธารเวลานี้ บุรพาจารย์ของสี่สายและยังมีพวกนักพรตก่อกำเนิดหลายคนต่างก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผู้นำก็คือบุรพาจารย์ธาราเทพและบุรพาจารย์ธาราโลหิต

“หากเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ …พวกเราก็ไปจากแม่น้ำตอนกลาง กลับไปแม่น้ำตอนล่างก็ยังอยู่ได้เหมือนกัน!” หลังจากได้ยินคำพูดของบุรพาจารย์ธาราเทพ บุรพาจารย์ธาราโลหิตที่นิ่งคิดไปพักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบเครือ

หากมีหนทางอย่างอื่น พวกเขาก็ไม่อยากกลับไปแม่น้ำตอนกลาง ทว่าวันนี้ท่าทีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราคลุมเครือ นี่จึงทำให้พวกเขาอดที่จะคิดไปถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไม่ได้

เมื่อเสียงของบุรพาจารย์ธาราโลหิตดังกังวาน ทุกคนที่อยู่ในตำหนักก็พากันเงียบเสียงลง ตำหนักใหญ่จึงเงียบสงัดตามไปด้วย จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยจากเหล่าลูกศิษย์ที่กำลังซ่อมสำนักอยู่ข้างนอกดังลอยมาแว่วๆ

ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพวกลูกศิษย์ที่อยู่ข้างนอก สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาเหมือนเกิดใหม่ของสำนัก สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากสถานการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป สำหรับสำนักสยบธารแล้วจะเป็นเหมือนการเปลี่ยนกระดูกมาจุติใหม่ แต่หากสำนักสยบธารเลือกจะไปจากแม่น้ำตอนกลาง ถ้าเช่นนั้นก็อย่าว่าแต่พวกเขาเลย พวกลูกศิษย์ทุกคนก็คงถูกโจมตีจิตใจอย่างแสนสาหัสไม่ต่างกัน

บุรพาจารย์ธาราเทพถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเงาร่างสีดำเส้นหนึ่งก็พลันพุ่งพรวดเข้ามาปรากฏตัวในตำหนัก นั่นก็คือลิงของสำนักธาราเทพ และแทบจะขณะเดียวกันกับที่มันมาถึง เงาร่างสีขาวก็โผล่พรวดตามมาติดๆ คือกระต่ายของสำนักธาราโลหิต!

ชั่วขณะที่พวกมันมาถึงก็พากันหวีดร้องเสียงแหลมไล่ๆ กันจนแทบฟังไม่ออกว่าใครเป็นคนพูดก่อน

“คนฟ้ามาโจมตี!!”

“รีบเปิดค่ายกลเร็วเข้า!!”

เสียงของลิงและกระต่ายต่างก็สั่นสะท้าน วินาทีที่ดังก้องไปในตำหนัก สีหน้าของบุรพาจารย์ธาราเทพก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างบ้าคลั่ง เขารีบทำมุทราเปิดใช้ค่ายลอย่างไม่มัวรีรอ ส่วนบุรพาจารย์ธาราโลหิตและบุรพาจารย์ของอีกสองสายก็ทำเช่นเดียวกัน และเวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา เสียงกึกก้องก็ดังสนั่นไปทั้งชั้นฟ้า เทือกเขาสี่สายของสำนักสยบธารมีค่ายกลชั้นหนึ่งปกคลุมไปทั่วสี่ทิศ

ขณะเดียวกันต้นมะเดื่อฟ้าที่ถูกช่วยให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งก็พลันสั่นเยือก ใบไม้ทุกใบมีแสงอักขระเปล่งวูบวาบ เพียงครู่เดียวค่ายกลใหญ่ของสำนักที่มีต้นมะเดื่อฟ้าเป็นจุดศูนย์กลางก็ระเบิดเสียงดังครืนครั่น ก่อนที่ม่านแสงสีเขียวชั้นหนึ่งจะทับซ้อนกันขึ้นไปปกคลุมสำนักสยบธาร

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักเห็นเข้าก็พากันใจแกว่ง พวกเขายังไม่ทันตั้งตัวได้ทัน ค่ายกลก็เปิดใช้แล้ว และ…ที่สำคัญที่สุดก็คือบนท้องฟ้าเวลานี้ก็มีเสียงฟ้าร้องครืนครั่นมาพร้อมกับเงาร่างห้าเงาที่นำหน้ามาสามตามหลังมาสองซึ่งเยื้องกรายมาถึงในชั่วพริบตา!

นั่นก็คือคนฟ้าอย่างเฉินเห้อเทียน หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียน ด้านหลังของพวกเขาก็คือบุรพาจารย์ของสำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา!

ชั่วขณะที่คนฟ้าห้าคนปรากฏตัวพร้อมกัน ปณิธานของพวกเขาก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน เสียงฟ้าร้องจึงยิ่งดังกระหึ่ม ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากลิ้งซัดไล่หลังกันอย่างบ้าคลั่ง อึกทึกกังวานไปแปดทิศ!

ราวกับว่าปณิธานของพวกเขาได้เข้ามาแทนที่เจตนารมณ์แห่งฟ้า แผ่ขยายไปทั่วสี่ทิศเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับต้องการจะปิดผนึกกักกันพื้นที่แห่งนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็ตัดแบ่งพื้นที่ส่วนนี้ให้แยกออกมาจากโลก!

วินาทีที่มองเห็นเงาร่างทั้งห้าบนท้องฟ้า ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารต่างก็อ้าปากหอบหายใจดังเฮือก หน้าซีดเผือด หัวใจบังเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมกระหน่ำ!

“บุรพาจารย์สำนักธารมรรคา!”

“นั่นมันบุรพาจารย์สำนักธารดารา!”

“อีกสามคนที่เหลือ ไม่เคยเห็นมาก่อน…แต่ดูเหมือนว่าปราณของพวกเขาจะน่ากลัวยิ่งกว่าบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาเสียอีก!!”

ลมหายใจของซ่างกวานเทียนโย่วติดค้างอยู่ในลำคอ เป่ยหันเลี่ยตัวสั่นเทิ้ม ต่อให้เป็นซ่งเชวียเองเวลานี้ก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกซ่งจวินหว่านเลย

นั่นเป็นเพราะแรงกดดันจากเงาร่างทั้งห้าบนท้องฟ้ามีมากเกินไป ต่อให้จะมีค่ายกลกั้นขวาง ทว่าจิตวิญญาณของทุกคนก็ยังสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนบังเกิดเป็นแรงบีบคั้นหนักอึ้ง

อานุภาพสยบที่มาจากคนฟ้าทั้งห้าปานประหนึ่งภูเขาใหญ่ห้าลูกที่ตรงเข้ากดทับหัวใจของลูกศิษย์ทุกคน ทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก ทำให้พวกเขาบังเกิดความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ และขณะที่ลูกศิษย์ของสำนักสยบธารฮือฮาแตกตื่น คนนับไม่ถ้วนเครียดขรึม รู้สึกได้ว่าท่าไม่ดีเหมือนหายนะจะมาเยือนอีกครั้ง

บุรพาจารย์ธาราเทพและบุรพาจารย์ธาราโลหิตที่เป็นครึ่งก้าวคนฟ้าซึ่งถือว่าตบะสูงสุดในสำนักสยบธารหากไม่นับรวมป๋ายเสี่ยวฉุน ยามนี้พวกเขาต่างก็พากันบินออกมาหยุดอยู่ริมขอบด้านในของค่ายกล มองไปยังคนฟ้าทั้งห้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

ลูกศิษย์คนอื่นไม่รู้จักพวกเฉินเห้อเทียน แต่พวกเขาสองคนกลับเคยเจออีกฝ่ายมาก่อน ยามนี้เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจน หัวใจของคนทั้งสองก็พลันหนักอึ้ง ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น จิตใจสั่นสะท้านรุนแรงอย่างห้ามไม่ได้

“คารวะบุรพาจารย์เฉิน บุรพาจารย์ป๋าย บุรพาจารย์หลี่ ไม่ทราบว่าทุกท่านจะมาเยือน ขอพวกท่านโปรดอภัย!”

บุรพาจารย์ธาราเทพสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วข่มความกระวนกระวายไม่เป็นสุขทุกอย่างไว้ในใจ รีบกุมมือคารวะอย่างนอบน้อม

บุรพาจารย์ธาราโลหิตที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังอกสั่นขวัญแขวนก็รีบคารวะเช่นกัน

พอเห็นว่าบุรพาจารย์ทั้งสองของตัวเองต่างก็มีท่าทีพินอบพิเทาขนาดนี้ ความตึงเครียดของลูกศิษย์สำนักสยบธารก็ยิ่งเข้มข้น ทุกคนต่างจับตามองด้วยสายตาร้อนรุ่มวุ่นวายใจ

เมื่อได้รับการคารวะจากคนทั้งสองของสายธาราเทพและธาราโลหิต คนฟ้าสามคนอย่างพวกเฉินเห้อเทียนกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง เวลานี้สายตาคนทั้งสามกวาดลงไปบนค่ายกลของสำนักสยบธาร ก่อนมุมปากจะยกยิ้มเย็นชา

“สำนักสยบธารนี่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วยิ่งนัก”

“จะอย่างไรป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน สามารถสัมผัสได้ถึงการมาของพวกเราก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล”

“ไม่เป็นไร อย่างมากที่สุดก็แค่ต้องลงมือนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น” คนทั้งสามมองเมินคำพูดและท่าทีของบุรพาจารย์สายธาราเทพและธาราโลหิตไปอย่างสิ้นเชิง นี่จึงยิ่งทำให้ลมหายใจของบุรพาจารย์ทั้งสองแห่งสำนักสยบธารหอบหนักมากกว่าเดิม และในดวงตาของพวกเขาก็มีเส้นเลือดฝอยที่เกิดจากความเจ็บแค้นปรากฏขึ้นมา

ลูกศิษย์สำนักสยบธารที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งใจสั่น แม้แต่ร่างกายก็เริ่มสั่นเทา ความรู้สึกสิ้นหวังค่อยๆ เอ่อขึ้นมาในหัวใจของทุกคน ต่อให้มีป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายที่บุกมาไม่ใช่แค่คนฟ้าสามคนเท่านั้น กลับมากถึงห้าคน!!

บุรพาจารย์ธาราเทพกัดฟันกรอด เปิดปากพูดต่อไปว่า

“บุรพาจารย์ทั้งสาม พวกท่าน…”

“หุบปาก!” ยังไม่ทันรอให้บุรพาจารย์ธาราเทพเอ่ยจบ หลี่เสี่ยนเต้าก็พลันแค่นเสียงเย็น มือขวาโบกหนึ่งครั้งก็มีตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ตราฝ่ามือนั้นใหญ่ร้อยจั้ง พอเผยกายก็ซัดตูมเข้าใส่ค่ายกลใหญ่ของสำนักสยบธารอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

เสียงดังกัมปนาทฟ้าดินสะเทือนมาพร้อมกับตราฝ่ามือที่กระแทกลงมา ม่านแสงค่ายกลของสำนักพลันระเบิดแสงเจิดจ้าแสบตา พอตราฝ่ามือซัดมาโดน ค่ายกลก็ยุบยวบเป็นรอยเว้า อีกทั้งยังอัดจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนค่ายกลเกิดรอยปริร้าว

ทว่าสุดท้ายกลับต้านทานเอาไว้ได้สำเร็จ แต่จู่ๆ ตราฝ่ามือยักษ์นั่นก็ระเบิดตัวเองออกกลายเป็นแรงโจมตีดังตูมตาม เป็นเหตุให้ค่ายกลของสำนักแตกสลายลงไปชั้นหนึ่ง

เมื่อค่ายกลชั้นแรกถูกทำลายลง เทือกเขาสี่สายของสำนักสยบธารก็พลันโยกไหว เศษหินเล็กๆ น้อยๆ จำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมา เทือกเขาที่เพิ่งจะซ่อมได้ไม่นานเกิดแววว่าจะถล่มลงมาอีกครั้ง

“บุรพาจารย์ทั้งสาม สำนักสยบธารของพวกเราทำผิดตรงไหนกันแน่ พวกเจ้าถึงคิดจะดับทำลายพวกเราให้ได้!!” บุรพาจารย์ธาราเทพที่เห็นภาพนี้ สีเลือดในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้น เขาแผดเสียงตวาดใส่คนฟ้าอย่างพวกเฉินเห้อเทียนเหมือนคนเสียสติ

ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ของสำนักสยบธารเองก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ละคนพากันร้องคำรามเจ็บแค้น

“สำนักสยบธารทำผิดอะไรกันแน่!!”

“ทำไมจะต้องมาทำลายพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เลิกไม่ราเช่นนี้!!”

เสียงทุกคนที่ดังรวมกันกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่ระเบิดกึกก้องไปทั่วชั้นฟ้า เฉินเห้อเทียนแค่นเสียงเย็นหยามหยัน ยังคงไม่สนใจสำนักสยบธาร แต่กวาดสายตาไปมองบนร่างของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา

“ครึ่งก้านธูป ทำลายค่ายกลนี้ให้แตก หาไม่แล้ว…พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องเป็นคนฟ้าอีกต่อไป”

ร่างของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราสั่นเทิ้ม ดวงตาพลันแดงก่ำ รีบโคจรตบะทันใด พวกเขาไม่คิดว่าคำพูดของเฉินเห้อเทียนเป็นเพียงแค่คำขู่ เพราะแต่ไรไหนมาอีกฝ่ายก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราว่าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเขา หากใครกล้าบังอาจไม่แยแส ถ้าเช่นนั้นผลสุดท้ายตนเองก็ต้องพบจุดจบที่เลวร้าย

คิดมาถึงตรงนี้บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราต่างก็ร้องคำรามดังลั่น ครั้นจึงพุ่งเข้าใส่ค่ายกลของสำนักสยบธารอย่างพร้อมทุ่มสุดชีวิต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version