Skip to content

A Will Eternal 961

บทที่ 961 บุปผาจันทราจอมบ้าคลั่ง

“เรือกระดูกและมารดาแห่งผีล้วนมาจากนอกโลก ดอกไม้นี่ก็เห็นได้ชัดว่า…มาจากนอกโลกเหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบถุงเก็บของหนึ่งที เมล็ดพันธ์ของบุปผาจันทราก็มาปรากฏอยู่ในมือของเขา

จ้องมองเมล็ดพันธ์นั้นอยู่พักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใคร่ครวญแผนการในสมองของตัวเองใหม่อีกหนึ่งรอบ และดวงตาของเขาก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ

“ฮ่าๆ ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเสมอจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกฮึกเหิมไม่น้อย ลำพองใจอย่างยิ่งยวด เพราะว่าในบทบัญญัติสี่ประการไม่มีข้อไหนที่ห้ามเขาปลูกดอกไม้จริงๆ

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกจากห้องพักไปอย่างกระปรี้ประเปร่า กวาดตามองประเมินไปรอบด้านเพื่อหาที่เหมาะๆ ปลูกต้นไม้ หลังจากมองหาครบหนึ่งรอบ เขาก็ลูบคลำปลายคาง

“ปลูกไว้ข้างนอกอันตรายเกินไป พวกคนของแม่น้ำสายเหนือต่างก็ไม่มีเหตุผล…”

“ช่างเถอะๆ ข้าเอาไปปลูกไว้ในห้องข้าก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง หลังจากหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องก็เริ่มลงมือทันที แม้ว่าแผ่นดินที่ตั้งของสำนักเมฆาจะแตกต่างไปจากแผ่นดินที่แท้จริงอยู่บ้าง ทว่าก็แทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ภายใต้ความมุมานะพยายามของป๋ายเสี่ยวฉุน พอรื้อแผ่นอิฐที่ปูบนพื้นห้องออกไปแล้ว เขาก็ขุดหลุมที่มีขนาดหนึ่งจั้งหลุมหนึ่ง

ซึ่งใต้หลุมนั้นเผยให้เห็นแผ่นดินอันเป็นเมฆสีขาวโพลน ไอความเย็นขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากในเมฆผืนนั้น สัมผัสได้ถึงความเย็นที่โชยมากระทบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีสีหน้าฮึกเหิม ก่อนจะเอาเมล็ดพันธ์ของบุปผาจันทราฝังลงไปในพื้นดินเมฆขาวอย่างระมัดระวัง

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างด้วยความรอคอยและสนใจอย่างลึกล้ำ คอยแผ่อำนาจจิตไปตรวจสอบเมล็ดพันธ์ของบุปผาจันทราอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ได้เห็นว่าหลังจากที่เมล็ดพันธ์นั้นถูกฝังลงไปข้างใต้ มันก็ถึงกับตัวสั่นราวกับสิ่งมีชีวิต

อาการสั่นเทิ้มนี้หาได้เกิดจากความหวาดกลัว แต่เป็นความตื่นเต้น อารมณ์นี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเข้า ดวงตาเขาเขาก็ยิ่งเป็นประกายลุกเรืองมากกว่าเดิม

“บุปผาจันทราเด็กดี รีบโตเร็วๆ เข้านะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก นั่งสังเกตการณ์อยู่ตลอดหนึ่งคืนเต็มๆ จึงเห็นว่าเมื่อเขาเพาะเมล็ดพันธ์ลงไปก็มีปราณความเย็นเป็นเส้นๆ ถูกเมล็ดพันธ์นี้ดูดซับเอามาจากในเมฆ กลายมาเป็นสารบำรุงของตัวมันเอง และเวลาเพียงแค่คืนเดียวก็ทำให้เมล็ดพันธ์นั้นแตกหน่ออ่อนสีเขียวออกมา

มองเห็นหน่ออ่อนสีเขียว อารมณ์ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันห้าวเหิม ทั้งยังมีความรู้สึกว่านี่คือภารกิจอย่างหนึ่ง ชีวิตในแต่ละวันก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะเขาเอาเวลาแทบทั้งหมดมาใช้ไปกับการดูแลและสังเกตการณ์บุปผาจันทราดอกนี้

ไม่นานเวลาก็ล่วงผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เดินออกมานอกที่พักแม้แต่ครึ่งก้าว แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าพวกนักพรตของสำนักเมฆาก็ยังหยิบยกเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุนมาพูดคุยกันไม่หยุดหย่อน

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีอารมณ์ไปแอบฟัง ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่บุปผาจันทรา มองเห็นว่าในพื้นดินที่เป็นก้อนเมฆมีใบไม้สูงประมาณฝ่ามือโผล่ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อารมณ์เบิกบานอย่างมาก

ส่วนใบไม้ใบนั้นก็ถูกเขาเอาไปทาบกิ่งไว้กับบุปผาจันทรานี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน พอบุปผาจันทราเติบโต ใบไม้นั่นก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของบุปผาจันทรา และดูดซับไอความเย็นที่อยู่ในดอกไม้มาหล่อเลี้ยงตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนพัฒนาไปในทางที่ดี ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลุดหัวเราะระหว่างการสังเกตการณ์อยู่หลายครั้ง

“ฮ่าๆ ไม่มีวิธีใดที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไม่ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจสุดขีด เพียงแต่ว่าพอเวลาผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย

เขาเห็นว่าพอบุปผาจันทราถูกทาบกิ่ง อัตราความเร็วในการเติบโตของมันก็ช้าลงไปไม่น้อย นี่จึงทำให้เขาเริ่มร้อนใจ

“นี่ก็ช้าเกินไปหน่อยไหม หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อไหร่มันจะดูดดึงไอความเย็นมาได้มากพอกันล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็รู้สึกว่าตนจำเป็นต้องคิดหาวิธีมากระตุ้นการเติบโตของดอกไม้ดอกนี้

วิธีการกระตุ้นนั้น ในสายของวิถีโอสถมีทางเลือกมากมาย ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการใช้ยากระตุ้น คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบเหลือบมองไปรอบด้าน แล้วก็แอบแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบโลกภายนอก

“ในบทบัญญัติสี่ประการแค่บอกว่าไม่ให้ข้าหลอมยา ขายยา แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ข้าป้อนยาให้กับดอกไม้น้อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่พักหนึ่งก็ตบถุงเก็บของหนึ่งครั้ง หยิบเอายาออกมาจำนวนไม่น้อย พอเลือกมาได้สี่ห้าเม็ดก็บีบให้มันเป็นผงแล้วโปรยลงไปบนบุปผาจันทรา

ผงยานี่เพิ่งจะแตะไปโดนบุปผาจันทรา ดอกไม้นั่นก็พลันสั่นเยือก เปล่งแสงจันทร์แวววาวคล้ายหิวกระหาย พริบตาเดียวก็ดูดซับเอาผงยาที่ร่วงมาโดนเข้าไปทั้งหมด

เมื่อมันดูดซับผงยาเข้าไป บุปผาจันทราก็โตเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งรากของมันยังขยายยาวเพิ่มมากขึ้น มันค่อยๆ ทอดยาวจากก้อนเมฆใต้ที่พักแห่งนี้แล้วลุกลามไปเรื่อยๆ

ท่ามกลางการแผ่ขยายนี้ ทำให้ความเย็นถูกดูดเอามามากกว่าเดิม จนอากาศในห้องที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนเย็นขึ้นอีกไม่น้อย

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งเป็นประกายวาววับ ภาพนี้ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น จึงหยิบเอายาออกมาอีกไม่น้อย ตอนแรกเริ่มเขายังเลือกตัวยามาบีบให้แตกละเอียดอยู่บ้าง แต่พอถึงท้ายที่สุด เมื่อเห็นว่าบุปผาจันทราเหมือนหลุมที่ไร้ก้น พอดูดซับเอายาที่เขาโปรยไปอย่างต่อเนื่อง การเติบโตก็ยิ่งเร็วมากขึ้น จนรากของมันแผ่ขยายไปถึงระยะร้อยจั้ง

ความมั่นใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทบทวีเต็มร้อยทันที ยาที่เอาออกมาบีบจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีหลากหลายประเภท

“กินไม่เลือกเลยแหะ สมกับเป็นดอกไม้ล้ำค่าจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างถึงที่สุด เวลาสั้นๆ แค่สามวันเขาก็เอายาป้อนให้ดอกไม้ดอกนี้มากนับร้อยเม็ดแล้ว และบุปผาจันทราก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง มันเติบโตจากขนาดเท่าฝ่ามือมามีขนาดเกือบครึ่งจั้ง

ลำต้นที่หนาเท่าแขนคน ใบที่ใหญ่ประมาณฝ่ามือ รวมไปถึงดอกที่ปลายย้อยลงมาด้านล่างต่างก็เป็นตัวพิสูจน์ว่าภายใต้ความพยายามของป๋ายเสี่ยวฉุน การเติบโตของบุปผาจันทราต้นนี้ได้ก้าวกระโดดไปอย่างพรวดพราด

ส่วนใบไม้ที่ถูกทาบกิ่งเข้าไป ตอนนี้ก็มีลายเส้นเหมือนผลึกน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาหลายเส้น ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งฮึกเหิม โดยเฉพาะตอนที่เห็นรากของบุปผาจันทราแผ่ไปไกลถึงห้าร้อยกว่าจั้ง รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งเจิดจ้า ยาที่หยิบออกมาจากในถุงเก็บของก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนผลกระทบที่ดอกไม้นี้อาจมีต่อแม่น้ำสายเหนือ หากอยู่ที่สำนักสยบธารหรืออยู่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจมีความกังวลอยู่บ้าง แต่มาอยู่ในสายเหนือแห่งนี้ เขากลับไม่มีความกดดันใดๆ เพียงแค่จดจำข้อหนึ่งไว้ขึ้นใจ…

“ข้าไม่ได้ละเมิดบทบัญญัติสี่ประการ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมาดมั่น แล้วก็คอยบีบยาให้ละเอียดเพื่อป้อนบุปผาจันทราอย่างต่อเนื่อง

ช่วงเวลาที่ทำการสังเกตการณ์มักจะผ่านไปเร็วเสมอ พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน…

การเติบโตของบุปผาจันทราต้นนี้ไต่ไปถึงระดับที่ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังอกสั่นขวัญผวา เพราะห้องพักของเขาถูกบุปผาจันทรานี่ยึดครองไปทั่วทุกพื้นที่แล้ว…

มองบุปผาจันทราที่ตอนนี้หนาใหญ่แข็งแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถึงกับสูดลมหายใจดังเฮือก เขาแอบรู้สึกว่า ภายใต้การดูแลของตน ดอกไม้นี่…คล้ายจะเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย

ที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนแปลกใจก็คือเขาสัมผัสได้ว่ามีจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งอยู่ในดอกไม้ดอกนี้ ซึ่งมันมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาอย่างมาก ยิ่งยามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือแตะลงไป ดอกไม้นี่ก็จะส่ายไหวน้อยๆ ราวกับว่ารู้สึกผ่อนคลายสุขสบาย

นี่จึงทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนส่องแสงเจิดจ้า

“มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง? เป็นเด็กดีนะ ห้ามโตอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นห้องนี้คงบรรจุเจ้าไม่ไหวอีกต่อไป ข้ามาอยู่ในแม่น้ำสายเหนือนี่ไม่ง่ายเลย คงได้แต่ควบคุมการเติบโตของเจ้า หากเจ้าโตออกไปนอกห้องแห่งนี้ พวกเราสองคนก็คงต้องซวยแน่ๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดกับบุปผาจันทราอย่างเข้มงวด ก่อนจะหยิบเอายาอีกไม่น้อยโยนไปให้มัน ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องบีบยาให้แตกแล้ว ยาเม็ดสมบูรณ์แบบที่โยนไปจะถูกใบของบุปผาจันทราม้วนเข้าไปแล้วดูดซับในเสี้ยววินาที

คล้ายเข้าใจคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ช่วงเวลาหลังจากนั้น บุปผาจันทราดอกนี้จึงไม่ได้เติบโตอีก ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้รากของมันกลับแผ่ขยายไปอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ได้ลามไปทั่วผืนแผ่นดินของสำนักเมฆาแล้ว…อีกทั้งบุปผาจันทรานี่ยังไม่ใช่วัตถุของโลกทงเทียน มันมีความพิเศษเป็นของตัวเอง อย่างเช่นการเติบโตนี้ที่ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงล่วงหน้า ราวกับว่ามันมีวิธีอำพรางตัวเป็นของตัวเอง

เพียงแต่การเติบโตของมันจำเป็นต้องใช้ไอความเย็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักพรตของสำนักเมฆาจึงเริ่มมีคนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ…อันดับแรกคือไอความเย็นที่อบอวลไปทั่วสำนักเมฆามานานปี กลับลดน้อยลงไปเป็นจำนวนมากในเวลาครึ่งเดือนมานี้

ถึงขั้นที่ว่ามีบางแห่งที่เนื่องจากไอความเย็นลดลง น้ำแข็งของพื้นที่นั้นจึงเริ่มหลอมละลาย…เมื่อภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้น จึงไปชักนำความสนใจของคนฟ้าสายเหนือทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตการณ์โลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็รู้สึกได้ว่าท่าไม่ดี จึงรีบลูบคลำบุปผาจันทราแล้วเอ่ยกับมันด้วยน้ำเสียงร้อนใจ

“ฮวาฮวา (ฮวาแปลว่าดอกไม้) เวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าหรือเร็วต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ หากแค่เกิดเรื่องก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่จะให้แผนการใหญ่ของเราเสียหายไม่ได้นะ เจ้ารีบโตให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม? ดูดเอาไอความเย็นเข้าไปในใบไม้นั่นให้หมดเลย” เมื่อจบคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน บุปผาจันทราดอกนี้ก็ตัวสั่นเยือก หลังจากมันส่งจิตสำนึกอันอ่อนจางออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจได้ทันที ดวงตาเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว ครั้นจึงหยิบเอายาปริมาณมากออกมาจากในถุงเก็บของแล้วโยนไปให้มันรวดเดียว

ใบไม้ทุกใบของบุปผาจันทราล้วนคลี่ออกมา หลังจากม้วนตลบเอายาพวกนี้ไปแล้ว มันก็ดูดพร้อมกันดังสวบ…ทันใดนั้นแผ่นดินของตลอดทั้งสำนักเมฆาก็เกิดเสียงกัมปนาทเขย่าคลอนฟ้าดินดังขึ้นมา!

ภายใต้เสียงกัมปนาทนี้ จู่ๆ พื้นดินของสำนักเมฆาก็มีหน่ออ่อนสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนแตกออกมา หน่ออ่อนพวกนี้เพิ่งปรากฏก็ดูดซับเอาไอความเย็นของรอบด้านไปอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะมีดอกไม้เล็กๆ ลักษณะเหมือนดวงจันทร์ผลิบานเป็นแถบ

ขณะเดียวกันไอความเย็นของสำนักเมฆาก็ลดลงไปฮวบฮาบ!

นักพรตของสำนักเมฆาทยอยกันเห็นบุปผาจันทราที่ผลิบานอยู่เต็มพื้น แต่ละคนมองตาค้าง มีคนไม่น้อยเปล่งเสียงอุทานหลงโทน

“สำนักเมฆามีดอกไม้งอกปกคลุมได้อย่างไร?!”

“นี่…นี่คือดอกไม้อะไร?”

“คุณพระช่วย ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่าสำนักเมฆาของสายเหนือเราจะมีพืชพรรณเติบโตขึ้นมาได้…พืชหญ้าของสายเหนือล้วนถูกปลูกในพื้นที่ที่กำหนดไว้ไม่ใช่หรือ?”

หลังจากเสียงอุทานอย่างตกตะลึงในช่วงสั้นๆ ผ่านไป ก็ตามมาด้วยเสียงร้องฮือฮาแตกตื่นที่ก้องไปทั่วทั้งสำนักเมฆา

“ร้อนยิ่งนัก…ข้า…ข้ามีเหงื่อออกหรือนี่?!!”

“ไม่ถูกสิ ไอความเย็นของสำนักเมฆาของเรา…ลดหายไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร!!”

“คุณพระช่วย พวกเจ้ามองไปยังห้องน้ำแข็งนั่นสิ มัน…มันหลอมละลายแล้ว!!” เมื่อไอความเย็นลดลงฮวบฮาบ น้ำแข็งตลอดทั้งสำนักเมฆาก็หลอมละลายทันที อีกทั้งแม้แต่รูปปั้นน้ำแข็งยกเมฆขาวขนาดใหญ่ยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของสำนักเมฆาก็ยังมีหยดน้ำกลิ้งติ๋งๆ ลงมาเหมือนคนเหงื่อแตก…

ภาพนี้สร้างความครึกโครมให้กับตลอดทั้งสายเหนือทันที พวกเหลยอวิ๋นจื่อเองก็รีบบินออกมา ตรงดิ่งไปยังแผ่นดินของสำนักเมฆา สีหน้าแต่ละคนเหลือเชื่อทั้งยังมากด้วยความคาดไม่ถึง

ทว่าวินาทีที่พวกเขาเยื้องกรายไปถึงนั้นเอง เนื่องจากไอความเย็นลดลงไปเป็นจำนวนมากในบริเวณกว้าง หอเรือนน้ำแข็งหลายหลังของสำนักเมฆก็พังครืนลงมา นี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่ทำให้ทุกคนมองตาค้างก็คือ สามารถมองเห็นได้ว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ด้านในนิ้วหัวแม่มือของรูปปั้นน้ำแข็งที่ประคองแผ่นดินเมฆขาวนั้น…มีรากของดอกไม้มุดทะลวงเข้าไป และเมื่อมันดูดซับเอาไอความเย็นไป

นิ้วหัวแม่มือขนาดมหึมานี้กลับ…หลอมละลายไปอย่างสิ้นเชิง จนกลายมาเป็นน้ำเย็นเยียบที่สาดกระจายไปทั่วแผ่นฟ้า…

ท่ามกลางเสียงอึกทึก แผ่นดินของเมฆขาวเอียงกะเท่เร่ นักพรตทุกคนที่อยู่บนนั้นพากันยืนบื้อ พวกคนฟ้าที่เยื้องกรายมาถึงก็มองนิ้วหัวแม่มือที่ละลายกลายเป็นน้ำเย็นเยียบแล้วสาดกระจายด้วยอาการปากอ้าตาค้างเช่นกัน

“ข้า…ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม…”

“หน้าตาของแม่น้ำสายเหนือเรา…รูปปั้นน้ำแข็งเทพสงครามของสายเหนือเรา…นิ้วหัวแม่มือของเขา…ไม่มีแล้ว?”

อวิ๋นเหลยจื่อพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเฝิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ด้วยประโยคโง่ๆ คล้ายไม่แน่ใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version