Skip to content

A Will Eternal 931

บทที่ 931 คงไม่ใช่เทียนจุนหรอกกระมัง

“ชายหนุ่มผู้นั้นคือใครกันนะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองพวกตู้หลิงเฟยที่จากไปไกลแล้ว ส่วนตัวเขายังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความคลางแคลงใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความตะลึง นั่นเป็นเพราะตอนนี้มือขวาของเขายังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดไม่จางหาย

พอลองตรวจสอบอย่างละเอียดเขายังเห็นด้วยว่าเส้นชีพจรที่มือขวาของเขากลับเกิดลางว่าจะปริแตกเพียงเพราะการตบครั้งเดียวนี้ นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือกด้วยความหวาดหวั่น

“หรือว่าเป็นครึ่งเทพ? แต่ครึ่งเทพก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้นี่นา ตอนนี้ข้าเป็นถึงคนฟ้าแล้วนะ…หรือว่า…หรือว่าเป็นเทียนจุน!! เขาแอบเข้ามาในพื้นที่การประลองก็เพื่อต้องการตรวจสอบดูว่าใครที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการรับลูกศิษย์ของเขาอย่างนั้นหรือ?”

ป่ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันสะดุ้งโหยง ตกใจความคิดของตัวเองเกือบตาย

“เป็นไปไม่ได้ เพราะหากเป็นเทียนจุน ข้าจะตบหัวเขาได้อย่างราบรื่นขนาดนั้นได้ยังไง…หากเป็นเทียนจุน ข้าตบเขาไปอย่างนั้น เขาก็ต้องฆ่าข้าไปแล้วน่ะสิ มีหรือที่ตอนนี้ข้ายังจะมีลมหายใจอยู่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบจิตสงบใจ หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียด เขาก็รู้สึกว่าตัวเองหลอกตัวเองให้กลัวแท้ๆ อีกฝ่ายไม่น่าจะใช่เทียนจุนหรอก

ทว่าในใจก็ให้ปลงตก ครุ่นคิดว่าการตบหัวคนอื่นเช่นนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก…

ขณะที่ทอดถอนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินทะยานออกไปไกล เวลาผันผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปได้หลายวัน ในที่สุดเขาก็ใกล้จะบินออกไปจากขอบเขตของทะเลทราย ตอนที่เขามองไปเบื้องหน้า สิ่งที่ตาเห็นก็คือพื้นที่หนองบึงที่ทอดยาวราวกับไร้ที่สิ้นสุดซึ่งเชื่อมต่อกับตรงสุดปลายเขตของพื้นที่ทะเลทราย

หนองบึงผืนนี้ บนพื้นดินมีบางส่วนที่เป็นดินโคลน และมีบางส่วนที่เป็นแอ่งน้ำ อีกทั้งยังมีฟองอากาศเดือดปุดๆ ขึ้นมา หลังจากฟองอากาศพวกนั้นแตกออกก็จะมีไอขุ่นมัวเป็นเส้นๆ ลอยคละคลุ้ง

เป็นเหตุให้ท้องฟ้าเหนือหนองบึงผืนนี้มืดดำขมุกขมัว

หลังจากที่เข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลังเลอยู่พักใหญ่ เขารู้สึกไม่ดีกับหนองบึงแห่งนี้เอามากๆ ราวกับว่าเบื้องใต้หนองบึงซ่อนคลื่นมากมายที่แฝงเจตนาร้ายเอาไว้ ยิ่งระดับความแกร่งกล้าของคลื่นพลังพวกนี้ก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวงมากขึ้น

“สถานที่การประลองแห่งนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพึมพำ ใจอยากอ้อมไปที่อื่น แต่พอคิดว่าความอันตรายของทะเลทรายก็มีมากเช่นกัน สุดท้ายด้วยความจนใจจึงได้แต่เคลื่อนหน้าต่อไป

ขณะเดียวกันเขาก็คอยหยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับเขาแล้ว หากระมัดระวังตัวสักหน่อยก็ย่อมไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นห่วงจางต้าพั่งและโหวเสี่ยวเม่ยมากกว่า หากหาไม่เจอวันหนึ่ง เขาก็กระวนกระวายใจเพิ่มไปอีกหนึ่งวัน

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบเข้าไปในหนองบึง ด้วยความระมัดระวังของเขา อันตรายรุนแรงจริงๆ จังๆ ที่พบเจอจึงไม่ได้มีมากนัก และไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเจอกับเรื่องเสี่ยงภัยไม่น้อย เขามองเห็นว่ากลางนภากาศที่ขุ่นมัวมักจะมีนกหน้าตาดุร้ายหลายตัวบินผ่านไปผ่านมาเป็นประจำ แล้วก็มองเห็นปลิงเป็นฝูงที่เด้งผลึ่งออกมาจากในหนองบึงแล้วดูดกลืนเลือดของนกพวกนั้นจนแห้งขอด

ทั้งยังได้เห็นแมลงลักษณะเป็นเส้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่เลื้อยไปทั่วในหนองบึงแห่งนี้ แม้แต่ซากศพเองเขาก็ยังได้เห็นมากถึงเจ็ดศพ…

แถมยังมีครั้งหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นแมงมุมตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดพอร้อยจั้งโผล่หัวออกมาจากในบึง

มันจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง แต่คล้ายจะสัมผัสได้ว่าเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยากจึงค่อยๆ จมตัวลงไปในบึงเช่นเดิม

“สำหรับก่อกำเนิดแล้ว สถานที่แห่งนี้มันคือพื้นที่แห่งความตายชัดๆ!” ตลอดทางที่ผ่านมานี้ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ และเขาเองก็ได้ผ่านวิกฤตความเป็นความตายมาหนึ่งครั้ง

นั่นคือมือใหญ่เน่าเปื่อยข้างหนึ่งที่จู่ๆ ก็ยื่นออกมาจากใต้บึง มือนี้ใหญ่ราวกับมือยักษ์ เน่าเละไปเสียครึ่ง ทว่าความเร็วกลับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พอโผล่ออกมาจากพื้นโคลนมันก็พกพาเอากลิ่นคาวเลือดตรงดิ่งเข้ามาพร้อมเสียงอึกทึกหมายคว้าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ หากเป็นเพียงแค่มือข้างเดียวก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่มือใหญ่ข้างนั้นปรากฏตัว ในหนองบึงกลับยังมีมือลักษณะเดียวกันนี้ทยอยกันโผล่ออกมา หากไม่เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนมีพลังกล้ามเนื้อให้ใช้อย่างไม่ต้องเสียดายจึงร่ายผนึกมิวางวายอยู่หลายครั้ง ทั้งยังร่ายใช้กระสวยชิ้นนั้นจนทำให้ร่างของเขาลอดทะลวงผ่านพวกมือใหญ่ไปได้ เกรงว่าก็คงยากที่เขาจะสลัดได้พ้น

หลังจากหนีออกจากพื้นที่แห่งนั้นมาได้อย่างยากลำบาก

ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบรัว ข้างหูยังได้ยินเสียงคำรามด้วยความไม่ยินยอมดังอื้ออึ้งมาจากบึงด้านหลังตัวเอง เขาจึงยิ่งเพิ่มความเร็วทะยานจากไปไกลในชั่วพริบตา

“อย่าว่าแต่ก่อกำเนิดเลย คนฟ้ามาอยู่ที่นี่ก็ต้องเจออันตรายรอบด้านเหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งร้อนใจ ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็ได้เจอกับนักพรตของสี่สายอีกบางส่วน

เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่เหล่านั้นล้วนไม่ใช่คนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แต่ขอแค่ไม่ใช่คนจากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ยามที่ได้เห็นใครประสบภัย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

พวกนักพรตที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาต่างก็ซาบซึ้งใจอย่างถึงขีดสุด และในเวลาอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะสืบข่าวร่องรอยของพวกจางต้าพั่งกับพวกเขา ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่รู้จักพวกจางต้าพั่ง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีรูปภาพของคนเหล่านั้นอยู่ในแผ่นหยก

และภายใต้ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้เบาะแสของจางต้าพั่งจากปากของคนคนหนึ่ง!

“ผู้อาวุโสป๋าย คนในภาพวาดนี้ข้าเคยพบเมื่อสองวันก่อน เขาอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ข้าเห็นว่าเหลยหยวนจื่อจากสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ากำลังไล่ฆ่าเขา!”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงคมกริบลุกโชน คนในภาพที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือจางต้าพั่ง

“เมื่อสองวันก่อน…ฝั่งตะวันตก…” หน้าอกของป๋ายเสี่ยวฉุนกระเพื่อมขึ้นลง หลังจากเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก็บึ่งไปยังทิศตะวันตกด้วยความเร็วสูงสุด ขณะเดียวกันก็คอยทดลองส่งข้อความเสียงให้กับจางต้าพั่งด้วย

ในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนฟ้า ความเร็วจึงเหนือว่าก่อกำเนิดอยู่หลายเท่า และตอนนี้ยิ่งเขาห้อตะบึงไปอย่างร้อนรน จึงทำให้มีเสียงอากาศระเบิดดังซัดเป็นทอดๆ อยู่ท่ามกลางพื้นที่หนองบึงแห่งนี้

เขาไม่รู้ว่าเมื่อสองวันก่อนที่จางต้าพั่งถูกไล่ฆ่า อีกฝ่ายจะหนีไปยังทิศทางไหน ตอนนี้จึงได้แต่อาศัยความเร็วของตัวเองมาทดลองตามหาอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ในหนองบึงที่อยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไประยะหนึ่ง จางต้าพั่งกำลังหอบหายใจฮักๆ พลางข่มกลั้นความเจ็บปวด เอามือกระชากปลิงสิบกว่าตัวออกจากร่างของตัวเองอย่างต่อเนื่องและห้อตะบึงหนีไปทั้งๆ ที่ตัวสั่นสะท้าน

เขาไม่กล้าบินขึ้นไปบนฟ้า เพราะหลังจากที่เขาถูกส่งมาที่นี่ ช่วงแรกเริ่มยังถือว่าดีหน่อย อาศัยพลังของโอสถแห่งความคิดที่อยู่ในกายและลางสังหรณ์บางอย่างจึงทำให้เขาหลบพ้นอันตายมากมายได้ล่วงหน้า

เพียงแต่ว่าไม่นานความสามารถนี้ของเขาก็ถูกเหลยหยวนจื่อสังเกตเห็นระหว่างทาง และเห็นได้ชัดว่าเหลยจื่อผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าจางต้าพั่งต้องมีอาวุธล้ำค่าบางอย่างติดตัว แถมเขายังไม่คิดจะฟังคำอธิบายจากจางต้าพั่ง เจอหน้าก็ลงมือสังหารทันที

ตบะของคนทั้งสองต่างกันมากเกินไป อีกทั้งข้างกายของเหลยหยวนจื่อยังมีนักพรตสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าอยู่อีกสองคน คนทั้งสามไล่ฆ่าจางต้าพั่งเดิมทีนับเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ เพียงแต่ประเด็นสำคัญก็คือ จางต้าพั่งดันเริ่มวิ่งห้อไปในหนองบึงแห่งนี้

พอเป็นเช่นนี้ ความเคลื่อนไหวที่เกิดจากแรงของฝีเท้าเขากระทบกับพื้นจึงไปชักนำปลิงจำนวนนับไม่ถ้วนและสิ่งมีชีวิตดุร้ายแต่ละชนิดมาทันที ส่วนจางต้าพั่งที่อาศัยลางสังหรณ์จากโอสถแห่งความคิดก็พอจะหลบเลี่ยงได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังบาดเจ็บหนักอยู่หลายครั้ง ส่วนทางฝ่ายของพวกเหลยหยวนจื่อก็ยิ่งเผชิญกับอันตรายอย่างต่อเนื่อง

มาถึงท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้แต่บินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและคอยไล่ตามจางต้าพั่งมาไกลๆ

มาวันนี้คือวันที่สาม จางต้าพั่งสิ้นหวังเต็มทีแล้ว เขาเหนื่อยล้าเหลือทน ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแห่งความโกรธแค้นไม่ยินยอม ตบะก็เริ่มไม่มั่นคง พลังของทั้งร่างใกล้แห้งขอดเต็มที

ยิ่งเขาไม่สามารถบินขึ้นฟ้าจึงได้แต่วิ่งอยู่ในหนองบึงแห่งนี้ แม้ว่าจะมีลางสังหรณ์จากโอสถแห่งความคิด ทว่าจะอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายไร้ที่สิ้นสุด มีอยู่หลายครั้งที่เขาเกือบจะต้องฝังร่างอยู่ในปากของพวกปลิง

“นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน ยังมีเหลยหยวนจื่อผู้นั้นอีกคน รังแกกันเกินไปแล้ว!!” ไฟโทสะในใจของจางต้าพั่งพวยพุ่งเทียมฟ้าอยู่นานแล้ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บแค้นนี้ไว้ในใจพลางรีบห้อตะบึงไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็คอยส่งข้อความเสียงตามหาสหายจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไปด้วย

เพียงแต่ว่าเวลาสามวันคือขีดจำกัดของเขาแล้ว ตลอดทางมานี้หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายกริ่งเกรงสิ่งมีชีวิตดุร้ายที่อยู่ในหนองบึงจึงไม่ได้รีบร้อนลงมือสังหารเขา เกรงว่าเขาก็คงตายไปนานแล้ว

อีกทั้งตลอดทางมานี้เขายังคอยส่งความเสียงออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ

เมื่อเห็นว่าตัวเองพลังหมดสิ้น จางต้าพั่งก็ยิ้มขื่น เขารู้สึกว่าลางสังหรณ์ครั้งนี้ของตัวเองผิดพลาดอย่างมาก..มาเยือนพื้นที่การประลองที่อันตรายเช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะมีชีวิตรอดออกไปได้

และเวลานี้เอง ร่างของจางต้าพั่งพลันสั่นสะท้าน ลางสังหรณ์จากโอสถแห่งความคิดของเขาทำให้เขาสัมผัสได้ทันทีว่าในหนองบึงที่ห่างจากตนไปพันเมตรมีบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่กำลังพุ่งทะยานมาหาตน

ในความรู้สึกของจางต้าพั่ง บุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้เหมือนจะเป็นคนฟ้า เขาจึงตระหนักได้ทันทีว่าหากอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ตน…ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน!

“ต่อให้ตายก็ต้องลากคนพวกนี้ไปตายด้วยกัน!”

จางต้าพั่งเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายความบ้าคลั่ง ครั้นจึงพุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาพุ่งขึ้นไป เหลยหยวนจื่อที่รูปร่างเหมือนลิงและนักพรตสายเหนือสองคนข้างกายเขาที่สวมอารณ์รัดกุมซึ่งอยู่บนท้องฟ้าห่างออกไปไกลก็พลันพุ่งมาอย่างเร็ว

ความเร็วนั้นดูท่าแล้วอีกไม่นานก็คงเข้ามาใกล้ แต่เวลานี้เอง หนองบึงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรกลับเดือดพล่านซัดหลุนๆ ก่อนที่แมงมุมขนาดร้อยจั้งตัวหนึ่งจะเผยกายออกมาครึ่งหนึ่งแล้วทำท่าจะกระโจนขึ้นฟ้า!

ภาพนี้ทำให้พวกเหลยหยวนจื่อหน้าเปลี่ยนสี คิดจะก้าวถอย ทว่าวินาทีนี้เอง จางต้าพั่งที่เตรียมจะทุ่มสุดกำลังเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเหลยหยวนจื่อหนีไปก็พลันสัมผัสได้ถึงแรงสั่นของแผ่นหยกส่งข้อความเสียงจากในถุงเก็บของของเขาเอง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอยู่ไหน!!”

จางต้าพั่งตะลึง เหมือนคนมองเห็นแสงสว่างในทางตันมืดมิด เขาไม่คิดจะขัดขวางการหนีของพวกเหลยหยวนจื่อสามคนอีกต่อไป แต่แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามด้วยเสียงที่ดังที่สุด

“เสี่ยวฉุนช่วยข้าด้วย!!”

เสียงคำรามนี้ดังแผ่ครืนครั่นไปทั่วทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังห้อตะบึงมาไกลๆ พลันหยุดชะงัก ครั้นจึงหันหน้าไปทางทิศเหนือ บัดนี้พลังอำนาจของเขาได้พวยพุ่งขึ้นฟ้า ปานประหนึ่งอสนีบาตที่ระเบิดเปรี้ยง ความเร็วปะทุถึงขีดสุดราวกับดาวตกดวงหนึ่งที่แล่นฉิวไปข้างหน้า ปณิธานแห่งคนฟ้าอบอวลไปทั่ว ทำให้นภากาศกลิ้งซัดตลบปั่นป่วน เผยให้เห็นเป็นใบหน้าใหญ่ยักษ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตรงดิ่งมาหาจางต้าพั่ง!

ความเร็วนั้นเหนือเกินกว่าการหายตัว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version