บทที่ 933 เจ้าต้องจงใจแน่นอน
หากเปรียบเทียบเกาะทงเทียนเป็นวังหลวง เทียนจุนก็คือจักรพรรดิ
ส่วนบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักต้นน้ำทั้งสี่ที่อยู่ใต้สังกัดของเขาก็เป็นเหมือนสี่ราชาสวรรค์อย่างพวกราชาผียักษ์
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและอวิ๋นเหลยจื่อจึงเป็นเหมือนผู้อาวุโสซึ่งอยู่ในกองกำลังใต้บังคับบัญชาของราชาสวรรค์สองคน แม้ว่าหากมองในมุมกว้างแล้ว คนทั้งสองจะถือเป็นกองกำลังฝั่งเดียวกัน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…ความขัดแย้งและการเข่นฆ่าระหว่างกันกลับไม่เคยหยุดพัก หากอยู่ในโลกภายนอก ยังมีบุรพาจารย์ครึ่งเทพคอยยื่นมือขัดขวาง จึงไม่ทำให้สภาพการณ์ระหว่างพวกเขาชะงักงันเกินไปนัก
ทว่าเมื่อมาอยู่ในพื้นที่การประลองแห่งนี้ ต่อให้เกิดเรื่องจนถึงขั้นมีคนตายจริงๆ ออกไปแล้วคนข้างนอกก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องที่แฝดของตนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเผาผลาญพลังอย่างน่าเอนจอนาถ ตอนนี้มาเห็นศิษย์รักของตัวเองตายอนาถอยู่ในเงื้อมมือของป๋ายเสี่ยวฉุนคาตาตัวเอง
แค้นเก่าแค้นใหม่จึงพลันไหลบ่าจู่โจมหัวสมอง ทำให้ไฟโทสะของอวิ๋นเหลยจื่อพวยพุ่งเทียมฟ้า ปณิธานของเขาก็ยิ่งซัดครืนครั่นออกไปทั่วนภากาศ เป็นเหตุให้ใบหน้าใหญ่ยักษ์ของเขาที่อยู่กลางท้องฟ้าเป็นดั่งอานุภาพสยบแห่งสวรรค์ที่เยื้องกรายมาเยือน
ตามหลังเสียงคำราม ร่างของเขาก็คล้ายสายฟ้าเส้นหนึ่งที่พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งระหว่างที่ขยับเข้ามาใกล้นี้ รอบกายของเขายังมีอสนีสวรรค์อีกหลายเส้นก่อตัวกันขึ้นมา!
อสนีสวรรค์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาแค่ชั่วกะพริบตาก็มีมากหลายแสนเส้น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้พื้นที่ตรงจุดนี้เหมือนถูกยึดครองด้วยสายฟ้า กลายเป็นบ่อสายฟ้า ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อก็คือนายของสายฟ้าพวกนี้!
ม่านตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว เขาสัมผัสได้ทันทีว่าอวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้แข็งแกร่งกว่าคนที่เจอก่อนหน้านั้นไม่น้อย แม้จะเป็นคนฟ้าช่วงกลาง
ทว่าอวิ๋นเหลยจื่อคนก่อนหน้านี้เหมือนคนที่เพิ่งเลื่อนสู่ช่วงกลางได้ไม่นาน ทว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับคล้ายจมจ่อมอยู่ในช่วงกลางมานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนเป็นคนฟ้าช่วงท้ายได้ อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังวิเคราะห์ได้ในชั่วพริบตาว่าระดับความแข็งแกร่งของอวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่เบื้องหน้านี้ยังเหนือกว่าพวกเฉินเห้อเทียนสามคนด้วยซ้ำ
นี่คือศัตรูในเขตแม่น้ำทงเทียนที่แข็งแกร่งที่สุด…เท่าที่เขาเคยเจอมาและเคยได้ประมือด้วยอย่างแท้จริง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลามามัวคิดให้มากความ ร่างของเขารีบถอยกรูดไปข้างหลัง ทั้งยังคว้าจับเอาจางต้าพั่งที่ตอนนี้หมดสติไปอีกครั้งโยนกลับเข้าไปในถุงเก็บของ เพียงแต่ว่าคนที่มีชีวิตมิอาจอยู่ในถุงเก็บของได้นานนัก แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว และวินาทีที่เขาถอยหนีไปนั้นเอง พื้นที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ก็มีอสนีสวรรค์หลายแสนเส้นพุ่งตรงมากลบทับพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้อง
ฟ้าดินสั่นสะเทือน อวิ๋นเหลยจื่อที่พกพาความเดือดดาลค้ำฟ้าพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วพลางยกมือขวาทำมุทรา ทันใดนั้นอสนีสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็พากันมารวมอยู่ในมือขวาของเขาในชั่วพริบตา เมื่อเขากำมือเข้าหากันแน่น ธนูสายฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์คันหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นมาทันที!
“ตายซะเถอะ!!” อวิ๋นเหลยจื่อคำรามลั่นแล้วน้าวสายธนูสายฟ้า ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงเข้มเส้นหนึ่งก็รวมตัวกันขึ้นมาเป็นลูกธนู นี่ไม่ใช่อาวุธอาคม แต่เป็นวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งของอวิ๋นเหลยจื่อ พอเขาปล่อยมือ เสียงสวบดังลั่น สายฟ้าสีม่วงเข้มเส้นนั้นที่พกพาเอาพลังแห่งการทำลายล้างทุกสรรพสิ่งก็พลันแหวกความว่างเปล่าตรงดิ่งไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ความจริงกลับเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเครียดขรึม แต่กลับไม่มีความลนลานใดๆ ปรากฏให้เห็น เขาไม่เสียใจที่ก่อนหน้านี้สังหารเหลยหยวนจื่อไป และยามนี้ต่อให้เห็นว่าอวิ๋นเหลยจื่อคลั่งแค้น กระโจนเข้ามาด้วยอานุภาพแกร่งกร้าวน่าครั่นคร้าม
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีประกายเหี้ยมเกรียมวาบผ่านไป
“นึกว่าข้าผู้อาวุโสกลัวเจ้าจริงๆ งั้นรึ?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว แม้เขาจะกลัวตาย แต่ประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาเข้าใจมานานแล้วว่ายิ่งเป็นช่วงเวลาอย่างนี้ ตนก็ยิ่งต้องควรทุ่มสุดชีวิตมากเท่านั้น!
เพราะหากตนไม่พยายามอย่างเต็มที่ ก็เท่ากับวางชีวิตน้อยๆ ไว้ในกำมือของผู้อื่น ให้ผู้อื่นกำชะตาชีวิตของตนเอาไว้…
ท่ามกลางเสียงคำราม ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับยังก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว มือทั้งคู่ยกขึ้นวาดไปรอบด้านอย่างแรง ปากพ่นคำสามคำ
“คาถาคนขุนเขา!”
ตูมๆๆ!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดปาก ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า และในเวลาสั้นๆ ก้อนหินพวกนี้ก็มาเกาะอยู่เต็มร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวมนุษย์หินร่างใหญ่พอร้อยจั้งก็เยื้องกรายลงมาท่ามกลางฟ้าดิน
พลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาลก็ยิ่งระเบิดครืนครั่นออกมาจากร่างหินของป๋ายเสี่ยวฉุน ท่ามกลางลักษณะพลังอันน่ากริ่งเกรงของเขา เขาพลันเหวี่ยงหมัดออกไปปะทะเข้ากับสายฟ้าสีม่วงเข้มจากการยิงของอวิ๋นเหลยจื่อที่พุ่งมากลางอากาศ
เสียงกัมปนาทดังไปทั่วสี่ทิศ ใบหน้าที่จำแลงมาจากปณิธานของป๋ายเสี่ยวฉุนและใบหน้าของอวิ๋นเหลยจื่อก็เหมือนจะพุ่งเข้าโรมรันกัน ทำให้นภากาศทั้งผืนส่ายไหวเปลี่ยนสี แผ่นดินก็ยิ่งสะเทือนเลือนลั่น สายฟ้าสีม่วงเข้มเส้นนั้นปริแตกไปทีละชุ่น ส่วนร่างมนุษย์หินของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีรอยแตกเกิดขึ้นไม่น้อย
ทว่าสุดท้ายแล้วสายฟ้าสีม่วงเข้มนั่นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ หลังจากสลายหายไปหมด ร่างมนุษย์หินของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงสภาพสมบูรณ์แบบ และเวลานี้เขาก็แผดเสียงร้องคำรามแล้วกระโจนเข้าหาอวิ๋นเหลยจื่อ
ลมหายใจของอวิ๋นเหลยจื่อถี่รัวขึ้นมาน้อยๆ นัยน์ตาโชนแสงคมกริบ แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้ เขาก็พลันยกมือซ้ายขึ้นแล้วคว้าไปยังความว่างเปล่าข้างกายตัวเองอย่างแรงพร้อมๆ กับที่ปากพ่นถ้อยคำออกมาหลายคำคล้ายกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่หนึ่ง!”
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเปิดปาก จู่ๆ ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อก็เลื้อยขยุกขยิกคล้ายมีงูเล็กๆ หลายตัวเลื้อยไปทั่วร่างของเขา ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้ม สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เสียงคำรามที่ดังออกมาจากปากของเขาคล้ายเสียงแผดร้องของสัตว์ป่า
ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของเขาพองขยายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายมามีขนาดถึงสิบจั้ง ร่างกายสองฝั่งก็ไม่ได้แตกต่างกันอย่างเด่นชัดอีกต่อไป แม้จะข้างหนึ่งจะยังหนา อีกข้างยังบาง แต่มองดูแล้วกลับดีกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ขณะเดียวกันปราณของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างทั้งร่างเหมือนระเบิดปะทุ ความรู้สึกที่มอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยสามเท่าขึ้นไป!
อีกทั้งนอกร่างของเขายังมีวงแสงสีแดงเส้นหนึ่งที่เปล่งวาบออกมา แสงที่อยู่ในวงแสงนั้นหมุนวน เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังการปกป้องที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง
โฮก!
อวิ๋นเหลยจื่อที่แปลงกายเสร็จแล้วพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็กเป็นสีแดงฉาน นัยน์ตาฉายความบ้าคลั่ง ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายป่าเถื่อนชั่วร้าย แล้วจู่ๆ เขาก็กระโจนเข้าหาร่างหินของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนผงะตกใจไปกับการแปลงร่างของอวิ๋นเหลยจื่อเข้าจริงๆ ดวงตาของถลึงโปนราวกับจะหลุดออกมาจากเบ้า
“แปลงร่างได้ด้วยหรือนี่!!”
“แถมยังเป็นแค่การแปรเปลี่ยนครั้งที่หนึ่ง นั่นก็ไม่เท่ากับว่ายังมีการแปรเปลี่ยนครั้งที่สอง ครั้งที่สามหรอกหรือ…”
“สมควรตายนัก ข้าล่ะเกลียดเวลาที่ต้องสู้กับไอ้พวกแปลงร่างได้ที่สุดเลย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้มัวมาคิดมาก ได้แต่แสดงความดุดันออกมาทางดวงตาพลางก้าวเท้าออกไปพุ่งชนกับอีกฝ่าย
“ข้าจะซัดให้เจ้าไม่มีโอกาสแปลงร่างต่ออีกเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดังลั่น ครั้นจึงร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขา ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ความเร็วของเขาพลันระเบิดออก เมื่อมองไปก็คล้ายกับภูเขาลูกยักษ์ที่ถูกขว้างออกไปด้วยความเร็วสูงสุด พริบตาเดียวก็ชนโครมเข้ากับอวิ๋นเหลยจื่อ
ฟ้าสะท้านดินสะเทือน แปดทิศโยกไหว ใต้แรงโจมตีนี้ทำให้ดินโคลนของหนองบึงที่อยู่เบื้องล่างกระเซ็นเซ่นซ่านไปสี่ทิศ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านใต้แตกฮือหนีไปคนละทิศคนละทาง
อานุภาพสยบที่มาจากป๋ายเสี่ยวฉุนและอวิ๋นเหลยจื่อทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้
ร่างหินของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกทลายไปไม่น้อย
ขณะเดียวกันวงแสงสีแดงนอกร่างของอวิ๋นเหลยจื่อก็พังทลาย มุมปากของเขามีเลือดสดไหลลงมา ร่างสั่นเทิ้ม ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนจนกระเด็นไปข้างหลัง
“ไม่นึกว่าร่างจำแลงของไอ้หมอนี่จะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!”
เลือดลมของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พลุ่งพล่าน ตื่นตะลึงอยู่ในใจ ทว่าวินาทีที่เขากำลังจะไล่ตามไปซ้ำนั้นเอง อวิ๋นเหลยจื่อพลันเงยหน้าแล้วยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราอีกครั้ง
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่สอง!!”
หนังตาป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระตุกยิกๆ ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อพองขยายอีกครั้ง พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่กว่ารอบแรกหนึ่งเท่ากว่าจนสูงใหญ่เกือบๆ ยี่สิบกว่าจั้ง สองฝั่งของเรือนกายก็สมดุลขึ้นอีกไม่น้อย พลังอำนาจแกร่งกร้าวยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ถึงสามเท่า!
ขณะเดียวกันนอกร่างของเขาก็ไม่ได้มีแค่วงแสงสีเดียวอีกต่อไป แต่มีสีส้มเพิ่มขึ้นมา! เมื่อมองไปจะเห็นว่าแสงสีแดงกับแสงสีส้มตัดสลับกันกลายเป็นโล่อาคมที่ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนประหวั่นพรั่นพรึง
“ยังจะเปลี่ยนอีกรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา ด้านหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าเจ้าอวิ๋นเหลยจื่อผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเก่าเยอะมาก อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกโกรธเกรี้ยว เพราะก่อนหน้านี้เขาดันโพล่งไปแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้แปลงร่างเป็นครั้งที่สอง
แต่นี่เจ้าอวิ๋นเหลยจื่อกลับแปลงกายอีกครั้งแล้ว
“เจ้าไม่มีโอกาสแปลงกายเป็นครั้งที่สามแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำราม กำลังจะลงมือ ทว่าเวลานี้เอง เสียงของอวิ๋นเหลยจื่อที่ราวกับฟ้าผ่าดันดังขึ้นมาติดๆ กันอีกหลายครั้ง
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่สาม!”
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่สี่!!”
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่ห้า!!!”