บทที่ 937 เขายังเด็ก
พื้นที่การประลองแบ่งออกเป็นทะเลทราย หนองบึง พื้นที่ราบและผืนป่า
ทั้งสี่เขตนี้ต่างก็มีอันตรายไร้ที่สิ้นสุดซ่อนแฝง มาจนถึงบัดนี้นักพรตเกือบพันคนจากแม่น้ำสี่สายยังเหลือชีวิตอยู่อีกกี่คน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ได้
และในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดการประลองครั้งนี้จึงมีเงื่อนไขเพียงแค่ข้อเดียวนั่นก็คือนักพรตที่เข้าร่วมอย่างน้อยต้องมีตบะเป็นก่อกำเนิด…นั่นก็เพราะในพื้นที่การประลองแห่งนี้ หากตบะต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา ไม่พูดว่ายากลำบากทุกก้าวย่าง ก็แทบไม่ต่างจากนั้นสักเท่าไหร่นัก
ต่อให้เป็นก่อกำเนิดเอง…ก็ยังเคราะห์ร้ายมากกว่าดี!
อย่างซุนอู๋ผู้นี้ที่เดิมทีคือก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบของแม่น้ำสายใต้ ถูกมองเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ อีกทั้งเมื่ออยู่ในสำนักของเขา เขาก็คือบุคคลที่หลายคนมองว่ามีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะได้กลายเป็นคนฟ้า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในวงล้อมของฝูงหมาป่า ชีวิตของเขาก็ยังแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่ดี
แค่นี้ก็พอจะจินตนาการได้ถึงระดับความอันตรายของสถานที่การประลองแห่งนี้ และเมื่อตอนนี้ได้ยินซุนอู๋พูดถึงเรื่องช่วยซ่งเชวียออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเงยหน้า ลมหายใจถี่รัวน้อยๆ ต่อให้ระหว่างเขาและซ่งเชวียจะมีอคติและความไม่ยอมแพ้กันอยู่เสมอ แต่จะอย่างไรซะนั่นก็คือหลานของเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสัมพันธ์ของเขาและซ่งจวินหว่านได้ขยับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว นั่นจึงทำให้ซ่งเชวียยิ่งกลายมาเป็นเหมือนหลานแท้ๆ ของเขาเข้าไปอีก
หากอีกฝ่ายถูกขังอยู่ในสถานที่อื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนคงพอจะมีอารมณ์พูดคุยหยอกล้ออยู่บ้าง แต่ตอนนี้เมื่อมาอยู่ในพื้นที่การประลองที่อันตรายอย่างถึงที่สุดแห่งนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มร้อนใจเหมือนกัน เขาจึงรีบถามถึงทิศทางที่ซ่งเชวียอยู่จากซุนอู๋อย่างละเอียดทันที
ซุนอู๋ไม่กล้าปกปิด หลังจากบอกเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองรู้ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันขยับร่างตรงดิ่งไปยังจุดที่อีกฝ่ายพูดถึง เมื่อเขาห้อตะบึงออกไป ซุนอู๋และจางต้าพั่งที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มตึงเครียดแล้วติดตามมาอย่างว่องไวเช่นกัน
คนทั้งสามกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวที่พุ่งถลาออกมาจากพื้นที่หนองบึง
ด้วยความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุน บวกกับความร้อนใจในเวลานี้จึงทำให้เขาทะยานไปรวดเร็วจนแทบจะใกล้เคียงกับการหายตัว ไม่นานก็ทิ้งระยะห่างกับจางต้าพั่งและซุนอู๋ ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน ในที่สุดเขาก็มองไกลๆ ไปเห็นพื้นที่ที่ซ่งเชวียถูกกักตัวตามที่ซุนอู๋บอก
เพิ่งจะมาถึง ปราณของเขาก็ทำให้ในหนองบึงแห่งนี้เกิดริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมทันที ขณะเดียวกันเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดอำนาจจิตมองไปครั้งหนึ่ง เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“เชวียเอ๋อร์เด็กคนนี้ดวงแข็งยิ่งนัก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คลายใจลงได้แล้วจึงเชิดคางขึ้นน้อยๆ ทอดถอนใจที่ซ่งเชวียไม่เพียงแต่ดวงแข็ง ยังโชคดีมากอีกด้วย เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบแล้วว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายเจอกับวิกฤตเป็นตาย ตนจะต้องมาเจอและคอยช่วยเอาไว้แทบทุกครั้ง
ซ่งเชวียในเวลานี้เป็นเช่นทุกครั้ง เขาถูกกักตัวอยู่ในหนองบึงที่เป็นสีม่วง รอบๆ หนองบึงแห่งนี้มีดวงตาที่เป็นคู่ๆ อยู่นับไม่ถ้วน ดวงตาเหล่านี้ต่างก็ลอยอยู่ในหนองบึง แต่ละข้างมีขนาดหลายจั้ง
ในดวงตาพวกนี้ผนึกนักพรตเอาไว้หลายสิบคน…
นักพรตเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง มาจากแม่น้ำทั้งสี่สาย ส่วนใหญ่ในนั้นล้วนกลายมาเป็นโครงกระดูกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างของพวกเขาเน่าเละไปแล้วเกินครึ่ง…
มีเพียงสองคนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ด้วยลมหายใจรวยริน…หนึ่งในนั้นก็คือซ่งเชวีย
ซ่งเชวียถูกปิดผนึกอยู่ในดวงตาข้างหนึ่ง นอกร่างของเขามีควันดำที่คล้ายกับงูตัวเล็กซึ่งกำลังมุดทะลวงรุกรานเข้าไปในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับต้องการหลอมละลายร่างของเขาไว้ข้างในนี้ หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้าที่จะมาพื้นที่การประลอง บุรพาจารย์ตระกูลซ่งได้มอบสมบัติสืบทอดของตระกูลซ่งชิ้นหนึ่งให้แก่เขา เกรงว่าเขาคงต้องฝังร่างอยู่ที่นี่นานแล้ว
สมบัติสืบทอดของตระกูลชิ้นนั้นคือเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่คลุมทับอยู่บนร่างของซ่งเชวีย มันแผ่แสงอ่อนโยนออกมา และก็เพราะแสงนี้ที่ก่อตัวเป็นชั้นแสงป้องกัน ถึงช่วยให้เขาต้านทานการรุกรานของปราณดำพวกนั้นเอาไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อคลุมตัวนี้มหัศจรรย์อย่างมาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มจะประคองตัวเองไม่ไหว แสงที่ส่องออกมาจากเสื้อจึงเริ่มอ่อนจางลงไปทุกขณะ
อันที่จริงหากดูตามตบะของซ่งเชวียแล้ว ต่อให้มีเสื้อคลุมตัวนี้อยู่ก็คงยืนหยัดได้ไม่นานนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อหลายวันก่อน จู่ๆ ดวงตาทั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็สูญเสียพลังชีวิตไปเกินครึ่ง ดวงตาแต่ละข้างเหมือนเริ่มเสื่อมสภาพ ขนาดควันดำที่พวกมันแผ่ออกมาก็ยังเบาบางกว่าเก่าเยอะมาก
นี่จึงทำให้ซ่งเชวียมีความหวัง เขาจึงอาศัยพลังของเสื้อคลุมยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้
เพียงแต่ตัวเขาเองก็เข้าใจดีว่า เว้นเสียแต่จะมีคนมาช่วยตน หาไม่แล้ว…เขาไม่มีทางทำลายตราผนึกของดวงตาข้างนี้และหนีไปได้ ต่อให้ยืนหยัดได้นานแค่ไหน สุดท้ายก็คงมิอาจรอดพ้นหายนะครั้งนี้
“หรือว่าข้าซ่งเชวียจะต้องมาตายอยู่ในพื้นที่การประลองแห่งนี้!” ซ่งเชวียขมขื่น ร่างของเขาแข็งทื่อไปหมดแล้ว ตบะก็แทบจะแห้งขอดเต็มที
“ข้าไม่ยอม ข้ายังเอาชนะเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นไม่ได้เลย ข้ายังไม่ได้เหยียบเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า ยังไม่ได้เหยียบย่ำเขาเพื่อชำระแค้นของตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ช่วงเวลายากลำบากในแดนทุรกันดารข้ายังผ่านมันมาได้ ข้าไม่เชื่อว่ากะอีแค่พื้นที่การประลองกระจอกๆ แห่งนี้จะทำให้ข้าซ่งเชวียต้องฝังร่างอยู่ที่นี่!!”
“ข้าซ่งเชวียคือคนที่มีโชคดีค้ำฟ้า วิกฤตเป็นตายที่เจอมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายปีมานี้ยังไม่ทำให้ข้ายอมแพ้ได้ ข้าเดินทีละก้าวจากหลอมรวมลมปราณมาถึงก่อกำเนิดในวันนี้ ข้าจะไม่มีทางยอมมาตายอยู่ที่นี่แน่!” ซ่งเชวียคำรามกร้าวอยู่ในใจตัวเอง สีหน้าของเขาเป็นสีเขียวสลับขาวซีด หมายจะลองดิ้นรนดูอีกสักครั้ง ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ ดวงตาทั้งหมดที่อยู่รอบด้านกลับพากันสั่นสะเทือน
เมื่อพวกมันสั่นสะเทือน ดวงตาที่ด้านในไม่มีนักพรตอยู่ก็กะพริบถี่รัวเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วพริบตานั้นพวกมันก็พากันหดกลับเข้าไปในหนองบึงคล้ายกำลังเผ่นหนีสุดชีวิต
พื้นที่หนองบึงสีม่วงแห่งนี้เดิมทีมีดวงตาอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าบัดนี้ดวงตาพวกนั้นกลับหายไปมากถึงเก้าจุดเก้าส่วน…เหลือเพียงแค่ดวงตาหลายสิบข้างที่ยังลังเล แต่ไม่นานดวงตาทั้งหลายเหล่านี้ก็มีประกายแสงเปล่งวาบ ก่อนจะพ่นโครงกระดูกของนักพรตที่ถูกผนึกไว้ข้างในออกมาจนหมดแล้วรีบจมดิ่งหายเข้าไปในหนองบึงทันควัน
แม้แต่ดวงตาข้างที่ซ่งเชวียอยู่ก็มีท่าทางคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ ครั้นจึงเปิดผนึกออกด้วยตัวเอง ซ่งเชวียรู้สึกเพียงว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งถูกส่งมาพร้อมกับที่ร่างของเขาถูกขว้างออกมาข้างนอก เมื่อก้มหน้าลงมองจึงเห็นว่าดวงตาข้างที่ผนึกร่างของเขาไว้หลายวันได้จมหายเข้าไปในหนองบึงพร้อมความหวาดกลัวเสียแล้ว
ซ่งเชวียรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขายืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้าเลื่อนลอยน้อยๆ ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน
ยิ่งเมื่อวินาทีก่อนในหนองบึงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยดวงตาดุร้าย ทว่าวินาทีถัดมา…กลับไม่มีดวงตาข้างไหนเหลืออยู่แม้แต่ข้างเดียว
หากไม่เป็นเพราะมั่นใจมากว่าตัวเองถูกกักตัวอยู่ที่นี่มาหลายวันจริงๆ ซ่งเชวียคงคิดไปแล้วว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงภาพลวงตา
“หรือว่า…หรือว่าดวงตาพวกนี้จะคงอยู่ในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น หากเกินเวลา พวกมันก็จะหายไปเอง?” ซ่งเชวียคิดมาถึงตรงนี้ก็ไม่สนใจอีกแล้วว่าการวิเคราะห์นี้ถูกหรือผิด ตอนนี้เขาแค่รู้สึกดีใจเป็นบ้าเป็นหลังที่รอดพ้นความตายมาได้ ขณะที่กำลังจะหันไปตรวจสอบรอบด้านอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็พลันเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก เหม่อมองท้องฟ้าที่ห่างไปไกล
แม้ว่าพลังวิญญาณในร่างของเขาจะหายไปเกินครึ่ง ทว่าความสามารถที่ทำให้ดวงตาของตัวเองมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนกลับยังคงมีอยู่ และเวลานี้สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในสายตาก็คือบนท้องฟ้าที่ห่างไปไกล มีคนผู้หนึ่งกำลังยืนส่งยิ้มตาหยีมาให้ตน คนผู้นั้นก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน
และในหูของเขาก็มีเสียงทักทายที่ดังมาตามหลังการยกมือของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไฮ้ เชวียเอ๋อร์…”
เสียงนี้ทำให้ใบหน้าของซ่งเชวียดำทะมึนทันที เขายังเห็นด้วยว่าด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเงาร่างสองเงากำลังพุ่งทะยานมาอย่างว่องไว หนึ่งคือจางต้าพั่ง อีกหนึ่งคือซุนอู๋ที่ตนเคยขอความช่วยเหลือไปเมื่อหลายวันก่อน
มาถึงเวลานี้ หากเขายังไม่เข้าใจว่าเหตุใดดวงตาพวกนั้นถึงได้หายไปก็คงโง่เขลาเกินไปแล้ว แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เพราะวินาทีถัดมา ซ่งเชวียกลับหมุนตัวขวับแล้วบินทะยานไปยังทิศไกลทันที
พอเห็นว่าซ่งเชวียไม่พูดไม่จา หมุนตัวได้ก็จากไป นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์เอามากๆ
“เชวียเอ๋อร์ทำไมเจ้าถึงไม่มีมารยาทอย่างนี้นะ เห็นข้าแล้วแต่กลับไม่ยอมทักทายข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพลางยกมือขวาขึ้นคว้าซ่งเชวียที่อยู่ห่างไปไกล ซ่งเชวียที่หน้าดำมืดถูกคว้าร่างกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ถูกพามาไว้เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“เชวียเอ๋อร์ ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส ในฐานะที่เป็นอาเขยน้อยของเจ้า ข้าคงต้องตำหนิเจ้าสักหน่อยแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา
ในใจลึกๆ ไม่พอใจมากที่เมื่อครู่นี้ซ่งเชวียเห็นตนแล้วทำท่าเหมือนเห็นมารโรคห่า ยิ่งข้างกายมีคนนอกอยู่ด้วยอย่างนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงอดรู้สึกขายหน้าไม่ได้
ซ่งเชวียอึดอัดใจ ในใจก็ยิ่งคับแค้นมากเข้าไปอีก
เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ถูกกักอยู่ในดวงตาก็คล้ายว่าจะดีกว่าเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนเสียอีก อย่างน้อยนั่นก็เป็นเพียงความเจ็บปวดทางกาย เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เขากลับต้องแบกรับความทรมานทางใจ
แต่ซ่งเชวียกลับมิอาจพูดออกมา แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะพูดเช่นไร ก่อนหน้านี้ที่เขาหมุนตัวหมายเผ่นหนี นั่นคือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของเขา ไม่ได้คิดพิจารณาว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรหรือไม่
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีท่าทีไม่พอใจ ซ่งเชวียที่ฝืนใจเต็มกลืนคิดจะอธิบายอะไรสักหน่อย ทว่าเวลานี้เอง จางต้าพั่งกับซุนอู๋ดันตามมาถึงเสียก่อน ซุนอู๋ยังถือว่าดีหน่อย แต่พอจางต้าพั่งเห็นซ่งเชวีย ดวงตาของเขากลับเป็นประกาย ยิ่งได้ยินคำตำหนิด้วยน้ำเสียงไม่พอใจของป๋ายเสี่ยวฉุน จางต้าพั่งก็พลันมีสีหน้าฮึกเหิม ถึงกับกระโดดพรวดออกมาข้างหน้า
“เสี่ยวฉุน เชวียเอ๋อร์ยังเด็ก เด็กคนนี้กตัญญูรู้คุณมาตั้งแต่เล็ก เมื่อครู่นี้ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่นอน เจ้าอย่าว่าเด็กมันเลยนะ…”
“เชวียเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าลุงต้าพั่งตำหนิเจ้านะ แต่เจ้าทำแบบนี้มันไม่ถูก อาเขยน้อยของเจ้ามาช่วยเจ้า เจ้ากลับไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย
แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดีที่รู้ว่าทำผิดแล้วต้องแก้ไข มาๆๆ มาคารวะอาเขยน้อยของเจ้าก่อน แล้วค่อยมาคารวะข้า…ข้ากับอาเขยน้อยของเจ้าคือพี่น้องกัน ซึ่งก็ถือเป็นผู้อาวุโสของเจ้า” ความห้าวเหิมในใจของจางต้าพั่งมองออกได้จากดวงตาของเขา ระหว่างที่พูดเขายังแสดงความรอคอยอย่างตื่นเต้นออกมาด้วย
ใบหน้าของซ่งเชวียยิ่งดำเข้าไปใหญ่ เขาถลึงตาใส่จางต้าพั่ง รู้สึกเหมือนมีเลือดตีกลับมาที่สมอง ร่างทั้งร่างคล้ายจะระเบิดแตก ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาเปรียบเขาก็ยังพอทำเนา เขาได้แต่อดทนข่มกลั้น ตอนนี้แม้แต่จางต้าพั่งก็ยังลามปามมาเอาเปรียบเขาด้วย นี่จึงทำให้ซ่งเชวียใกล้บ้าเต็มที
ยิ่งเขานึกถึงภาพที่ว่าพอพวกเพื่อนๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นตนแล้วทุกคนเรียกแทนตัวเองว่าลุงอย่างนั้น อาอย่างนี้ ซ่งเชวียก็รู้สึกเพียงเสียงอึงอลที่ดังในสมองไม่หยุด
“จางต้าพั่ง!”