Skip to content

A Will Eternal 975

บทที่ 975 เขามาแล้ว

ได้ยินคำพูดของตู้หลิงเฟย แววตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็วูบไหวน้อยๆ ด้วยความอึ้งงัน

เขารู้สึกว่าความคิดของตู้หลิงเฟยออกจะผิดปกติไปสักหน่อย ลูกเผชิญกับอันตราย บิดามาช่วย ตามความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนนี่คือเรื่องปกติที่ปกติไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อเห็นว่าร่างกายฟื้นตัวแล้วเขาก็ลากแขนของตู้หลิงเฟยห้อทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของผนึกมิวางวายพลันถูกร่ายใช้ บวกกับการหายตัวด้วยม่านแสงสีทองของตู้หลิงเฟยจึงทำให้คนทั้งสองที่ถูกไล่ล่ามาด้วยใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้ซึ่งมีพลังเทียบเคียงเท่ากับเทียนจุนมีความเร็วมากขึ้นทุกขณะ

ทว่าถึงแม้เมื่อสองคนร่วมมือกันความเร็วของพวกเขาจะน่าตะลึงเหนือกว่าคนฟ้า หรือถึงขั้นเทียบเคียงได้กับครึ่งเทพ แต่พอเจอแรงกดดันจากการไล่ฆ่าของใบหน้าผีก็ยังยากที่พวกเขาจะหนีไปได้พ้นอย่างแท้จริงอยู่ดี เวลานี้ขณะที่หายตัว ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงลมพัดอื้ออึงเหมือนเสียงหวีดร้องของผีร้ายดังลอยมาอีกครั้ง เมื่อเสียงนี้ดังเข้าหูของคนทั้งสองก็ไปเขย่าคลอนจิตวิญญาณของพวกเขาทันควัน

โดยเฉพาะตู้หลิงเฟย ก่อนหน้านี้หงส์เพลิงสีทองที่นางจำแลงออกมาถูกใบหน้าผีฉีกทึ้ง บนไหล่ของนางเองก็ถูกกรงเล็บนั่นกรีดลึกเป็นรอยแผลสามเส้นที่น่าสะพรึงกลัว แม้จะถูกนางฝืนระงับเอาไว้ แต่ตอนนี้เมื่อเสียงผีดังก้อง บาดแผลบนไหล่ของนางก็มีควันสีดำลอยกรุ่นขึ้นมาทันที

หลังจากที่ควันดำนี้ลอยขึ้นมา พวกมันก็รวมตัวกันเป็นกะโหลกผีจำนวนมากที่เปล่งเสียงหัวเราะเย็นเยียบน่าขนลุกยิ่ง

เลือดสดทะลักออกมาจากปากของตู้หลิงเฟย สีหน้าของนางขาวซีด ทว่าดวงตากลับเย็นชานิ่งขรึม แม้นางจะเป็นบุตรสาวของเทียนจุน และบนร่างก็มีอาวุธอาคมคุ้มกันชีวิต

แต่นางเข้าใจดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าผีบนเรือมารดาแห่งผีจากนอกโลก วิธีการพิทักษ์ชีวิตเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก และในความเป็นจริงวงแสงสีทองที่เอาออกมาใช้ในตอนนี้ก็ถือเป็นวิธีรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของนางแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นด้านความเร็วหรือด้านการป้องกัน เมื่ออยู่ในแผ่นดินใหญ่ทงเทียนแห่งนี้ก็ถือว่าทรงพลังทั้งสิ้น หากคู่ต่อสู้เปลี่ยนมาเป็นครึ่งเทพ ในเวลาสั้นๆ ก็ยังไม่สามารถทำลายม่านแสงมาทำร้ายเรือนกายของนางได้แม้แต่ปลายเล็บ

ขณะเดียวกันการหายตัวได้ของวงแสงก็ทำให้ครึ่งเทพจนใจ ทว่าตอนนี้…ที่พวกเขาเผชิญหน้าไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่เป็นใบหน้าผีที่เทียบเคียงได้กับเทียนจุน!

เห็นว่าตู้หลิงเฟยกระอักเลือด เห็นควันดำเป็นเส้นๆ ที่ลอยขึ้นจากไหล่ของนาง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้สงสารยิ่งนัก ระหว่างที่เร่งร้อนหลบหนีเขาก็รีบหยิบเอายาออกมาจากในถุงเก็บของ หมายจะรักษาบาดแผลให้นาง

“ไม่มีเวลารักษาบาดแผลแล้ว พวกเราต้องรีบหนีให้เร็วที่สุด” สีหน้าของตู้หลิงเฟยยิ่งซีดเชียว แต่นางกลับกัดฝันฝืนร่ายใช้วงแสงหายตัวไปอีกครั้ง

ทว่าการหายตัวครั้งนี้ทำให้บาดแผลของนางทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม ไอสีดำที่ลอยออกจากบาดแผลบนไหล่ก็ยิ่งเข้มข้น ทั้งยังเริ่มแผ่ลุกลามไปยังจุดอื่น

“เจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ ไม่มีเวลาก็ต้องรักษา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ มือขวาของเขาฉีกอาภรณ์ขาดวิ่นบนไหล่ของตู้หลิงเฟยลงมา เผยให้เห็นไหล่เนียนที่ตอนนี้กลายมาเป็นสีดำเข้ม แล้วก็มองเห็นบาดแผลสามรอยที่ลึกจนเห็นกระดูก อีกทั้งบาดแผลนี้ก็กำลังเน่าเละแล้วด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นแล้วเจ็บปวดหัวใจ เขารีบโบกมือขวาไปยังบาดแผลนั่นอย่างไม่รีรอ ร่างของตู้หลิงเฟยพลันสั่นเทิ้ม ผิวเนื้อที่เน่าเละบนไหล่ของนางเหมือนถูกกรีดออก พริบตาเดียวก็หายไป เผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ภายใต้บาดแผล

ทว่ากระดูกของนางกลับไม่เหมือนของคนทั่วไป!

กระดูกที่อยู่ใต้บาดแผลนี้เป็นดั่งผลึกแก้วสีใส ทั้งยังแผ่ปราณขุมหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยออกมา…นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงค้าง

แต่เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิด เขาไม่มีเวลามามัวคิดลึกซึ้ง เพียงรีบหยิบเอายากำใหญ่มาบีบให้ละเอียดแล้วทาทับลงไปบนบาดแผล ปิดทับกระดูกนั่นไว้ ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็โคจรตบะช่วยตู้หลิงเฟยรักษาอาการบาดเจ็บ

ลมหายใจของตู้หลิงเฟยถี่กระชั้น แสงสีทองเปล่งวูบวาบไปทั่วร่าง ภายใต้ความช่วยเหลือจากป๋ายเสี่ยวฉุน แผลของนางจึงประสานตัวกันเร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้พอจะระงับอาการเอาไว้ได้บ้าง นางจึงรีบร่ายใช้การหายตัวอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงอึกทึก เมื่อคนทั้งสองปรากฏตัวก็ห่างออกมาไกลแล้ว

ไม่ได้หยุดชะงัก พวกเขายังคงห้อตะบึงกันต่อไป

เสียงลมยังคงพัดคำรามมาจากด้านหลัง แม้ว่าเสียงผีจะห่างออกไปไกลแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังคงขยับเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ทว่าตอนนี้ในสมองของเขากลับอดนึกถึงภาพกระดูกผลึกใสของตู้หลิงเฟยเมื่อครู่นี้ไม่ได้

“ทำไม…ทำไมกระดูกของเจ้า ถึงเป็นเหมือนผลึกใส…ข้าจำได้ว่าตอนอยู่สำนักธาราเทพ ยังไม่ใช่แบบนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนสองจิตสองใจอยู่นาน ต่อให้จะรู้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาของการหนีเอาชีวิตรอด ไม่ควรถามอะไรวุ่นวาย แต่สุดท้ายเขาก็ถามออกมาอย่างอดไม่ไหว

สำหรับคำถามข้อนี้ ตู้หลิงเฟยไม่ได้แปลกใจ หากเป็นคนอื่นถาม นางไม่มีทางตอบ แต่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนอยากรู้ นางจึงเอ่ยอธิบายด้วยเสียงต่ำๆ อย่างไม่ลังเล

“นี่คือกระดูกเทียนจุนที่เกิดจากคาถาเทียนจุนซึ่งบิดาของข้าบอกให้ฝึก”

“กระดูกเทียนจุน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเคลือบแคลงใจ สำหรับคำอธิบายนี้ เขาเชื่อว่าตู้หลิงเฟยไม่ได้โกหกตน แต่ภาพกระดูกใสของตู้หลิงเฟยที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้กลับไม่หายออกไปจากสมองของเขาเสียที

เขานึกไปถึงโครงกระดูกสองโครงที่ตนเอามาจากเรือกระดูก…โครงหนึ่งคือกระดูกคงกระพันสีทอง ส่วนอีกโครงหนึ่ง…คือกระดูกผลึกใสของบทอมตะ

เมื่อลองเปรียบเทียบกันดู ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบรู้สึกว่าปราณของกระดูกผลึกใสบทอมตะคล้ายคลึงกับปราณกระดูกผลึกใสจากร่างของตู้หลิงเฟยอยู่มาก…แต่ก็เหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่คล้าย

เรื่องนี้ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนฟุ้งซ่าน แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลามามัวคิดพิจารณาหรือซักถามกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่สะกดกลั้นเรื่องนี้ไว้ในใจแล้วห้อตะบึงหนีไปไกลอย่างสุดกำลังพร้อมกับตู้หลิงเฟย

เวลาล่วงผ่าน นับตั้งแต่ที่พวกเขาบาดเจ็บและเริ่มหนีมาจนถึงตอนนี้ มองดูแล้วเหมือนยาวนาน แต่ในความเป็นจริงเวลากลับผ่านไปแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น

และหลังจากที่ตู้หลิงเฟยร่ายใช้การหายตัวอีกครั้ง จู่ๆ รอบกายของพวกเขาก็มีเสียงลมพัดกระโชกดังอื้ออึงประดุจผีร้ายร้องคร่ำครวญระเบิดขึ้นมาจากแปดทิศ

“หนีเร็วเหมือนกันนี่นา…” เสียงที่เหมือนคนมากมายพูดพร้อมกันดังมาจากเสียงลมอื้ออึง คลอเคล้าไปกับเสียงของผีร้ายร้องโหยหวน น้ำเสียงนั้นแฝงแววสนุกสนานคล้ายแมวที่กำลังหยอกหนู

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ตบะของตู้หลิงเฟยกระเพื่อมไหว คนทั้งสองพลันเปลี่ยนทิศทาง แต่ยังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ลงมือ สีของนภากาศก็แปรเปลี่ยน สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ก่อนที่กรงเล็บสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งจะจำแลงขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพุ่งลงมาคว้าร่างของคนทั้งสองไว้อย่างดุดัน

เสียงตูมดังลั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือด ตู้หลิงเฟยเองก็เช่นกัน พวกเขาหลบพ้นการโจมตีนี้มาได้อย่างหวุดหวิด ทว่าร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกฉีกทึ้ง ร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนคล้ายหมดสิ้นซึ่งตบะ

แทบจะวินาทีเดียวกับที่พวกเขาร่วงลงมา มือยักษ์ที่พุ่งลงมาก็จำแลงเป็นควันดำเข้มข้นซึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่วรัศมีพันจั้ง ทำให้พื้นที่พันจั้งนี้เหมือนกลายมาเป็นกรงขังแห่งหนึ่งที่ถูกแยกออกจากฟ้าดิน ตัดขาดจากทุกสิ่งอย่าง

ในควันดำพันจั้งมีผีร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเผยกาย พวกมันร้องคำรามแหบโหยพลางพุ่งเข้ามาหมายกัดกระชากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย ทว่ากลับถูกวงแสงสีทองสกัดกั้นเอาไว้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อถูกผีร้ายพวกนี้รุมทึ้ง แสงสีทองนั่นจึงเริ่มบิดเบือน

และหากมองลงมาจากบนฟ้าจะค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าควันดำพันจั้งนี้ แท้จริงแล้วกลับเป็น…ใบหน้าผีขนาดมหึมาใบหน้าหนึ่ง มองดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยถูกกักอยู่ภายใน แต่แท้จริงแล้ว…กลับกลายเป็นว่าพวกเขาถูกใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้นี้เขมือบเข้าไปในปากไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

“กลิ่นหอมหวานยิ่งนัก…”

“กลิ่นแบบนี้…ไม่เสียแรงที่ข้าไล่ตามพวกเจ้ามาถึงที่นี่ ขอแค่ย่อยพวกเจ้าสองคนได้ พลังสูงสุดของข้าก็จะต้องฟื้นคืนมาอย่างแน่นอน…”

“แม้ว่าแสงทองอาคมนี้จะเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ยังกระจอกอยู่ดี!”

ขณะที่เสียงของใบหน้าผีซึ่งแฝงไว้ด้วยความฮึกเหิมดังก้องไปสี่ทิศ ผีร้ายที่รายล้อมอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยก็เกิดคลุ้มคลั่ง พากันกระโจนเข้าใส่อย่างดุดัน

ต่อให้พลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟยจะน่าตะลึงและโดดเด่นแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในควันดำพันจั้งนี้ พวกเขาก็ยังคงถอยร่นไม่เป็นท่า ผีร้ายพวกนั้นทำอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะพอป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงหมัดต่อยให้ร่างของพวกมันแตกสลายได้แล้ว พวกมันกลับรวมตัวกันขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชั่วพริบตา

ส่วนวงแสงสีทองของตู้หลิงเฟยที่มาอยู่ในควันดำก็กลายมาเป็นเปราะบางอย่างถึงที่สุด วงแสงที่สั่นไหวคล้ายจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ

สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากวงแสงแตกออกเมื่อไหร่ ผีร้ายที่อยู่รอบกายพวกเขาต้องกระโจนเข้ามาทึ้งร่างพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันแน่นอน!

“เมื่อไหร่พ่อเจ้าจะมาสักทีล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจเสียแล้ว วิกฤตรุนแรงขนาดนี้ หากเทียนจุนไม่มา ถ้าเช่นนั้นวิธีคลี่คลายก็เหมือนจะมีแค่ใช้ใบไม้น้ำแข็งปลุกให้ทารกหญิงฟื้นตื่น แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อทารกหญิงตื่นขึ้นมาแล้วจะสามารถต้านทานกับใบหน้าผีนี่ได้หรือไม่ นอกจากนี้หากทารกหญิงฟื้นตื่นเอาในเวลานี้ ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยออกมาหมด

“เขามาแล้ว” ตู้หลิงเฟยพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง

และเวลานี้เอง วงแสงสีทองที่อยู่นอกกายพวกเขามิอาจแบกรับแรงบีบอัดจากรอบด้านได้จึงแตกโพล๊ะ ทว่าชั่วขณะที่ม่านแสงสีทองแตกออกและผีร้ายที่ร้องหวีดโหยกำลังจะพุ่งกระโจนเข้ามา ทันใดนั้นวงแสงสีทองที่แตกออกกลับก่อตัวกันเป็นสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่ง

พอเผยกายสายฟ้าก็พุ่งสวบๆ แหวกทะลวงอยู่ในควันดำพันจั้งด้วยความเร็วที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของใบหน้าผี สายฟ้านี้ก็ทะลวงไปทั่วพื้นที่ในรัศมีพันจั้ง บุกราบเป็นหน้ากลอง ผ่านที่ใด ร่างของผีร้ายก็ล้วนแหลกลาญเป็นเถ้าธุลี!

ตูมๆๆ!

ทุกสิ่งทุกอย่างแตกทลายภายใต้การพุ่งทะลวงของสายฟ้าเส้นนั้น!

ควันดำพันจั้งถูกฉีกกระชากออกเป็นสองส่วนแล้วม้วนตลบออกไปด้านหลัง ก่อนจะก่อตัวกันขึ้นมาเป็นใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้ใหม่อีกครั้งในจุดที่ห่างไปไม่ไกล ซึ่งเวลานี้มันเงยหน้าพรวด จ้องเขม็งไปยังสายฟ้าสีทอง แผดเสียงร้องเกรี้ยวกราด

“เทียนจุน!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version