Skip to content

A Will Eternal 904

บทที่ 904 สหายนักพรตป๋าย เจ้าทำของหล่น

เพราะอย่างไรซะตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้รับการยอมรับจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพ กลายมาเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างเช่นเดียวกับพวกเขา อีกทั้งแผนการของเฉินเห้อเทียนก็ยังถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะคำพูดประโยคนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่เชื่อหรอกว่าบุรพาจารย์ครึ่งเทพจะไม่จับตามองอยู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ออกมาห้ามปราม ซึ่งเดิมทีนี่ก็เป็นการอธิบายให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

“เอาเถอะ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้คลี่คลายปมความขัดแย้งกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นได้” หลี่เสี่ยนเต้าคิดมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด เขาทำมุทราแล้วโบกมือออกไป ทันใดนั้นรอบด้านก็มีม่านแสงชั้นหนึ่งปรากฏ หลังจากที่ร่ายม่านแสงซึ่งตัดขาดเส้นสายตาของทุกคนที่อยู่ข้างนอกเสร็จแล้วเขาก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบแผ่นประดับชิ้นหนึ่งออกมา

บนหยกประดับชิ้นนี้สลักรูปสามมังกรหกหงส์ เพิ่งจะหยิบออกมาก็มีปราณน่าตะลึงขุมหนึ่งพุ่งมาปะทะใบหน้า ราวกับว่าสามมังกรหกหงส์นั้นไม่ใช่รูปแกะสลัก แต่มีชีวิตอยู่จริง อีกทั้งบัดนี้ฟ้าดินรอบด้านก็ยังมีไอหมอกชั้นหนึ่งแผ่ปกคลุม

หยกประดับชิ้นนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา อีกทั้งบนนั้นยังมีคลื่นปณิธานฟ้ากระเพื่อมไหวให้เห็นได้รำไร นี่ก็คือ…วัตถุอาคมของคนฟ้า!

“สหายนักพรตป๋าย หยกประดับชิ้นนี้เป็นของเจ้ากระมัง? ข้าผู้แซ่หลี่เก็บได้โดยบังเอิญ วันนี้พอลองเอาปราณที่อยู่ด้านบนมาเปรียบเทียบดูถึงได้รู้ว่าที่แท้นี่ก็คือวัตถุอาคมของสหายนักพรตป๋าย” หลี่เสี่ยนเต้าอมยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่พูดก็โบกมือหนึ่งครั้ง หยกประดับชิ้นนั้นจึงกลายมาเป็นลำแสงเส้นหนึ่งที่มีเงาร่างของสามมังกรหกหงส์ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ภายในและพุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ภาพนี้นักพรตบนสายรุ้งอื่นๆ มองไม่เห็น เพราะถูกหลี่เสี่ยนเต้าบังตาเอาไว้ ทว่าเฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนกลับเห็นอย่างชัดเจน ป๋ายเจิ้นเทียนรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย ส่วนเฉินเห้อเทียนนั้นก็อึ้งค้างไปทันที

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลี่เสี่ยนเต้าจะถึงขั้นใช้วิธีการเช่นนี้มาคลี่คลายข้อพิพาทกับป๋ายเสี่ยวฉุน นี่จึงยิ่งทำให้ความอัดอั้นในใจของเขาดุเดือดมากกว่าเดิม

“เหตุใดหลี่เสี่ยนเต้าผู้นี้ถึงไม่เห็นแก่หน้าตาตัวเอง ทำเรื่องน่าละอายแบบนี้ออกมาได้!” ในใจเฉินเห้อเทียนเจ็บแค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่เสี่ยนเต้าเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งไปเหมือนกัน

หลังจากคว้าหยกประดับชิ้นนั้นมาก็มองหลี่เสี่ยนเต้าอย่างคลางแคลงใจ แต่พอกลอกตาครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่ง ดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกายสดใส

“ตาแก่นี่ใช้ได้เลยนี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจได้โดยพลัน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการมอบของขวัญให้ตนเพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ก็จะยกให้ตรงๆ ก็ไม่ดีนัก ดังนั้นถึงได้ใช้วิธีนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกสบายอารมณ์ขึ้นมาทันทีทันใด ทั้งยังคิดว่าวิธีนี้ไม่เลว ตนควรจะเรียนรู้เพื่อเอาไปใช้บ้าง ดังนั้นจึงไอแห้งๆ หนึ่งครั้งแล้วเก็บหยกประดับเข้าไปไว้ในถุงเก็บของ

“เอ๊ะ หยกนี่เป็นของข้าจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าไปทำหายที่ไหน ที่แท้สหายนักพรตหลี่ก็เป็นคนเก็บได้นี่เอง” หลังจากหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลองถามหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค

“สหายนักพรตหลี่ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นที่ทำหยกประดับหาย ยังมีกระบี่บินเล่มหนึ่งที่หายไปพร้อมกันด้วย กระบี่บินเล่มนั้นเป็นของวิเศษล้ำค่านักล่ะ”

หลี่เสี่ยนเต้าได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับหายใจค้างสีหน้าแข็งทื่อ

หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนแวบหนึ่งก็ตบถุงเก็บของอีกครั้ง หยิบเอากระบี่บินสีฟ้าเล่มเล็กออกมา กระบี่บินเล่มนี้เพิ่งจะปรากฏ รอบด้านก็พลันเย็นเยียบเป็นน้ำแข็ง อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้ความเย็นหนาวเหน็บนี้ กระบี่บินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ถึงกับค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นโปร่งแสง ราวกับว่าหากร่ายใช้เมื่อไหร่มันก็จะสามารถหายไปได้อย่างไร้ร่องรอย

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตกตะลึงทั้งยินดี เขารีบพูดรัวเร็ว

“ฮ่าๆ กระบี่เล่มนี้นี่แหละ นี่คือสมบัติที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลข้าเชียวนะ ขอบคุณสหายนักพรตหลี่มาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไป มือขวาก็ยกขึ้นจับผ่านอากาศ ทันใดนั้นก็กระบี่บินเล่มเล็กก็บินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน พอคว้ามาไว้ในมือ เขาก็พลิกซ้ายพลิกขวาอย่างชอบใจ ก่อนจะเก็บมันลงไปด้วยความพึงพอใจ

“ยินดีกับสหายนักพรตป๋ายด้วยที่ได้ของที่หายไปกลับคืนมา สหายนักพรตป๋าย ผู้อาวุโสคนนั้นที่จับตัวสหายร่วมสำนักของเจ้ามาโดยพลการ และยังมีเด็กรุ่นเล็กในตระกูลของข้าผู้อาวุโสที่เข้าร่วมเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขากล้าทำถึงขนาดนี้ ข้าผู้อาวุโสก็ต้องมีคำอธิบายให้กับเจ้าแน่นอน!” หลี่เสี่ยนเต้าเองก็คลี่ยิ้ม ในสายตาของเขา วัตถุก็ดี ผู้อาวุโสและเด็กรุ่นเล็กในตระกูลก็ช่าง ทุกอย่างนี้ล้วนไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้คลี่คลายปมแค้นกับป๋ายเสี่ยวฉุน

วิธีการเช่นนี้ของหลี่เสี่ยนเต้าทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สะดวกที่จะเซ้าซี้หาเรื่องอีกต่อไป ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก เขากลับนิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองยังที่พักของตระกูลหลี่ซึ่งอยู่เบื้องล่างพร้อมกับหลี่เสี่ยนเต้า

ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เห็นเงาร่างของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ สีหน้าของคนทั้งสองแดงปลั่งเหมือนเพิ่งได้รับการบำรุงครั้งใหญ่มาอย่างดี

ไม่เพียงแต่ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ขนาดเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเป็นแพรไหมเนื้อดี ซึ่งเวลานี้ได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมออกมาส่งคล้ายแขกผู้มีเกียรติคนสำคัญ

เพียงแต่ว่าสีหน้าของคนทั้งสองต่างก็มีความงงงันคล้ายกับตั้งตัวไม่ทัน เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างนี้ล้วนถูกตระกูลหลี่จัดการอย่างรวดเร็วในขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังรอคอย

เมื่อเห็นว่าจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉสองคนต่างก็เป็นปกติดี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางใจลงได้ในที่สุด เวลานี้เขาจึงคลี่ยิ้มและเอ่ยทักทายจางต้าพั่งกับสวีเป่าไฉ

การทักทายครั้งนี้ของเขาทำเอาจางต้าพั่งอึ้งค้างไปทันที เขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาโง่ๆ สีหน้าเหลือเชื่อ ส่วนสวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันซึ่งพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับหอบหายใจดังเฮือกอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาเบิกค้าง ตะลึงงันไปอย่างสิ้นเชิง

“เสี่ยวฉุน!!”

“เจ้ายังไม่ตาย!!” คนทั้งสองร้องอุทานเสียงหลงแทบจะพร้อมๆ กัน

“ฟ้าดินแห่งนี้จะมีที่ใดที่ทำให้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนตายได้ด้วยงั้นหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ พร้อมเริ่มคุยโว

คำพูดประโยคนี้ของเขาทำเอาหลี่เสี่ยนเต้ามีสีหน้าเหยเกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่สวีเป่าไฉและจางต้าพั่งคุ้นเคยกับวิธีการพูดเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนมานานแล้ว ยามนี้เมื่อโชคดีได้รอดพ้นมาจากเคราะห์ภัย ทั้งยังได้มาเจอคนรู้จักจึงดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“เสี่ยวฉุน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!!” จางต้าพั่งเดินเร็วๆ มาหลายก้าวแล้วปรี่ขึ้นมาโอบกอดป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ตอนนี้ร่างกายเขาอ้วนขึ้นมาอีกไม่น้อย แม้จะไม่ได้เป็นภูเขาเนื้ออย่างที่เคย แต่ก็คล้ายลูกกลมลูกหนึ่ง และด้วยความดีใจ ตอนนี้เนื้อทั้งร่างจึงสั่นกระเพื่อมไม่หยุด

ส่วนสวีเป่าไฉที่กลับมาหายใจได้เป็นปกติก็ฮึกเหิมกระตือรือร้นสุดขีด เขารีบวิ่งเร็วๆ เข้ามาใกล้ ปากก็รีบพูดจาประจบยกยออย่างไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย

“บุรพาจารย์น้อยมากความสามารถเกินผู้ใดทัดเทียม ยอดเยี่ยมใต้หล้าไร้ศัตรู ในฟ้าดินแห่งนี้จะหาที่ที่ทำให้อาจารย์อาป๋ายตกอยู่ในความตายได้อย่างไร แดนทุรกันดารจะนับกะผีอะไรได้!”

ได้ยินน้ำเสียงดีใจของจางต้าพั่ง ดื่มด่ำคำป้อยอด้วยถ้อยคำที่คุ้นเคยจากสวีเป่าไฉ

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปลื้มปริ่มอยู่ในใจ ตอนอยู่แดนทุรกันดารนอกจากเขาจะเป็นห่วงคนที่อยู่ในสำนักสยบธารแล้ว คนที่เขาห่วงมากที่สุดก็คือจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารานี่แหละ

“น้องป๋าย ตอนนี้ข้าก็เอาคนมาส่งให้เจ้าแล้ว เจ้าวางใจได้ เรื่องหลังจากนี้ข้าต้องมีคำอธิบายที่ทำให้เจ้าพอใจได้แน่นอน!” หลี่เสี่ยนเต้ากระแอมขัดจังหวะการพูดคุยกันของป๋ายเสี่ยวฉุนสามคน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

พอคำพูดของเขาดังจบ จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็อึ้งค้างกันไปอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามานานหลายปี แต่กลับไม่เคยได้ใกล้ชิดคนฟ้า หลี่เสี่ยนเต้าผู้นี้จึงถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา

แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่แน่นอน หาไม่แล้วเมื่อครู่นี้เหตุใดตระกูลหลี่ถึงได้ปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นบรรพบุรุษก็มิปาน ไม่เพียงรักษาอาการบาดเจ็บให้กับพวกเขา ยังพูดจานอบน้อมมีมารยาท นอกจากนี้ยังมอบสมบัติและยาจำนวนมากให้กับพวกเขา ท่าทางของคนพวกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าขอร้องวิงวอน หวังให้พวกเขาสองคนไม่ถือสาเอาความเรื่องที่ต้องลำบากอยู่ในคุกเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา

สมบัติที่มอบให้มีมากมาย ยาก็ล้นเหลือเหนือกว่าการคาดการณ์ของจางต้าพั่งสองคนไปมากจนพวกเขาถึงกับมองเซ่อและมึนๆ งงๆ มาตลอดทาง

เวลานี้ในที่สุดก็หาสาเหตุได้พบ จิตวิญญาณของพวกเขาจึงสั่นสะเทือน ตกตะลึงไปกับการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามหาบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้มาได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหลี่เสี่ยนเต้าปราดหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาไปมองบนร่างของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ

“ศิษย์พี่ใหญ่ และยังมีสหายเป่าไฉ พวกเจ้าคิดว่ายังไง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้พวกเจ้าต้องลำบากกันไม่น้อย หากมีอะไรที่ไม่พอใจหรือคิดจะจัดการกับใครก็บอกข้ามาได้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอกพูดเสียงดัง

หลี่เสี่ยนเต้าที่อยู่ข้างๆ ได้แต่ยิ้มเจื่อน ไม่ได้พูดอะไร สายตาก็กวาดมองมายังร่างของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉด้วย

และยังมีคนตระกูลหลี่ที่อยู่รอบๆ ซึ่งเวลานี้ต่างก็ตึงเครียด อีกทั้งตอนที่มองไปยังจางต้าพั่งสองคน สายตาของพวกเขายังเต็มไปด้วยแววอ้อนวอนด้วยซ้ำ

จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉกะพริบตาปริบๆ ด้วยความตะลึงระคนแปลกใจ หลังจากมองหน้ากันไปมาก็ลูบคลำไปบนถุงเก็บของที่ในนั้นบรรจุทรัพย์สมบัติมากมายน่าตกใจจนหัวใจพวกเขาเต้นกระหน่ำไม่หยุด

ย้อนนึกถึงความลำบากที่ต้องติดคุกตลอดหนึ่งปีมานี้ แม้จะได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงตาย อีกทั้งเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ได้แลกมาด้วยทรัพยากรการฝึกตนที่มากมายจนเกรงว่าใช้เวลาหนึ่งร้อยปีพวกเขาก็คงหามาไม่ได้ นี่จึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าเวลาหนึ่งปีนี้คุ้มค่าแล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาสองคนก็หันไปส่ายหัวให้ป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่คิดจะซักไซ้เอาความอะไรต่อ แต่พวกเขาไม่เอาความ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่คิดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าในเมื่อหลี่เสี่ยนเต้าก็ยอมอ่อนข้อให้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงไม่สะดวกพูดอะไรมากอีก และในใจก็มีแผนการอย่างอื่นแล้ว

ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปกุมมือคารวะหลี่เสี่ยนเต้าแล้วพาจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉไปจากขอบเขตพื้นที่ตระกูลหลี่

จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป คนตระกูลหลี่ถึงได้พากันผ่อนลมหายใจ

แต่หลี่เสี่ยนเต้ากลับมีสีหน้ามืดคล้ำทันใด ทั้งยังหันมามองคนของตระกูลตัวเองอย่างเย็นชา

“ไปพาตัวหลี่หยวนเซิ่งและผู้อาวุโสคนที่ลงมือมาให้ข้า!” หลี่เสี่ยนเต้าเอ่ยเสียงเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงกลับเป็นราวฟ้าผ่าที่ตรงมาระเบิดอยู่กลางใจของพวกคนตระกูลหลี่ ทำให้คนตระกูลหลี่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นใจสั่นรัว รู้ว่าถึงเวลาคิดบัญชีชำระความกันแล้ว คราวนี้เกรงว่าคงไม่ใช่หลี่หยวนเซิ่งคนเดียวเท่านั้นที่โดนลงโทษ สายตระกูลที่เขาอยู่ก็คงติดร่างแหไปด้วย

ทว่าในเมื่อบุรพาจารย์กริ้วโกรธ คนอื่นๆ จะกล้าช่วยขอร้องให้ได้อย่างไร ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงบุรพาจารย์คนฟ้าอีกคนที่ตอนนี้กำลังมีหน้ามีตาอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน!

นั่นคือผู้แข็งแกร่งน่าครั่นคร้ามที่แม้แต่บุรพาจารย์ตระกูลหลี่ของพวกเขาเองก็ยังต้องยอมลงให้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version