Skip to content

A Will Eternal 890

บทที่ 890 แข็งแกร่ง

นี่เป็นครั้งที่สามในที่ชีวิต ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือสังหารนักพรตคนฟ้า!!

การสังหารทั้งสามครั้ง รวดเร็วคล่องแคล่วยิ่งขึ้นในทุกๆ ครั้ง สยบขวัญกำราบใจคนรุนแรงยิ่งขึ้นในทุกๆ คราโดยเฉพาะครั้งนี้ที่อยู่ภายใต้การลงมือของพวกเฉินเห้อเทียนสามคน คนทั้งสามหวังโยนเหยื่อออกมาล่อ

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว พุ่งเข้าเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมหาญ แบกรับวิชาอภินิหารของพวกเฉินเห้อเทียนสามคน กระโจนเข้าปลิดชีวิตบุรพาจารย์สำนักธารดาราต่อหน้าต่อตาพวกเขาสามคน!

ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเฉินเห้อเทียนใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง แต่จะอย่างไรซะพวกเขาก็ผ่านสมรภูมิรบมาเป็นร้อยๆ ครั้ง ยามนี้จึงรีบเพิ่มพลังปลุกเสกให้คาถาอาคมของตัวเองสำแดงอานุภาพสูงถึงขีดสุดอย่างไม่มัวรีรอ พริบตาเดียวใบหน้าดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนบนหมัดโลหิตที่เฉินเห้อเทียนร่ายออกมาก็พร้อมใจกันร้องคำราม หมัดโลหิตจึงยิ่งขยายใหญ่พร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงดังตูมตามสนั่นหวั่นไหว

และยังมีตาข่ายสายฟ้านับหมื่นชั้นที่อยู่ด้านบนซึ่งคล้ายจะกรีดผ่าความว่างเปล่า หุบรวมมาจากสี่ด้านแปดทิศตรงเข้ามาปิดผนึกทุกอย่างที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้!

ในพื้นที่แห่งนี้ กระดานหมากรุกฟ้าดินเด่นชัดมากที่สุด ขุนพลแม่ทัพที่อยู่ด้านในนั้นจัดแถวเรียงกันตั้งกระบวนทัพบุกจู่โจมป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยพลานุภาพพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร

สามารถพูดได้ว่าใต้ฟ้าบนดิน หน้าหลังซ้ายขวาล้วนตลบอบอวลไปด้วยเวทอภินิหารของพวกเฉินเห้อเทียนสามคน ก่อกลายมาเป็นฉากล้อมสังหาร!

พวกเขายอมรับว่าครั้งนี้ตัวเองประมาทเกินไปจริงๆ

คาดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ใช่คนฟ้า ความเลินเล่อครั้งนี้ทำให้บุรพาจารย์สำนักธารมรรคาและสำนักธารดาราต้องมาตาย นี่ก็คือความเสียหายอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา แต่เมื่อเรื่องลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้ว หากศึกนี้พวกเขามิอาจทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ความเสียหายของพวกเขาก็จะหนักหนาถึงขีดสุด แต่หากพวกเขาสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนได้ อย่างน้อยก็ยังพอจะมีหน้าไปอธิบายให้เบื้องบนฟัง

หาไม่แล้ว พวกเขาจะไม่เพียงแต่สูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นคนฟ้าไป เกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาก็ต้องถูกเหยียบขยี้ ไม่เหลือความน่าเกรงขามใดๆ ดำรงอยู่อีก และพอจะจินตนาการได้เลยว่า หากพวกเขากำราบป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยู่ ถ้าเช่นนั้นอนาคตของพวกเขาที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราต้องเต็มไปด้วยความยากลำบากอย่างแน่นอน

เพราะอย่างไรซะ…ต่อให้เป็นท่านผู้นั้นของศาลาเลือดเหล็กเอง

หากรู้ว่ามีคนฟ้าที่มีพลังการต่อสู้แกร่งกร้าวขนาดนี้ อีกฝ่ายก็ต้องหวั่นไหวอยากหาทางผูกมัดใจป๋ายเสี่ยวฉุนไปเป็นพวกแน่นอน

“สมควรตายนัก!!”

“หากรู้แต่แรกว่าคนผู้นี้จัดการได้ยากขนาดนี้…พวกเราก็คงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่!”

สีหน้าของเฉินเห้อเทียนสามคนเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความซับซ้อนในอารมณ์ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ระหว่างที่กัดฟัน ไอสังหารก็พลันเพิ่มพรวดพราดถึงขีดสุด ในเมื่อแตกหักกันไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น…ก็มีเพียงสังหารอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้นถึงจะคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้ได้!

ขณะที่เสียงกัมปนาทสะเทือนแก้วหูดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันขวับกลับมา เขาถึงขั้นไม่มีเวลามาเก็บวิญญาณคนฟ้าของบุรพาจารย์สำนักธารดารา เวลานี้รอบกายมีแต่เวทอภินิหารที่พุ่งเข้ามาประหัตประหาร ซึ่งสำหรับเขาแล้วพวกมันก็มีอานุภาพน่าครั่นคร้ามมากเช่นกัน!

ต่อให้เขาจะเป็นคนฟ้าวิถีฟ้า แต่จะอย่างไรซะที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ก็เป็นถึงนักพรตคนฟ้าช่วงกลางสามท่าน เขาจึงมิอาจประมาทได้แม้แต่นิดเดียว เวลานี้สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเคร่งเครียด ประกายดุร้ายในดวงตายิ่งเข้มข้น ในสมองของเขาไม่มีความคิดใดๆ ผุดขึ้นมาทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนอาศัยเพียงสัญชาตญาณ เมื่อก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นไอความเย็นพลันแผ่อวล เงาน้ำแข็งเก้าร่างถูกจำแลงขึ้นอีกครั้ง

เงาทั้งเก้าแค่ปรากฏตัวก็กระโจนเข้าใส่วิชาอภินิหารที่เยื้องกรายมาใกล้ เปิดฉากต้านทานสุดกำลัง

อาคมสองฝ่ายปะทะกันจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แค่สัมผัสกับวิชาอภินิหารของคนฟ้าสามคนอย่างพวกเฉินเห้อเทียน เงาน้ำแข็งทั้งเก้าก็แตกทลายลงไปอีกครั้ง ทว่าการพังทลายครั้งนี้กลับทำให้หมัดโลหิตมีรอยปริแตกปรากฏขึ้นมาได้หลายเส้น ส่วนตาข่ายสายฟ้าก็เกิดเป็นรูโหว่ แม้แต่กระดานหมากรุกฟ้าดินก็ยังไม่ต่างกัน

เพียงแต่ว่าความเสียหายเหล่านี้เล็กน้อยจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง

หลังจากอาคมสามสายใหญ่ทำลายเงาน้ำแข็งให้ย่อยยับก็ยังพุ่งตรงเข้ามาหมายปลิดชีพป๋ายเสี่ยวฉุนดังเดิม แต่ถึงกระนั้นการทำลายเงาน้ำแข็งก็ทำให้คาถาอาคมจากคนทั้งสามหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นี่จึงเป็นการถ่วงเวลาที่มากพอสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาเวลานี้เคลื่อนที่รวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงภาพติดตา มือทั้งคู่ทำมุทราอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีพลังของคนฟ้าระเบิดตูมตามออกมาจากในร่างของเขา

“ปราณม่วงแปลงกระถาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเบาๆ พริบตาเดียวแสงสีม่วงที่ผุดออกมาจากรอบกายเขาก็แผ่อวลไปทั่วฟ้า ก่อนที่กระถางสีม่วงขนาดใหญ่ยักษ์ใบหนึ่งจะเผยกายออกมาจากความว่างเปล่า ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ข้างใน และเพียงแค่ครู่เดียวกระถางมายาก็กลายมาเป็นกระถางจริง!

เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่แค่กระถางม่วงใบเดียวเท่านั้น แต่มีมากถึงหนึ่งร้อยใบซึ่งทับซ้อนเข้าด้วยกันกลายมาเป็นการป้องกันของม่านแสงสีม่วงหนึ่งร้อยชั้น แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่กระถางม่วงร้อยใบทับซ้อนรวมเป็นหนึ่ง หมัดโลหิตของเฉินเห้อเทียน ตาข่ายสายฟ้านับหมื่นของป๋ายเจิ้นเทียน และแม่ทัพนายกองแห่งสรวงสวรรค์บนกระดานหมากรุกฟ้าดินของหลี่เสี่ยนเต้าก็กระแทกเข้าชนลงบนกระถางใหญ่สีม่วงของป๋ายเสี่ยวฉุน!

ตูมๆๆ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กระถางใหญ่สีม่วงร้อยใบที่อยู่นอกกายแตกทลายลงไปทีละชั้น ท่ามกลางเสียงดังเกริกก้องอึงอล กระถางม่วงทั้งร้อยใบก็ระเบิดแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งหมดจนลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดคลื่นกระเพื่อมรุนแรง จำต้องรีบถอยกรูดออกไป แต่ถึงกระนั้นคาถาอาคมทั้งสามสายที่พอถูกคาถาคนขุนเขาและเงาน้ำแข็งทั้งเก้าลดทอนอานุภาพติดต่อกัน เวลานี้เมื่อเจอกับกระถางม่วงร้อยใบจึงถูกเผาผลาญพลังอำนาจอีกครั้ง

หมัดโลหิตของเฉินเห้อเทียนมีรอยแตกปรากฏมากกว่าเดิม นิ้วหนึ่งในนั้นถึงกับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นหมัดพิการ ตาข่ายสายฟ้าก็ไม่ต่างกัน ไม่ได้มีนับหมื่นชั้นอีกต่อไป แต่กลับถูกทำลายไปเกือบสามพันชั้นในคราวเดียว ส่วนกระดานหมากรุกฟ้าดินที่พอการโจมตีเมื่อครู่นี้จบลง ร่างของทหารฟ้าห้านายที่อยู่ด้านในก็ได้สลายวับไปราวกับกลุ่มควัน ต่อให้เป็นพวกแม่ทัพสวรรค์ก็ยังเสียหายบาดเจ็บในระดับที่ต่างกันออกไป

ทว่าในสายตาคนนอกที่จับตามองภาพเหตุการณ์นี้ พลังอำนาจของวิชาอภินิหารทั้งสามก็ยังคงกร้าวแกร่งดุดันอยู่ดี พวกมันขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งพร้อมเสียงดังตูมตามไปตลอดทาง ราวกับว่าหากฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้จะไม่ยอมรามือเด็ดขาด!

หากเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตคนฟ้า เขาก็ไม่มีทางยืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้ เกรงว่าคงขุดเอาทุกวิธีการมาใช้จนหมดสิ้น และสุดท้ายคงจำต้องร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญเพื่อสู้ตายให้รู้ดำรู้แดงกันไป ซึ่งผลลัพธ์จากการสู้ตายเช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นความพ่ายแพ้แน่นอน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ดวงตาของเขาโชนแสงลุกเรือง ตอนนี้เวทอภินิหารสามสายตรงเข้ามาจู่โจมอีกครั้ง ดวงตาของเขามีประกายแสงประหลาดลุกวาบ มือทั้งคู่ยกขึ้นทันใด ข้างหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า ข้างหนึ่งกดลงบนพื้นดิน เมื่อมือทั้งคู่โบกสะบัด แผ่นฟ้าและผืนดินก็คล้ายถูกฉีกกระชากออกจากกัน พร้อมๆ กับที่ปากของเขาคำรามกร้าวด้วยเสียงดังราวฟ้าคำรณ

“เขตแดน!”

“ธารา!!”

แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยออกมา ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามที่เหมือนดังมาจากนอกโลกก็พลันกึกก้องอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ ทั้งยังมีไอน้ำเข้มข้นแผ่ครืนครั่นไปแปดทิศ เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตาไอน้ำก็ปกคลุมทั่วพื้นที่รัศมีที่กว้างไกลราวไร้ที่สิ้นสุด!!

ขอบเขตนี้กว้างขวางยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่านัก ปานประหนึ่งโลกทั้งใบได้อบอวลไปด้วยไอน้ำจนฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมกระโชกแรงพัดก้อนเมฆให้เคลื่อนย้อนกลับ ขณะเดียวกันยอดเขาโค้งงอหลายลูกที่แจ่มชัดยิ่งกว่าครั้งใดก็ผุดขึ้นฟ้ามาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และเมื่อยอดเขาทั้งห้าทะยานสู่ท้องฟ้าก็พลันกลายมาเป็นกรงเล็บ เผยให้เห็นเป็น…เท้าขนาดใหญ่ยักษ์จนมิอาจวัดค่าคำนวณ ใหญ่มหึมาจนเหมือนจะปกคลุมแผ่นฟ้าทั้งผืน!

เท้ายักษ์นี้พุ่งดิ่งลงมากระทืบใส่วิชาอภินิหารทั้งสามของพวกเฉินเห้อเทียนทันควัน ภาพที่เงาสีดำกลบทับลงมาดั่งฟ้าถล่มนี้ทำให้พวกเฉินเห้อเทียนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ทั้งยังถึงขั้นร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ!

“นี่มันคืออะไร!!”

ยังไม่ทันรอให้พวกเขาตั้งตัวได้ทัน เท้ายักษ์ก็เยื้องกรายลงมาพร้อมเสียงดังครืนครั่น อีกทั้งครั้งนี้ยังเห็นแผ่นเกล็ดสีดำที่อยู่บนเท้านั่นได้อย่างชัดเจน ก่อนที่มันจะกระทืบลงบนวิชาอภินิหารของพวกเฉินเห้อเทียนอย่างจัง

หมัดโลหิตทมิฬแตกทลายราวลำไม้ไผ่ที่ถูกมีดผ่าหน้า สามนิ้วแตกกระจาย เหลือเพียงนิ้วเดียวพิกลพิการ แม้แต่ฝ่ามือของหมัดก็ยังแตกสลายออกเป็นชิ้นส่วนไม่เหลือดี!!

ส่วนตาข่ายสายฟ้าที่เหลืออีกประมาณเจ็ดพันกว่าชั้น เวลานี้ก็พังทลายลงทีละชั้นพร้อมเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะดังสนั่นหวั่นไหว จนกระทั่งเหลือไม่ถึงสองพันชั้น กระดานหมากรุกฟ้าดินก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน แม่ทัพนายพลเกือบแปดส่วนบนนั้นร่างแหลกลาญกลายเป็นเถ้าธุลีที่ปลิวว่อน กระดานทั้งแผ่นพังพินาศผุพรุน

ทุกอย่างนี้เมื่อบรรยายจึงฟังดูเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ เพียงกะพริบตา เท้ายักษ์ที่เยื้องกรายลงมาก็หายวับไปไม่เหลือเงา ส่วนวิชาอภินิหารสามสายที่เผยกายอยู่ระหว่างฟ้าดิน เวลานี้ก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้จะไม่พังไปทั้งหมด แต่ก็เหลือเป็นเศษชิ้นส่วนที่อานุภาพเกรียงไกรลดลงเหลือเพียงม้าตีนปลาย ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะพกพาพลังที่เหลืออยู่พุ่งเข้าไปโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไป แต่หันขวับกลับมาแล้วยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง

ทันใดนั้นพายุคลุ้มคลั่งลูกหนึ่งก็พัดหมุนคว้างออกไปรอบกายเขาแล้วปะทะเข้ากับนิ้วเดียวที่เหลืออยู่ของหมัดโลหิตทมิฬอย่างจัง ร่างของเขาสั่นสะท้านน้อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อปะทะเข้ากับตาข่ายสายฟ้านั่นอีกครั้ง

ลมหายใจของป๋ายก็หอบรัวขึ้นมาอีกนิด ก้าวถอยไปสองสามก้าว ครั้นจึงเงยหน้าพรวดแล้วพุ่งเข้าปะทะกับกองทัพที่พังพินาศในกระดานหมากรุกเป็นครั้งสุดท้าย

เสียงตูมตามค่อยๆ แผ่วหายไป หมัดโลหิตแตกย่อยยับ ตาข่ายยักษ์ขาดเป็นริ้ว กระดานหมากรุกฟ้าดินหักพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดสดไหลลงมาตรงมุมปาก เซถอยไปไกลหลายร้อยจั้ง แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก กระดูกคงกระพันของเขาฝึกสำเร็จแล้ว เรือนกายที่มีเลือดเนื้อนี้จึงแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เวลานี้เมื่อเงยหน้าขึ้น แสงคมกริบในดวงตาของเขาก็เปล่งประกายระยับ พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้งจนก้อนเมฆบนท้องฟ้าซัดตลบกลิ้งไล่หลังกันไม่หยุด ก่อนจะจำแลงออกมาเป็นใบหน้ามายาขนาดใหญ่มหึมาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่จ้องเขม็งไปยังเฉินเห้อเทียนสามคน!

“ฝีมือกระจอกแค่นี้เองหรือ? ตอนนี้ ถึงตาข้าบ้างแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version