บทที่ 896 เลือดคงกระพัน
เสียงอึกทึกดังกึกก้อง คนนอกไม่ได้ยิน แต่กลับดังเกินฟ้าผ่าอยู่ในหูของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงนั้นก้องสะท้อนยาวนาน ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้ม ใบหน้าแดงก่ำ หน้าผากมีเส้นเอ็นปูดโปน
ราวกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งที่มองไม่เห็นกำลังกดทับอยู่บนร่างของเขาจริงๆ และเขาก็กำลังใช้พละกำลังที่แกร่งกร้าวของตัวเองมาทำลายภูเขาใหญ่ลูกนี้ให้พังถล่มอย่างต่อเนื่อง
พลังเลือดลมหลายขุมพุ่งโจมตีอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หยุด ขณะที่เสียงซึ่งดังเกินอสนีบาตยิ่งดังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้าขึ้นแล้วคำรามเสียงทุ้มหนัก
“เปิด!!”
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาใหญ่ที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ พันธนาการขั้นที่สี่ในร่างมนุษย์พลันระเบิดกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พริบตาเดียวก็พังครืนถล่มลงมา และเมื่อมันถล่มทลาย ความรู้สึกโล่งผ่อนคลายที่หายไปนานก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นคือความปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าอยู่ดีๆ ร่างก็เบาหวิวกว่าเดิมหลายเท่าตัว ประหนึ่งม้าพยศตัวหนึ่งที่ถูกโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ ทว่าเวลานี้โซ่ตรวนได้แตกหักออกจากกัน ความอิสระเสรีจึงพวยพุ่งขึ้นมา
ไม่มีพันธนาการ ไม่มีแรงกดดัน พลังเลือดลมของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเดือดปุดๆ พลุ่งพล่านไม่หยุด เสียงกัมปนาทดังครืนๆ ทำให้ห้องลับของเขาส่ายไหว อีกทั้งไม่เพียงแค่ที่แห่งนี้เท่านั้น แม้แต่แผ่นดินของสำนักสยบธารที่อยู่ข้างนอกก็ยังสั่นสะเทือนอยู่หลายที
และเวลานี้พลังกระดูกคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ระเบิดไปถึงขีดสุดแล้วก่อตัวกลายมาเป็นน้ำบ่าที่ไหลทะลักทลายซัดตูมไปทั่วกายของเขา จนร่างของเขามีเสียงลั่นกร๊อบๆ ดังออกมาอีกครั้ง นั่นคือเสียงกระดูกที่ชนปะทะเข้ากับเลือดเนื้อ เสียงนี้ยิ่งนานยิ่งถี่กระชั้น ยิ่งนานยิ่งดุเดือดรุนแรง สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ในสมองมีเสียงดังอึงอล…
กระดูกคงกระพัน…ฝ่าทะลุไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ!!
ไต่สู่จุดสูงสุดอย่างแท้จริง!
อีกทั้งนาทีนี้ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เปิดโล่งก็มีคาถาบทของเลือดคงกระพันลอยขึ้นมา คาถานี้เหมือนนาบประทับลงไปในจิตวิญญาณของเขา และเมื่อกระดูกคงกระพันฝ่าทะลุไปได้อย่างแท้จริง เลือดคงกระพันจึงเริ่มโคจรด้วยตัวเอง
เมื่อการโคจรเกิดขึ้น ช่วงแรกเริ่มยังดีหน่อย เพราะอย่างไรซะในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีพลังจากเส้นผมโลหิตของเทียนจุนหลงเหลืออยู่ แต่ไม่นานร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้มอีกครั้ง ก่อนที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของเขาซูบตอบลงอย่างรวดเร็ว และเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เขาก็ผอมลงไปถึงรอบใหญ่
ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเตรียมใจมาก่อนแล้วก็ยังผงะตกใจอยู่ดี
“นี่คิดจะดูดพลังจนข้าตายไปเลยหรือไง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นรีบหยุดการโคจรของเลือดคงกระพันทันใด ยังดีที่การโคจรของเลือดคงกระพันนี้สามารถหยุดลงกลางคันได้ เมื่อหยุดการโคจรแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตกใจก็หน้าซีดขาวจนไม่เหลือสีเลือด รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าเริ่มมืดดำ แถมในหูยังมีเสียงวิ้งๆ ดังไม่หยุด
ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้คืนสติกลับมา แต่กระนั้นหน้าก็ยังคงซีดเผือด ลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดผวาไม่คลาย ครั้นจึงก้มลงสำรวจร่างกายของตัวเอง และการสำรวจครั้งนี้ก็แทบจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องหลั่งน้ำตา
“พลังชีวิตของข้า…” เขามองออกว่าเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ พลังชีวิตของตัวเองที่ก่อนหน้านี้ยังมากมหาศาลได้ถูกเผาผลาญไปถึงครึ่งหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนี้นี่นา นี่…นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าเอาสตรีธุลีแดงกับซ่งจวินหว่านมารวมกันเสียอีก” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาเหยเกจะร้องมิร้องแหล่ เขาเริ่มมีความคิดที่จะล้มเลิกการฝึกเลือดคงกระพันต่อแล้ว
เพราะเขากังวลมากจริงๆ ว่าหากยังฝึกอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าเลือดคงกระพันยังไม่ทันฝึกสำเร็จ ตนคงตายไปเสียก่อน…
“เส้นทางการใช้ร่มราตรีนิรันดร์ดูดซับพลังชีวิตรอบใหม่ของข้า…จะต้องเริ่มขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าผาก ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกว่าเส้นทางสายนี้ช่างเดินได้ยากลำบากยิ่งนัก
“บทมิวางวายไม่ใช่วิชาที่ดีเอาซะเลย วิชาอภินิหารนี่ทำให้คนดีกลายเป็นคนเลวชัดๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย นึกถึงเมื่อปีนั้น ตนที่เดิมทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กลับต้องไปขโมยไก่หางวิเศษเพียงเพราะฝึกหนังคงกระพัน…
แล้วก็นึกถึงตอนที่ฝึกเนื้อคงกระพัน ตนที่อยู่ในสำนักธาราโลหิต ต้องไปแอบอยู่หน้าถ้ำของคนอื่นเพื่อขโมยเลือดลม…
และตอนฝึกเอ็นคงกระพัน ตนก็ต้องฉวยโอกาสที่กำแพงเมืองใช้ให้หลอมยาฮุบเอาของดีเข้ากระเป๋าตัวเอง…
ยังมีตอนฝึกกระดูกคงกระพันที่ต้องจับเหยื่อในแดนทุรกันดารมาขโมยพลังชีวิต…
“หรือว่าจะเลิกฝึกดี? ข้าเป็นคนดีนี่นา ข้ารู้สึกว่าเมื่อฝึกกระดูกคงกระพันสำเร็จก็นับว่าร้ายกาจมากพอแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ลังเลเริ่มคิดไม่ตก ในสมองมีคาถาและคำแนะนำเกี่ยวกับเลือดคงกระพันลอยขึ้นมา ก่อนจะเอามารวมกับความรู้สึกเมื่อครู่นี้แล้วทำการวิเคราะห์
เลือดคงกระพันนี้คือขั้นสุดท้ายของบทมิวางวาย หากการฝึกยุติลงเมื่อไหร่ก็คือช่วงเวลาที่เขาฝึกบทมิวางวายได้สำเร็จ!
หนังคงกระพันเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังการปกป้อง ส่วนเนื้อคงกระพันนั้นทำให้พลังกล้ามเนื้อของคนไต่ทะยานไปถึงระดับที่น่าตกใจ อันดับต่อมาเอ็นคงกระพันคือพลังแห่งการระเบิด ไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็วหรือด้านพละกำลังก็ล้วนก้าวกระโดด และนี่เป็นเพียงแค่การก้าวกระโดดก้าวแรกเท่านั้น รอจนฝึกกระดูกคงกระพันสำเร็จเมื่อไหร่ก็คือการก้าวกระโดดครั้งที่สอง!
และการก้าวกระโดดครั้งที่สองนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งยิ่งเด่นชัดมากกว่าเดิม เหมือนเกิดการแปรสภาพ ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว การป้องกัน หรือแม้แต่พลังกล้ามเนื้อเองก็ตาม เมื่ออยู่ภายใต้การก้าวกระโดดของกระดูกคงกระพัน ทุกอย่างนี้ก็จะไต่ทะยานไปสู่จุดสูงสุด!
นั่นคือกล้ามเนื้อในระดับคนฟ้า ถึงขั้นที่ว่าหากคนฟ้าทั่วไปคิดจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้ไม่นับตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน ลำพังเพียงแค่กล้ามเนื้อของเรือนกายนี้ก็สามารถทำให้คนฟ้าปวดหัวได้แล้ว
แต่อันที่จริงแล้วในเวลาเช่นนี้ บทมิวางวายก็หาใช่จะไม่มีข้อบกพร่อง แล้วก็หาใช่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกสังหารไม่ได้ เพราะอย่างไรซะถึงแม้พลังกล้ามเนื้อของเขาจะแข็งแกร่ง แต่การเผาผลาญก็น่าตกใจมากเหมือนกัน ไม่พูดถึงเรื่องอื่น ลำพังเพียงแค่หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญก็ทำให้พละกำลังของป๋ายเสี่ยวฉุนแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้แม้ว่าเนื้อหนังของเขาจะหนา ยากที่จะได้รับบาดเจ็บ แต่หากได้รับบาดเจ็บเมื่อไหร่ แม้พลังการฟื้นตัวจะเร็วกว่าคนทั่วไป แต่สุดท้ายก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา และหากอาการบาดเจ็บสาหัสรุนแรงมากๆ เขาก็มีโอกาสตายเหมือนกัน
ทว่าเรื่องพวกนี้…จะได้รับการชดเชยอย่างเต็มที่เมื่อฝึกเลือดคงกระพัน ซึ่งการชดเชยนั้นจะทำให้เขาอยู่ในสภาวะที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เพราะเลือดคงกระพันก็คือการเอาเลือดทั้งหมดในร่างมากลั่นเป็นเลือดที่มีพลังการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อฝึกสำเร็จ เลือดหนึ่งหยดที่หยดลงมาก็สามารถกลายมาเป็นทะเลสาบ กลายมาเป็นมหาสมุทรได้เลย
อีกทั้งหากจะพูดให้เกินจริงยิ่งกว่านั้นอีกสักหน่อยก็คือ ขอแค่ในร่างมีหยดเลือดอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็ยากที่พละกำลังของผู้ฝึกบทมิวางวายจะหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถระเบิดกำลังได้เต็มที่อย่างไม่มีสะดุด!
สามารถจินตนาการได้ว่าหากทำได้สำเร็จจริงๆ ถ้าเช่นนั้นลงมือเมื่อใดก็ต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินพอๆ กับการร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญแน่นอน!
และเมื่อฝึกเลือดคงกระพัน พลังกล้ามเนื้อก็จะเพิ่มพูนตามๆ กันขึ้นไปอีกครั้ง เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การเพิ่มพูนของพลังการระเบิดจากกล้ามเนื้อนับว่าเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดกลับยังคงเป็นพลังการฟื้นตัวอยู่ดี!!
หลังจากวิเคราะห์ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีภาพที่ตัวเองต่อยหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญออกไปในแต่ละครั้ง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรอคอยจนลมหายใจค่อยๆ ถี่กระชั้น อาการคิดไม่ตกก็เหมือนจะได้ข้อสรุปแล้ว
ยิ่งเขานึกถึงว่าหากพลังการระเบิดของตัวเองจะไต่ไปถึงระดับที่น่าครั่นคร้าม อาศัยเพียงเรือนกายที่แข็งแกร่งและพลังการฟื้นตัวที่น่าตะลึง ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ใครยังจะเล่นงานตนจนตายได้อีก…
“ถึงเวลานั้นครึ่งเทพเห็นข้าก็ต้องหนี เทียนจุนเห็นข้าก็ต้องปวดหัวกันบ้าง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตกอยู่ในภวังค์เริ่มตื่นเต้น เขารู้สึกว่าขอแค่ตนพิชิตปัญหาระหว่างการฝึกตน อดทนไปจนถึงวันที่ทำได้สำเร็จ ตนก็เรียกได้ว่ามิวางวายแล้ว หลังจากที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านสมองไปไม่หยุด ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มแดงก่ำ กัดฟันกรอด
“ไม่สนแล้ว เพื่อความเป็นอมตะ…ข้าสู้ตาย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นลมหายใจ ตอนที่กัดฟัน นัยน์ตาของเขาที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดก็เผยแววพร้อมทุ่มสุดตัว เขาไม่ได้ฝึกตนทันที นั่นเป็นเพราะสภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่เหมาะให้ฝึกตนอีกแล้ว
แต่นี่ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำความเข้าใจบทเลือดคงกระพันของเขา คิดจะฝึกฝนก็จำเป็นต้องกระจ่างแจ้งถึงความหมายของมันเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้ฝึกได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
“เลือดคงกระพัน…ไม่มีการแบ่งขอบเขตอะไร ข้อนี้ไม่เหมือนกับหนัง เนื้อ เอ็นและกระดูกคงกระพัน!”
“หรือจะพูดอย่างชัดเจนก็คือเลือดคงกระพันก็คือการเปลี่ยนถ่ายเลือดทั้งร่างของตัวเอง ทำให้เลือดทั่วร่างที่ถูกเปลี่ยนถ่ายแล้ว ไม่ว่าหยดใดก็ล้วนกลายมาเป็นทะเลสาบได้ทั้งสิ้น!”
“และเลือดทั่วร่างก็แบ่งออกเป็นสิบส่วน…จนกระทั่งท้ายที่สุดถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งก็คือ…เลือดคงกระพันไม่ตายไม่ดับ!”
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มทำความเข้าใจกับคาถาของเลือดคงกระพันอยู่ในใจอย่างละเอียด เวลาก็ล่วงเลยไปช้าๆ จนกระทั่งผ่านไปได้หลายวัน เขาจึงเงยหน้าขึ้น หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก็รีบหยิบเอายาบางส่วนในถุงเก็บของออกมากลืนเต็มปาก
“ครั้งนี้ข้าจะทดลองอีกครั้งและต้องระวังให้มากหน่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนจะไปต่อสู้กับใคร ดวงตามีเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้นช้าๆ พลังกล้ามเนื้อพลันโคจรในบัดดล
เมื่อการโคจรนั้นเริ่มขึ้น คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าที่ปรากฏอยู่ในร่างของตัวเองไม่ใช่น้ำวนลูกหนึ่ง…แต่เป็น…น้ำวนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเลือดหยดใดก็คล้ายกลายมาเป็นน้ำวนหนึ่งลูก และพวกมันกำลังพากันดูดซับพลังชีวิตทั้งหมดในร่างตนไปอย่างบ้าคลั่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆ ยิ่งสัมผัสได้ว่าฤทธิ์ยาที่ตัวเองกลืนลงไปก่อนหน้านี้ได้ถูกน้ำวนจำนวนนับไม่ถ้วนดูดซับไปจนเกลี้ยงในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วลมหายใจ เขาก็ยิ่งสะอึกค้างพูดอะไรไม่ออก
ขณะที่กำลังจะยุติการฝึก ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันอึ้งงัน เงยหน้าขึ้นฉับพลัน ทอดสายตามองไปยัง…พื้นที่ของสายธาราโลหิต…ตำแหน่งที่บรรพบุรุษโลหิตยืนอยู่!!