Skip to content

A Will Eternal 911

บทที่ 911 คำถาม

สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราปั่นป่วนโกลาหลกันไปอย่างสมบูรณ์แบบ

ยังดีที่ควันดำนี้แค่ลุกลามไปทั่วสายรุ้งบนท้องฟ้าเท่านั้น ไม่ได้แผ่มาถึงสี่มหานครใหญ่เบื้องล่าง ทว่าพอเป็นเช่นนี้ ดำขาวจึงตัดกันให้เห็นอย่างเด่นชัด นักพรตในสี่มหานครใหญ่มองเซ่อกันไปหมด สายตาพวกเขาเหม่อมองไปยังควันดำที่แผ่ขยายปกคลุมสายรุ้งทุกชั้นบนท้องฟ้าเป็นวงกว้างนั้นอย่างงงงัน

มองไกลๆ ท้องฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราถูกยึดครองพื้นที่ไปด้วยควันดำผืนใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนที่ดังมาจากด้านใน แต่มองไม่เห็นว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นักพรตของสี่มหานครอกสั่นขวัญผวา แต่ละคนกระวนกระวายอยู่ไม่สุข

“นั่นมัน…อะไร?”

“สวรรค์ นี่คือเวทอภินิหารอะไรกัน!!” ขณะที่ในสี่มหานครมีเสียงคนหอบหายใจดังเฮือกๆ ให้ได้ยินไม่หยุด กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในนครฟ้าที่เวลานี้นอกจากจะขวัญผวาแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากอีกด้วย

“พี่จาง ดีนะที่ได้เจ้าช่วยเตือนเรื่องนี้ไว้ก่อน ขอบคุณมาก ขอบคุณมากๆ เลย!”

“น้องเป่าไฉ บุญคุณยิ่งใหญ่มิอาจตอบแทนแค่คำว่าขอบคุณ วันหน้าหากเจ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาข้าได้เลย ข้าต้องตอบแทนเจ้าแน่นอน!”

คนกลุ่มนี้มีมากหลายร้อยคน ยามนี้แต่ละคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างลึกล้ำ พากันหันมาขอบคุณจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉไม่หยุด

สวีเป่าไฉและจางต้าพั่งก็ขวัญหนีดีฝ่อเช่นกัน พวกเขารู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีนักล่ะ ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยา คนทั้งสองก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ผวาตกใจจนแทบจะสะดุ้งโหยง ในใจเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่โถมกระหน่ำ พวกเขารู้ดีว่าเกลี้ยกล่อมไปป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ฟัง ดังนั้นจึงรีบเผ่นออกมาจากสายรุ้งสีครามโดยไว

ทั้งยังถึงขั้นที่ว่าหากให้อยู่บนสายรุ้งเส้นอื่นพวกเขาก็ยังไม่วางใจ นอนหลับไม่สนิท จะนั่งจะยืนก็ไม่เป็นสุข ดังนั้นคนทั้งสองจึงกัดฟันย้ายออกจากสายรุ้งกลับมาอยู่ในนครฟ้า นี่ถึงทำให้สบายใจขึ้นมาไม่น้อย

ส่วนพวกนักพรตที่ถูกพวกเขาดึงมาเข้าพวก จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็ทนนิ่งดูดายไม่ไหวจึงพากันส่งข้อความเสียงไปบอกคนเหล่านั้นว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ให้ทุกคนย้ายกันลงมาอยู่ข้างล่าง

บางคนก็ทำตาม บางคนกลับไม่สนใจ นึกว่าพวกเขาตื่นตูมกันไปเอง…และเวลานี้คนที่อยู่รอบกายพวกเขาทั้งสองก็ล้วนเป็นพวกคนที่เดิมทียังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมย้ายลงมา

พอคนพวกนี้ได้เห็นควันดำน่ากลัวอย่างที่ยากจะบรรยายแผ่ปกคลุมทั่วแผ่นฟ้ากับตาของตัวเอง จิตวิญญาณของพวกเขาก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกดีใจกับการเลือกของตัวเองยิ่งนัก

“มีแต่คนกันเองทั้งนั้น แค่เรื่องเล็กๆ ไม่สลักสำคัญอะไร ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าบอกกับพวกเจ้าแต่แรกแล้วว่าผู้อาวุโสป๋ายหลอมยาเมื่อไหร่ แม้แต่เทพยังผวาผียังตกใจ!” จางต้าพั่งที่ตกใจจนหน้าซีดขาวพูดขึ้น

“อีกอย่างข้าจะบอกพวกเจ้าไว้เลยนะ จากที่ข้ารู้จักผู้อาวุโสป๋ายมา วิเคราะห์จากประสบการณ์ของข้า…เรื่องนี้ เกรงว่าคงยังไม่จบง่ายๆ พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ ช่วงนี้อย่าเพิ่งกลับขึ้นไปเด็ดขาด!” สวีเป่าไฉเองก็สูดลมหายใจสงบสติอารมณ์ ครั้นจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

และเวลานี้เอง ขณะที่ลูกศิษย์ทุกคนบนสายรุ้งคลุ้มคลั่งกันเต็มที ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศของสายรุ้งสีครามซึ่งแม้จะอยู่ในควันดำเช่นกัน ทว่าอำนาจจิตของเขากลับแผ่ออกไปปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ ดวงตาของเขายังคงมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ เขาเองก็กลุ้มใจมากเหมือนกัน

“ตอนนี้ข้าเป็นถึงคนฟ้า ปณิธานของข้าสามารถกลายมาเป็นปณิธานแห่งฟ้า ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมเตาหลอมยาและควันพวกนี้ได้…เรื่องนี้มันผิดปกตินะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนจำต้องครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็พยายามทดลองดูแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ทั้งๆ ที่มองดูเหมือนเตาหลอมยาและควันดำเป็นเรื่องปกติ ทว่าทุกครั้งที่เขาไปควบคุมมันกลับมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ

“หรือจะพูดให้ถูกก็คือ นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มหลอมยาก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ในใจเขามีคำถามข้อนี้ค้างคาอยู่

ทว่ากลับไม่มีคำตอบ ก็เหมือนกับเรื่องที่ความคิดซึ่งควรถูกหล่อเลี้ยงในโอสถสีทองตอนเขาเป็นก่อกำเนิดวิถีฟ้าช่วงต้นหายไป…ซึ่งเรื่องนั้นก็เป็นคำถามที่เขาไม่เคยเข้าใจเช่นกัน

“ช่างเถอะๆ เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะข้า ตอนนี้ถือว่าข้าได้คลี่คลายมันแล้ว ก็ถือว่าจบเรื่องกันแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังทอดถอนใจมองเห็นผ่านอำนาจจิตว่าลูกศิษย์ที่ก่อนหน้านี้ดูดซับฤทธิ์ของผลไร้รักเข้าไป เจตจำนงของพวกเขาที่ต้องการตัดทุกอารมณ์ความรู้สึกทิ้ง มาตอนนี้ก็ถูกควันดำชำระล้างจนหายไปหมดสิ้นแล้ว

ส่วนพวกคนที่ไม่ได้ดูดซับปราณจากผลไร้รักเข้าไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใคร่ครวญถึงข้อนี้ไว้นานแล้ว ซึ่งต่อให้ตอนนี้พวกเขาสูดควันดำเข้าไปก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

“ควันดำนี้ไม่มีสารพิษอยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เห็นควันดำที่ตอนนี้เริ่มเบาบางลงช้าๆ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ลึกๆ ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าก่อนหน้าที่ยังหาคำตอบของการควบคุมไม่ให้การหลอมยาของตัวเองเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ เรื่องหลอมยาคงต้องหยุดพักเอาไว้ก่อน และเวลานี้เอง บนสายรุ้งสีครามก็มีรุ้งยาวสามเส้นที่พุ่งแหวกอากาศมาจากทิศทางที่ต่างกัน

พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน

ซึ่งนั่นก็คือหลี่เสี่ยนเต้า ป๋ายเจิ้นเทียน รวมไปถึงบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็ก

หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียนสีหน้าไม่น่าดู เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้อยากจะมา เพียงแต่เรื่องนี้ใหญ่เกินไป เกี่ยวพันไปทั้งสำนัก พวกเขาจะไม่ออกหน้าเลยก็คงไม่ได้ ส่วนบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กที่ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับป๋ายเสี่ยวฉุน ยามนี้ก็ยังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มที

“น้องป๋าย ไหนเจ้าบอกว่าครั้งที่แล้วเป็นครั้งสุดท้ายอย่างไรเล่า…” บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงระอาใจ

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นั่นเป็นเพราะอุบัติเหตุจากการหลอมยาคราวก่อนทำให้เกิดภัยร้ายซ่อนแฝงอยู่ในร่างของลูกศิษย์บางส่วน ข้าเองก็เป็นห่วงสำนัก ครั้งนี้ถึงได้จงใจใช้ควันดำมาละลายสารพิษตกค้างในร่างของพวกเขา”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเป็นปกติ เมื่อเห็นว่าคลี่คลายวิกฤตลงได้แล้วจึงวางมาดของคนฟ้าออกมาได้ใหม่อีกครั้ง

“ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ดูสิ ทุกคนที่ถูกควันดำปกคลุม มีตรงไหนที่ผิดปกติหรือไม่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มน้อยๆ ยื่นมือชี้ไปยังเบื้องล่างด้วยท่าทางผ่อนคลาย

พวกป๋ายเจิ้นเทียนสามคนมองตามไป แล้วก็เห็นทันทีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้โกหก คนเหล่านั้นเพียงแต่สบถบ่นก่นด่าเบาๆ เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ที่เดิมหรือคนที่เผ่นหนีจ้าละหวั่นก็ล้วนไม่มีร่องรอยความเสียดายใดๆ

นี่ถึงทำให้พวกเขาสามคนคลายใจลงได้ เพราะหากว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมา บุรพาจารย์ครึ่งเทพกลับมาเมื่อไหร่ พวกเขาคงต้องปวดหัวกันแน่

“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเจ้าดูสิ ควันนี่ก็กำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เชื่อพวกเจ้าก็พักรออยู่ที่นี่พร้อมข้าได้เลย ภายในหนึ่งก้านธูป รับรองว่าทุกอย่างต้องกลับมาเป็นปกติ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างมาดมั่น

ทั้งยังสะบัดปลายแขนเสื้อเอาชุดโต๊ะน้ำชาออกมาตั้งวางบนพื้น ครั้นจึงนั่งลงแล้วหันไปจุดธูปก้านหนึ่งไว้ข้างๆ เมื่อควันลอยกรุ่นขึ้นมา เขาก็หันมาเชื้อเชิญป๋ายเจิ้นเทียนสามคนด้วยรอยยิ้ม

ป๋ายเจิ้นเทียนลังเลไปครู่หนึ่ง ทว่าหลี่เสี่ยนเต้าและบุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กกลับสงบสติอารมณ์ลงได้จึงคลี่ยิ้มนั่งลงตามคำเชิญ ป๋ายเจิ้นเทียนเห็นว่าเป็นเช่นนี้จึงฝืนใจนั่งตามไปด้วย

“วิถีโอสถของน้องป๋ายน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง วันนี้ถือว่าข้าผู้อาวุโสได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กหัวเราะร่า เขาและป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็เป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างของศาลาเลือดเหล็ก ทั้งยังมีเรื่องที่เขาไปให้ความช่วยเหลือสำนักสยบธาร แน่นอนว่าความสัมพันธ์จึงสนิทสนมกันเป็นธรรมดา ส่วนเรื่องการหลอมยานี้ เขาคิดว่าหากตัวเองช่วยคลี่คลายได้ก็ย่อมดีที่สุด

“แค่ความสามารถงูๆ ปลาๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเลยหัวเราะแห้งๆ ตอบกลับไป

“นี่ใช่ความสามารถงูๆ ปลาๆ เสียที่ไหน ลงมือทีถึงกับทำให้ลมและเมฆเปลี่ยนสี โบกมือทีก็ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของวิถีโอสถได้อย่างแม่นยำ น้องป๋ายนี่ร้ายกาจเสียจริง” หลี่เสี่ยนเต้าเองก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

มีเพียงป๋ายเจิ้นเทียนเท่านั้นที่ไม่เอ่ยคำใด เพียงฟังคนทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่เงียบๆ และไม่นานก้านธูปก็เริ่มเผาไหม้จนเหลือแค่ไม่ถึงสามส่วน…

ควันดำบนสายรุ้งเองก็สลายไปได้แล้วเกินครึ่ง เผยให้เห็นเงาร่างของนักพรตและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใน เพียงแต่ว่าจู่ๆ สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเปลี่ยนมาเป็นเหยเก ลมหายใจของเขาค้างอยู่ในลำคอ ขยี้ตาเพ่งมองอย่างละเอียดราวกับไม่กล้าเชื่ออะไรบางอย่าง

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ หลี่เสี่ยนเต้า บุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็กและป๋ายเจิ้นเทียนต่างก็เบิกตากว้างมองไปยังจุดที่ควันสลายไป นั่งอึ้งตะลึงกันอยู่ตรงนั้น

เห็นเพียงว่าสายรุ้งทุกเส้นที่ถึงแม้ควันดำจะสลายหายไปเกินครึ่ง หลงเหลือเพียงแค่บางส่วนซึ่งตอนนี้ก็กำลังเจือจางลงอย่างรวดเร็ว ทว่า…บนพื้นดินของสายรุ้ง…หรือจะพูดให้แน่ชัดคือตัวของสายรุ้งเองกลับไม่รู้ทำไมถึงดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกควันดำอาบย้อมจนกลายมาเป็น…สีดำไปด้วย!

สายรุ้งเจ็ดเส้นที่…เดิมทีเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ตอนนี้ล้วนกลายมาเป็นสีเดียวกัน…และไม่เพียงแต่ตัวของสายรุ้งเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่สิ่งปลูกสร้างก็ยังไม่ยกเว้น…ทอดสายตามองไป ทุกอย่างที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราล้วนเป็นสีดำทั้งหมด!

นี่จึงเริ่มทำให้หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อผุดพราย ป๋ายเจิ้นเทียนสามคนก็ดวงตาเบิกถลน หายใจไม่เป็นจังหวะ พากันหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไม่ต้องร้อนใจ เอ่อ พวกเจ้าอย่าได้ร้อนใจไป เวลายังไม่หมดไม่ใช่หรือ เชื่อข้าเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนกดดันอย่างหนัก จำต้องรีบพูดอธิบาย และตอนนี้ก็หมดอารมณ์ดื่มชาแล้ว เขาผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะมานั่งยองๆ ลงบนพื้นดินด้านข้าง พอมองอย่างละเอียด หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นกระหน่ำรัวเร็ว จนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ควันทั้งหมดที่อยู่บนสายรุ้งจึงหายไปไม่เหลือ มองพื้นดินสาย “รุ้ง” สีดำเจ็ดเส้น…เขาก็ได้ยินเพียงเสียงฟ้าผ่าที่ดังเปรี้ยงๆ อยู่ในสมอง…

และเวลานี้เอง พวกลูกศิษย์ที่อยู่บนสายรุ้งก็พากันสังเกตเห็นสีบนพื้นดิน เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าสายรุ้งเส้นอื่นก็เป็นแบบเดียวกัน ทุกคนก็อ้าปากค้าง ควบคุมเสียงอุทานและเสียงฮือฮาด้วยความตะลึงพรึงเพริดไว้ไม่อยู่ ฉับพลันนั้นเสียงจอแจระเบ็งเซ็งแซ่จึงระเบิดดังอื้ออึง

“นี่…ทำไมถึงกลายเป็นสีดำไปแล้วล่ะ!!”

“สวรรค์ ที่พวกเราอยู่คือสายรุ้งนะ ทำไมตอนนี้มันถึงกลายเป็นสีเดียวกันไปแล้ว!”

“หรือว่าพื้นดินนี่มีพิษ!!”

“จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version