บทที่ 935 พิฆาตเทพ
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าบัดนี้นภากาศได้กลายมาเป็นสีเลือด แปดทิศของหนองบึงก็ปรากฏริ้วคลื่น แผ่นดินเหมือนจะกระเพื่อมขึ้นลง…นั่นเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในหนองบึงสัมผัสได้ถึงปราณเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตัวสั่นโดยสัญชาตญาณเลยชักนำให้เกิดคลื่นเหล่านี้ขึ้นมา!
ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อเวลานี้หัวใจก็เต้นกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลมหายใจของเขาหอบรัว หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ในสมองมีเสียงดังอื้ออึงไม่หยุด ความหวาดกลัวของเขาพุ่งสูงถึงขีดสุด
“สมควรตายนัก เหตุใดเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!!”
“เขาเป็นแค่คนฟ้าช่วงต้นเท่านั้นนะ!!” อวิ๋นเหลยจื่อร้องคำรามอยู่ในใจ ทั้งยังรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งยวด เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนประมาทเกินไป เหตุใดต้องไปยั่วให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหด้วย แถมยังมัวหัวเราะเยาะอีกฝ่าย ตอนที่หนีได้ดันไม่หนี ยังคิดจะล่อลวงให้อีกฝ่ายมาติดกับ
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ ยิ่งนัก
เวลานี้หัวใจสั่นสะท้าน ใช้ความเร็วที่แทบจะมากที่สุดเผ่นทะยานออกไป จนกระทั่งเริ่มทิ้งระยะห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าเวลานี้เอง ในดวงตาสีเลือดที่มองดูชั่วร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเงยหน้าขึ้นพลันมีแสงสีเลือดเปล่งวาบออกมา เพียงแต่ว่าแสงสีเลือดนี้อยู่ในหมอกโลหิตรอบกายเขา คนนอกจึงมองไม่เห็น
และเวลานี้ปากเขาก็พ่นคำที่ราวกับไม่ใช่เสียงของเขาออกมา…
“พิฆาต เทพ!”
วินาทีที่สองคำนี้หลุดออกมาเบาๆ จากปากของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของเขาก็มีเสียงตูมดังลั่น ร่างทั้งร่างหายไปจากจุดเดิม เห็นเป็นเพียงแค่เส้นสีเลือดเส้นหนึ่งที่แหวกทะลวงความว่างเปล่าและกาลเวลาด้วยความเร็วที่มิอาจบรรยาย!
เหนือกว่าการหายตัว เหนือกว่าความเร็วแสง เหนือกว่าทุกความเร็วบนโลกใบนี้ เพียงแค่กะพริบตาก็ไล่ตามมาอยู่ข้างกายของอวิ๋นเหลยจื่อ ความเร็วนี้มากเกินไป เป็นเหตุให้อวิ๋นเหลยจื่อไม่ทันตั้งตัว เมื่อเขาคืนสติ หมอกโลหิตนอกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทะยานมาด้วยความเร็วน่ากลัวนี้ก็ได้ปะทะเข้ากับร่างของเขาแล้ว
เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของอวิ๋นเหลยจื่อ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างที่สั่นเทิ้มของเขาเริ่มแห้งเหี่ยว ความหวาดกลัวในใจของเขาเวลานี้เรียกว่าไร้คำบรรยายไปแล้ว
“นี่…นี่มันความเร็วอะไรกัน!!”
“เขา…เขากำลังดูดพลังชีวิตของข้า!!” อวิ๋นเหลยจื่อที่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดรีบระเบิดแสงห้าสีที่ปกป้องทั่วร่างสุดชีวิต หมายจะต้านทาน แต่กลับมิอาจรับมือกับวิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เลย
เสียงอึกทึกดังกึกก้อง ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใบหน้าของเขาซีดขาว สัมผัสได้ถึงวิกฤตความตายที่รุนแรงถึงขีดสุด อีกทั้งไฟแห่งชีวิตของเขายังเริ่มมอดดับไปอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป แค่การชนครั้งเดียว แค่การดูดครั้งเดียวก็น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ นี่จึงทำให้อวิ๋นเหลยจื่อที่ตัวสั่นเทิ้มแผดเสียงร้องคำรามอย่างสิ้นหวัง
“ไม่!!”
ความเสียใจที่ผุดขึ้นมาในใจของอวิ๋นเหลยจื่อมากจนเรียกได้ว่าเกินพรรณนา ทว่าขณะที่เขานึกว่าตัวเองจะหนีเคราะห์ครั้งนี้ไม่พ้นนั้นเอง
เขากลับพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ท่ามกลางหมอกเลือดข้างกายตัวเองคล้ายจะมีบางอย่างผิดปกติ ดวงตาของเขาไม่มีชีวิตชีวา คล้ายคนที่สูญเสียสติไปชั่วขณะ
อวิ๋นเหลยจื่อตัวสั่นสะท้าน เหมือนคนที่คว้าความหวังได้ในความสิ้นหวัง เสียงหายใจของเขาหอบหนัก ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก ร่างของเขาพลันมีเสียงปังระเบิดดังลั่น ก็ไม่รู้ว่าร่ายใช้วิชาอภินิหารอะไร จู่ๆ ร่างของเขาถึงได้ขยายใหญ่อีกครั้ง แสงห้าสีก็กะพริบพร่างพราว ก่อนที่เขาจะกัดฟันแล้วพุ่งดิ่งลงไปยังหนองบึงที่อยู่เบื้องล่าง
พริบตาเดียวเขาก็พุ่งมาอยู่ในหนองบึงแล้ว ทว่าชั่วขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในหนองบึงนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับก้มหน้าลง ครั้นจึงขยับร่างด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมแล้วไล่ตามอวิ๋นเหลยจื่อไป…ในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน!
ตลอดทั้งหนองบึงพลันสะเทือนสั่นไหว ปลิงดูดเลือดตายกันเป็นเบือในชั่วพริบตา หาใช่ตายเพราะแรงสั่นสะเทือนไม่ แต่ตายเพราะหมอกเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งมาปกคลุมได้ดูดดึงพลังชีวิตทั้งหมดของพวกมันไป
ไม่เพียงแต่ปลิงพวกนี้เท่านั้น ยังมีแมลงเส้นใยรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ซ่อนตัวอยู่ในหนองบึงแห่งนี้ด้วย ไม่ว่าสิ่งใดที่ปะทะเข้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะต้องตายไปในชั่วพริบตา!
“เขาผิดปกติจริงๆ ด้วย เวทลับที่น่ากลัวขนาดนี้ต้องมีข้อบกพร่องอยู่แน่นอน!!”
อวิ๋นเหลยจื่อที่รอดพ้นมาจากความตายพลันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง
เขามองออกทันทีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนคนไม่มีสติ เมื่อเขาก้าวเข้ามาในหนองบึงแห่งนี้กลับไม่ได้ตามมาไล่ฆ่าตน แต่กลับเริ่มดูดดึงพลังชีวิตของสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านอย่างไม่เลือกหน้า นี่จึงเปิดโอกาสให้เขาได้หนี เขาฉวยโอกาสที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังจมจ่อมอยู่กับการดูดดึงพลังชีวิตมาเผ่นหนีสุดชีวิตโดยไม่สนใจว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไหร่ ตามความคิดของเขา แม้ว่าหนองบึงแห่งนี้จะอันตราย แต่เมื่อเทียบกันแล้วสิ่งเหล่านี้ยังนับว่าปลอดภัยกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก
และทั้งๆ ที่เขามองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผิดปกติ แต่ลึกๆ ในใจกลับไม่กล้ามีความคิดที่จะย้อนกลับมาเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะเวทลับของป๋ายเสี่ยวฉุนทำเอาเขาขวัญหนีดีฝ่อ ความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในหัวเวลานี้ก็คือ…หากยังไม่ได้ผสานรวมกับร่างแยกของตัวเอง เจอป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อไหร่ต้องหนีอย่างเดียวเท่านั้น!
หนึ่งก้านธูปต่อมา อวิ๋นเหลยจื่อที่หนีหัวซุกหัวซุนมาไกลจากหนองบึงแล้วก็พลันทะยานตัวขึ้นไปบนฟ้า เวลานี้ทั่วร่างของเขามีปลิงดูดเลือดจำนวนไม่น้อยเกาะอยู่ ทั้งยังมีแมลงเส้นใยอีกมากเกินจะนับ แต่เขาไม่มีเวลามามัวสนใจพวกมัน พอพุ่งออกมาจากเขตพื้นที่นั้นได้ เขาก็อ้าปากหอบหายใจฮักๆ ครั้นจึงระเบิดความเร็วเต็มกำลังห้อทะยานไปยังทิศไกล รอจนห่างมาไกลมากแล้ว เขาถึงได้กล้าเอาเวลามาจัดการกับพวกปลิงและแมลงเส้นใยที่อยู่บนร่างพลางหันกลับไปมองหนองบึงด้านหลังด้วยความหวาดผวาไม่หาย
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มันตัวประหลาดชัดๆ! หากคนผู้นี้ไม่ตาย เขาก็ต้องกลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจของสายเหนือในวันหน้าแน่นอน!!” อวิ๋นเหลยจื่อสูดลมหายใจเขาลึก กัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นเต็มอก
“แต่ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ขอแค่เขายังไม่เป็นคนฟ้าช่วงกลาง ถ้าเช่นนั้นเมื่อข้าและร่างแยกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน…ก็ต้องสังหารเขาได้แน่นอน!” คิดมาถึงตรงนี้อวิ๋นเหลยจื่อก็รีบติดต่อกับร่างแยกของตนแล้วห้อทะยานจากไปไกล
ส่วนหนองบึงในเวลานี้ที่หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างเข้ามาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คล้ายมีมรสุมที่พัดไปทั่วพื้นที่แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง…
กลางหนองบึง ปลิงจำนวนนับไม่ถ้วนใช้พละกำลังที่มากที่สุดหนีแตกฮือกันไปทั่วทิศราวกับคลุ้มคลั่ง บ้างก็เหมือนกำลังหาที่ซ่อนตัว บ้างก็เหมือนเผ่นหนีสุดใจขาดดิ้น และยังมีพวกแมลงเส้นใยเหลือคณานับที่มีอาการไม่ต่างกัน
แม้แต่พวกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าพวกมันอย่างแมงมุม ยักษ์ ฯลฯ ทุกสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในหนองบึง เวลานี้ต่างก็พากันตัวสั่นเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
มรสุมลูกนี้กวาดตะลุยไปแปดทิศ พัดผ่านที่ใด ร่างของทุกสิ่งมีชีวิตก็ล้วนแห้งเหี่ยว พลังชีวิตดับสิ้น…
จนกระทั่งผ่านไปสองก้านธูป…
ในหนองบึงพลันมีเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าดินดังออกมา ก่อนที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจะพุ่งพรวดออกมาจากบึงแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั่วกายเขาไม่มีปราณเลือดล้อมวนอีกแล้ว ใบหน้าของเขาแดงปลั่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ร่างกายก็ยังสั่นเทิ้มอย่างที่มิอาจควบคุม
พอบินออกมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สนใจเรื่องที่อวิ๋นเหลยจื่อหนีไปแม้แต่น้อย แต่รีบหาพื้นที่แห่งหนึ่งแล้วนั่งลงตรวจสอบสภาพในร่างกายของตัวเอง
ผ่านไปพักใหญ่ พอป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาก็ยังคงมีความพรั่นพรึงเหลือให้เห็น
“สมควรตายนัก นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมวิชาพิฆาตเทพนี้ถึงทำให้จิตสำนึกของข้าหายไปกะทันหัน…เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนหวนนึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ใจของเขาก็ยังผวาไม่หาย
เขามั่นใจมากว่าหลังจากที่จิตสำนึกของตนหายไป หาใช่ว่ามีจิตสำนึกอื่นเข้าควบคุมร่างกายตน แต่เป็นร่างกายของเขาเองที่คล้ายแยกออกจากจิตสำนึกตัวเอง และอาศัยเพียงสัญชาตญาณมาดูดดึง…พลังชีวิตทั้งหมดที่มองเห็น
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว
“ไม่ได้นะ หากยังไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมพิฆาตเทพถึงเป็นเช่นนี้ จะเอาวิชาอภินิหารนี่มาใช้อีกไม่ได้เด็ดขาด อันตรายเกินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่น ความรู้สึกที่ว่าจู่ๆ ตนก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีสีหน้าตะลึงพรึงเพริดน้อยๆ ก็พบว่าเลือดคงกระพันหนึ่งหยดในร่างของตนที่เดิมทีแตกสลายไปแล้ว มาตอนนี้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง!
พอจะจินตนาการได้เลยว่าเวลาสองก้านธูปที่เขาอยู่ในหนองบึงแห่งนั้น เขาได้ดูดซับพลังชีวิตมาไม่รู้มากน้อยแค่ไหน…
“วิชาอภินิหารที่ดีขนาดนี้ หากสามารถควบคุมได้จะดีแค่ไหนกันนะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มคิดไม่ตก ก้มหน้าลงมองหนองบึงที่อยู่เบื้องใต้ อำนาจจิตของเขาที่แผ่ออกไปทำให้รู้ว่าในหนองบึงรอบด้านนี้ไม่มีคลื่นพลังชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว…
อีกทั้งต่อให้เดินพ้นมาจากจุดเดิมไกลมาก เขาก็ยังค้นพบด้วยความแตกตื่นว่าในหนองบึง…ยังคงไม่มีคลื่นพลังชีวิต
“ข้า…ข้าดูดพลังมามากน้อยแค่ไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงลานไปอีกครั้ง หลังจากดวงตากลอกกลิ้งไปมา เขาก็พลันรู้สึกฮึกเหิม
“ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าข้าจะร้ายกาจขนาดนี้ แม้ว่าพิฆาตเทพจะทำให้จิตสำนึกของข้าหายไปชั่วขณะ แต่ก็ยังมีความมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับข้าไม่น้อยอยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตื่นเต้น ทั้งเสียดายและทั้งคิดไม่ตก หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ได้พบคลื่นพลังชีวิตในหนองบึงนี่อีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกก็คือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นจะต้องหายวับไปในชั่วพริบตา เหมือนกับว่ากลัวเขาจนต้องเผ่นหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเข้าไปอีก เขารีบตบถุงเก็บของของตัวเอง หลังจากปล่อยจางต้าพั่งออกมาแล้วก็เอามือกดลงไปบนหน้าผากของจางต้าพั่ง ไม่นานจางต้าพั่งก็ลืมตามามองรอบด้านอย่างงุนงง จนกระทั่งมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน
เขาก็อึ้งค้างไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกระโดดเหยง หมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนเอามือไพล่หลังเชิดคางรออยู่นานแล้วกลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน
“ศิษย์พี่ใหญ่ เนื่องจากท่านถูกหนองบึงแห่งนี้ลอบโจมตี ดังนั้นศิษย์น้องอย่างข้าที่เดือดดาลอย่างหนักจึงทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในหนองบึงแห่งนี้สำนึกผิดแล้ว นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ยามใดที่พวกมันเห็นพวกเราก็จะรีบหลีกทางให้ทันที ไม่เชื่อท่านจะลองดูก็ได้!”