บทที่ 92 ความสิ้นหวังของกงซุนหว่านเอ๋อร์
“แข็ง…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“กุ่ยหยาผู้นี้เกรงว่าแม้แต่ศิษย์ฝ่ายในก็ยังสามารถบดขยี้ได้โดยตรง เป็นที่หนึ่งรองจากขั้นสร้างฐานรากอย่างแท้จริง!”
“สุดยอดพลังในการรบของขั้นรวมลมปราณเช่นนี้ จะต้องสัมผัสได้ถึงขอบเขตของการนึกคิดแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน มีเพียงขอบเขตการนึกคิดอันลึกลับยากจะคาดเดาเท่านั้นถึงจะมีพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้!” ชายฝั่งทิศใต้ก็ดี ชายฝั่งทิศเหนือก็ช่าง หลังจากนิ่งเงียบกันไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ ต่างก็ล้วนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา
ราวกับว่าไม่มีใครกล้าเสียงดังขึ้นมาในเวลานี้ ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ของชายฝั่งทิศเหนือล้วนรู้สึกซับซ้อน ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ต้องการให้มีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในยุคสมัยเดียวกับตน ทางฝ่ายชายฝั่งทิศใต้ ซ่างกวานเทียนโย่วเงียบงัน ใจของเขาไม่สงบสุข รู้สึกว่ากุ่ยหยาผู้นี้โจมตีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจให้พ่ายแพ้ยับเยินได้ไม่ต่างอะไรกับการที่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจโจมตีลูกศิษย์ทั่วไปให้พ่ายแพ้เลย
เห็นได้ชัดว่าระหว่างกุ่ยหยาและศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เดิมก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันสักนิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองดูด้วยใจที่หวาดผวา อีกฝ่ายแค่ลงมือสองครั้งเท่านั้น แต่ทุกครั้งกลับสะท้านสะเทือนทุกคนได้
เวลานี้หกคนสุดท้ายได้ถูกเลือกออกมาแล้ว ชายฝั่งทิศเหนือสี่คน ชายฝั่งทิศใต้สองคน แบ่งออกเป็นซ่างกวานเทียนโย่ว ป๋ายเสี่ยวฉุน กุ่ยหยา พี่น้องกงซุนและสวีซง
สำหรับลูกศิษย์ที่เข้าใจศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจดี เวลานี้ล้วนเข้าใจว่ารอบที่สามซึ่งจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ก็คือรอบสุดท้าย ในรอบนี้ทั้งหกคนสุดท้ายต้องผลัดกันประมือกับคู่ต่อสู้ โดยจัดอันดับของทั้งหกจากจำนวนครั้งที่รบชนะ
หากสามารถชนะทั้งห้าครั้ง แน่นอนว่าย่อมได้อันดับที่หนึ่ง!
หนึ่งพันปีก่อน ทุกครั้งชายฝั่งทิศเหนือจะต้องมีลูกศิษย์ประเภทที่กวาดทุกคนได้เรียบ แล้วคว้าเอามงกุฎแห่งชัยชนะไป คราวนี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศเหนือทุกคนล้วนรู้ดีว่า กุ่ยหยา…ก็คือคนประเภทนี้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งกว่าคนที่เคยกวาดทุกอย่างได้เรียบในอดีตอยู่เยอะมาก
ชายฝั่งทิศใต้เงียบงัน หากไม่มีกุ่ยหยา พวกเขารู้สึกว่าซ่างกวานเทียนโย่วยังพอมีความหวัง แต่ตอนนี้พอมองดูแล้ว ยากเหลือเกินที่ซ่างกวานเทียนโย่วจะช่วงชิงเอาที่หนึ่งมาได้
“ที่สองก็ยังดี…” ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้พากันปลงอนิจจัง และก็มีคนไม่น้อยที่สายตาไปตกอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาทุกคนล้วนพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าพวกเขาจะคิดยังไงก็คิดถึงภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงฝีมือไม่ออก คล้ายกับว่าตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ในสำนักก็ไม่เคยไปสู้รบปรบมือกับใคร
ภาพความประทับใจอย่างเดียวก็คืออีกฝ่ายมีชีวิตกลับมาจากการถูกตระกูลลั่วเฉินไล่ฆ่า นอกจากนี้ ก็ไม่มีแล้ว…
ท่ามกลางความเงียบงันนั้นมีคนไม่น้อยที่ถอดใจยอมแพ้ไปแล้ว พวกเขารู้ว่าคราวนี้ชายฝั่งทิศใต้ต้องแพ้อีกแล้ว แพ้ตรงจำนวนรวมของสิบคนสุดท้าย และแพ้ให้กับอันดับที่หนึ่งด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับชายฝั่งทิศใต้ เวลานี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศเหนือแต่ละคนตื่นเต้นฮึกเหิม นัยน์ตาเผยแววคาดหวัง ที่มากกว่านั้นคือความดุดัน พวกเขาล้วนจ้องมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
“กติกาของหกคนสุดท้ายไม่น่าจะเปลี่ยน คราวนี้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องจบอนาถแน่!”
“ถูกต้อง ตามกติกาแล้ว เขาต้องรบกับทุกคนหนึ่งครั้ง ซึ่งก็หมายความว่า…ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจสี่คนของพวกเราที่ยังอยู่ ทุกคนล้วนสามารถกระทืบป๋ายเสี่ยวฉุนแรงๆ ได้คนละทีสองที ระบายความคับแค้นที่คนผู้นี้สร้างความอัปยศให้แก่ชายฝั่งทิศเหนือของเรา!”
ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ทั่วไปของชายฝั่งทิศเหนือเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ สวีซงและพี่น้องกงซุนก็หัวเราะเสียงเย็นเช่นกัน ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมายมาดเอาไว้แล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวหด ปลดปลงอยู่ในใจ
‘บำเพ็ญตนเป็นเซียนก็เพื่ออมตะ เหตุใดต้องรบราฆ่าฟันกัน…’ เขารู้สึกจนใจอย่างมาก เห็นลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทุกคนที่มองมายังตนด้วยความโกรธแค้น ก็ถอนสะอื้นส่ายหัว พลันเสียงของโอวหยางเจี๋ยก็ดังลอยมา
“ศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรอบที่สาม อิงตามกติกาเดิม คำนวณจากครั้งที่ชนะ สนามแรก ซ่างกวานเทียนโย่ว สวีซงขึ้นมาบนเวที กุ่ยหยา กงซุนอวิ๋นสนามที่สอง ป๋ายเสี่ยวฉุน กงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่สนามสุดท้าย เริ่มประลองพร้อมกัน!”
ขณะที่เสียงดังสะท้อน แสงเส้นหนึ่งร่วงลงมาจากแท่นยก ตรงดิ่งมายังเวทีประลอง พริบตาเดียวก็แบ่งเวทีออกเป็นสามเขต แต่ละเขตมีแผ่นกั้นปิดผนึกเอาไว้
ดวงตาทั้งคู่ของซ่างกวานเทียนโย่วพลันเปล่งประกายดุดัน ร่างพุ่งถลาออกไปทันที พริบตาเดียวก็ขึ้นไปยืนอยู่บนเขตของสนามที่หนึ่ง แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาปรากฏตัว สวีซงจากชายฝั่งทิศเหนือก็บินออกไปเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากัน ล้วนมองออกถึงความเอาจริงของแต่ละฝ่าย
คนทั้งสองไม่พูดให้มากความ พริบตาที่สบตากันนั้น สวีซงโบกมือรอบด้านก็มีเสียงสัตว์ร้ายคำรามอย่างโกรธแค้นลอยมาทันที สัตว์ร้ายสามตัวปรากฏกาย รูปร่างแตกต่างกัน แต่กลับดุร้ายเกินเปรียบเหมือนกัน ขณะเดียวกันกับที่ทะยานดิ่งเข้าหาซ่างกวานเทียนโย่ว ท้องฟ้าเหนือซ่างเทียนกวานโย่วก็ปรากฏปากปลาวาฬขนาดยักษ์ขึ้นมาหนึ่งปาก พุ่งพรวดเข้ามาจะกลืนกินเขา
ยิ่งกว่านั้นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขายังมีเสียงเปรี๊ยะๆ ลั่นให้ได้ยิน หนวดสัมผัสแต่ละเส้นมุดลอดออกมาเตรียมจะรัดพันเขาเอาไว้
เวลาเดียวกันนี้กุ่ยหยาค่อยๆ เดินออกมา กงซุนอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างเงียบงัน แม้แต่แมลงพิษในดวงตาก็คล้ายจะสั่นสะท้าน เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของกุ่ยหยา แต่เขาไม่คิดยอมแพ้ นัยน์เปล่งประกายเฉียบคม
“ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งมากแค่ไหน ข้าก็ต้องสู้ดูสักตั้ง!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก อาภรณ์ปลิวสะบัด ขึ้นไปบนเวทีประลองเขตที่สองพร้อมกับกุ่ยหยา
กงซุนหว่านเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาเดินออกมาเช่นกัน ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กลัวเรื่องแบบนี้ที่สุด ดังนั้นเขาจึงถลึงตากลับไปอย่างดุดันเช่นกัน ทั้งสองคนเดินขึ้นเวทีเขตที่สามโดยที่ต่างฝ่ายต่างถลึงตาให้กันแบบนี้
แทบจะวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นไปบนเวทีนั้นเอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของชายฝั่งทิศเหนือเปล่งเสียงคำรามออกมาทันที ไม่สนใจการต่อสู้ของสองเขตที่เหลืออีกแล้ว ล้วนมองมายังเขตของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเคียดแค้น
“ศิษย์พี่หญิงกงซุน กำจัดเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายนี่ให้ได้!”
“กำจัดเขา!” ขณะที่เสียงคำรามดังสะท้อน นัยน์ตากงซุนหว่านเอ๋อร์เปล่งประกายเย็นเยียบ ไม่ได้เรียกนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีของนางออกมา แต่ยกมือขวาขึ้นทำมุทราชี้ไปยังหน้าผาก ทันใดนั้นร่างกายของนางพลันปราฏแสงเจ็ดสี และไอน้ำแข็งเย็นยะเยียบก็แผ่กระจายออกมาในพริบตา ทำให้พื้นดินมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุม
“เจ้ายอมแพ้เถอะ เมื่อใดที่ข้าลงมือ แม้แต่ข้ายังกลัวตัวเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา เอื้อนเอ่ยด้วยความหวังดี
พอประโยคนี้ของเขาหลุดออกมาจากปาก ในสมองของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็มีภาพนั้นของเป่ยหันเลี่ยลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หน้าแดงแปร๊ดทันควัน ไอสังหารลุกโชน
“หุบปาก เจ้าคนลามก คราวนี้ข้าจะให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม!” นางพูดไปมือขวาก็โบกสะบัดหนึ่งที มีดน้ำแข็งเล่มหนึ่งปรากฏพรวดออกมาและตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาเหลอหลา เขาก็แค่เอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดีไปประโยคเดียว ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลายเป็นคนลามกไปเสียได้ เวลานี้จึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง มือขวาตบลงบนถุงเก็บของ ยันต์จำนวนมากปรากฏออกมาทันที ถูกเขาเอามาแปะลงไปบนร่างอย่างคุ้นเคย
ชั่วขณะที่เสียงตูมตามดังขึ้นก็ปรากฏเป็นแสงคุ้มกันหลายเส้นหนาพอหนึ่งจั้งกว่า สีสันหลากหลาย และที่ยิ่งน่าตะลึงก็คือนี่ยังไม่หมด ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาโล่กระสาเทพออกมา โล่ชิ้นนี้เปล่งแสงวาบหนึ่งครั้งก็โอบล้อมรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ปรากฏแสงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเส้น
ยังมีกำไลบนข้อมือเขาที่หลี่ชิงโหวให้มา เวลานี้ก็ถูกกระตุ้นเช่นกัน จึงแผ่ขยายออกไปทั่วร่าง ทำให้ตลอดร่างของเขากลายเป็นสีดำ
บวกกับหม้อใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้…ทำให้ทุกคนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
และตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเรื่องพวกนี้ ความเร็วและความคุ้นเคยที่เกินสิ่งใดจะเปรียบ ทำให้มองทีเดียวก็รู้ได้ว่าเขาทำแบบนี้เป็นประจำ…
ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือล้วนตาเหลือกถลน มองเห็นด้วยความอึ้งงันว่ามีดน้ำแข็งเล่มนั้นหลังจากกระแทกเข้ากับแสงคุ้มกันกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง ท้ายที่สุดส่งเสียงดังปังหนึ่งทีก็แตกสลาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในลำแสงคุ้มกันไม่เป็นอะไรสักอย่าง
หากเพียงเท่านี้ก็ยังว่าไปอย่าง ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือมองเห็นด้วยความโกรธแค้นว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในม่านแสง ยังมีหน้าเอามือไพล่หลัง เชิดหน้าขึ้นมองก้อนเมฆบนท้องฟ้าด้วยท่าทางของยอดฝีมือ
“อ่อนมากเลย ข้าไม่คิดประมือกับคนที่ทำลายแสงคุ้มกันของข้าไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ เอามือไพล่หลังต่อพลางเอ่ยปากเนิบนาบ
กงซุนหว่านเอ๋อร์ขึงตาจนแทบถลนออกมานอกเบ้า อึ้งงันไปครู่ใหญ่ นางปะทะฝีมือกับคนอื่นมาหลายต่อหลายครั้ง ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนที่ถนัดในการป้องกันตัว แต่การคุ้มกันเช่นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางเจอเลยจริงๆ
นางมองแสงคุ้มกันที่อย่างน้อยมีอยู่หลายสิบชั้นเหล่านั้น มองโล่กระสาเทพที่อยู่ด้านใน มองวัตถุสีดำที่อยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองหม้อใบใหญ่ด้านหลังของเขาอีกที แถมนางเหมือนยังเห็นรางๆ ด้วยว่าบนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนสวมเสื้อหนังเอาไว้อีกหลายชั้น
นางรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งตัว แม้แต่จิตใจก็ยังลอยคว้างไปเล็กน้อย
“ไร้ยางอาย!! ยันต์ป้องกันตัวอะไรจะเยอะขนาดนี้ แถมยังมีอาวุธคุ้มกันตัวอีก สมควรตายเอ๊ย นี่มันศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจนะ ไม่ได้มาแข่งว่าใครมีทรัพยากรมากกว่ากัน!”
“ศิษย์พี่หญิงกงซุนต้องกำจัดเขาให้ได้ ข้าจะระเบิดแล้ว ข้าเห็นเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่แล้วก็อยากขึ้นไปเตะจริงๆ!”
เวลาเดียวกันกับที่ชายฝั่งทิศเหนือคำรามโกรธแค้น ชายฝั่งทิศใต้ก็มองเซ่อไปเช่นกัน แต่ลูกศิษย์บางส่วนของเขาเซียงอวิ๋นเวลานี้กลับรู้สึกปลงอนิจจังมากกว่า โดยเฉพาะชายร่างใหญ่คนหนึ่งในนั้นที่พอเห็นภาพนี้แล้วก็น้ำตาคลอ เขาเข้าใจชายฝั่งทิศเหนือได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเขาก็คือคนที่ถูกแสงคุ้มกันของป๋ายเสี่ยวฉุนทรมานทั้งเป็นจนหมดเรี่ยวแรงไปในการประลองเล็กปีนั้น
แม้แต่พวกเจ้าสำนักบนแท่นยกก็ยังพูดไม่ออก มองหน้ากันไปมา พากันยิ้มเจื่อน
เขตที่สามของเวทีประลอง กงซุนหว่านเอ๋อร์ขบฟันขาวสะอาด มือทั้งสองทำมุทรา รอบกายนางปรากฏมีดน้ำแข็งจำนวนมากขึ้นมาทันที กลายเป็นเกลียวน้ำวนตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ชั่วขณะนี้เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว มีดน้ำแข็งเหล่านั้นแหลมคมอย่างถึงที่สุด พุ่งกระแทกแสงคุ้มกันแตกออกไปทีละชั้น เห็นได้ชัดว่าลดลงไปไม่น้อยแล้ว แต่พอโล่กระสาเทพเปล่งแสงหนึ่งที มีดทั้งหมดก็ละลายหายไป
“ก็ยังอ่อนมากอยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างอวดดี ในใจของเขาเบิกบานจนแทบจะมีดอกไม้ผลิ รู้สึกภาคภูมิใจราวกับตัวเองคือผู้แข็งแกร่ง
ภาพนี้ทำให้ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือยิ่งโกรธเคือง หากไม่เพราะไม่กล้าละเมิดกฎสำนัก เกรงว่าป่านนี้ทุกคนคงใจร้อนร่วมมือกันเข้าไปสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
ในดวงตาของกงซุนหว่านเอ๋อร์ตลบอบอวลไปด้วยไอสังหาร กัดฟันลงมืออีกครั้ง คราวนี้มีดน้ำแข็งมากกว่าเดิมปรากฏออกมา ไม่เพียงเท่านั้น นางยังรักษาความต่อเนื่องของคาถาเอาไว้ ทำให้มีดน้ำแข็งดิ่งทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นสายอย่างต่อเนื่อง พละกำลังน่าตะลึง น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สะดุ้งโหยงอยู่ในใจ หลังจากแสงคุ้มกันรอบกายของเขายืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่ชั่วอึดใจก็แตกสลายทันที โล่กระสาเทพหมุนเร็วจี๋ พริบตาเดียวก็คุ้มกันเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา นี่ถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคลายใจลงมาได้ เชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้นเอง
กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงกรีดร้องเสียงแหลม ตลอดทั้งร่างส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มุมปากมีเลือดสดไหลซึม ตรงตำแหน่งกลางหน้าผากพลันปรากฏบุปผาน้ำแข็งสีเลือดดอกหนึ่งออกมา พลังฟ้าดินรอบด้านไหลทะลักเข้ามาหลอมรวม อานุภาพไม่ธรรมดา
เวลาเดียวกันนั้นชายฝั่งทิศเหนือเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องสะเทือนฟ้าดิน คนไม่น้อยคำรามบ้าคลั่งด้วยความฮึกเหิม
“นั่นมันบุปผาน้ำแข็งเลือดของศิษย์พี่หญิงกงซุน!”
“บุปผาน้ำแข็งเลือดนี้คือท่าไม้ตายของศิษย์พี่หญิงกงซุน แม้แต่พลังรวมลมปราณขั้นเก้าก็ยังมิอาจสกัดกั้นได้ ต่อให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่จะมีการคุ้มกันแน่นหนาแค่ไหนก็ต้องแพ้แน่!”
บุปผาน้ำแข็งนี้บินลอยมาอย่างรวดเร็ว และยังแผ่กลิ่นอายน่าสยดสยองออกมาเป็นระลอก เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรอบด้าน พริบตาเดียวก็บินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนราวพายุ แสงคุ้มกันพวกนั้นพังทลายลงทั้งหมดทันที โล่กระสาเทพกำลังจะเข้าไปสกัด แต่บุปผาน้ำแข็งเลือดนี้กลับแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งส่วนเข้าขวาง อีกหนึ่งส่วนกลับหักบิดมาโผล่พรวดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน กระแทกลงไปบนหน้าอกของเขาอย่างแรง
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลงมองอย่างแปลกใจ รู้สึกเหมือนมีก้อนหิมะเข้ามากระแทกหนึ่งที เขาสะบัดร่างเบาๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นกงซุนหว่านเอ๋อร์ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตาเหลือกถลนอ้าปากค้าง
“เจ้าค่อยๆ โจมตีไปนะ ข้าไปดูการประลองก่อน” พูดไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนตัว หันไปมองการต่อสู้ในเขตที่หนึ่งและสอง ดูอย่างออกรสออกชาติ ทั้งยังส่งเสียงให้กำลังใจอย่างคึกคักอยู่ตลอดเวลา ท่าทางเช่นนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างกวนประสาทนัก…
———