Skip to content

A Will Eternal 982

บทที่ 982 ผีเฒ่าขี้ขลาด เข้ามาสู้กันสิ

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟังดูระโหยโรยแรงดังก้องไปสี่ทิศ ร่างกายของเขาที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นมาหนึ่งเดือน เวลานี้ก็ได้ค่อยๆ ดิ้นรนลุกขึ้นยืน

อันที่จริงเขารู้สึกลำพองใจมานานมากแล้ว แม้ว่าหนึ่งเดือนมานี้เขาจะนอนนิ่งไม่ขยับ ทว่าสายฟ้าจากรอบด้านที่ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องกลับทำให้ตบะของเขามีการพัฒนาไปไม่น้อย พลังชีวิตก็มากล้นไร้ที่สิ้นสุด

หากไม่เพราะลึกๆ ในใจคิดจะเล่นงานใบหน้าผีนั่นดูสักตั้ง เขาก็คงลุกขึ้นมาเดินนานแล้ว

และพอเขาพูดประโยคนั้นออกไป ใบหน้าผีก็แผดเสียงร้องคำรามอย่างเดือดดาล เนื่องจากอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่งจึงเป็นเหตุให้ควันดำที่เป็นร่างของมันซัดตลบปั่นป่วนตามไปด้วย

“เจ้าหลอกข้า!!” ใบหน้าผีรู้สึกเพียงว่าในสมองมีเสียงดังอึงอลไม่หยุด

หากมีเลือดเนื้อคงได้เห็นมันกระอักเลือดเก่าออกมาแล้ว เพราะมันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมป๋ายเสี่ยวฉุนถึงนอนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ตายมาได้ตั้งหนึ่งเดือน ตอนนี้มันโมโหจนแทบจะระเบิดแล้ว พอคำรามเสร็จ มันก็โผนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจสายฟ้ารอบกายอีกต่อไป

พอเห็นว่าใบหน้าผีเกรี้ยวกราดรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันถอยกรูดไปข้างหลัง

“ผีเฒ่า ข้าหลอกเจ้าแล้วจะทำไม!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง ความเร็วของเขามากกว่าหนึ่งเดือนก่อนอยู่หลายเท่า สายฟ้ารอบด้านผ่าเปรี้ยงลงมาบนร่างของเขาต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับมิอาจส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขาได้ กลับยิ่งทำให้ความเร็วของเขาระเบิดไปอีกขั้นด้วยซ้ำ

“เจ้า…เจ้า…” เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปลอดภัยไร้ร่องรอยบาดเจ็บ โดยเฉพาะเห็นว่าขนาดสายฟ้าพวกนี้ก็ยังมิอาจทำอะไรเขาได้ ในใจของใบหน้าผีก็ดังอื้ออึงอีกครั้ง ไม่มีเวลาให้พิจารณาถึงต้นสายปลายเหตุ มันตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดทันที ไม่ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนไปอีก แต่ถอยกรูดไปข้างหลังอย่างว่องไว

“สมควรตายนัก ทำไมคนผู้นี้ถึงได้ชั่วช้าผิดปกติอย่างนี้!!”

ใบหน้าผีขุ่นเคืองอยู่ในใจ ที่มากกว่านั้นคือความเคียดแค้น แต่มันรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถประมืออยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนในเมฆสายฟ้านี่ได้ หาไม่แล้วเมื่อสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมาเช่นนี้ ต่อให้ตนมีตบะของครึ่งเทพก็ยังถือว่าวิกฤตมากอยู่ดี

เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้ที่ประมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนไปหลายครั้ง ทำให้มันรู้ดีว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนฟ้า ทว่าหากคิดจะฆ่าเขา ตนก็จำเป็นทุ่มเทสุดกำลัง

“เจ้าผีเฒ่าอย่าได้หวังว่าจะหนี มาๆๆ พวกเรามาสู้กันสามวันสามคืนไปเลย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เขาไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ แต่เบิกเนตรทงเทียนตรงกลางหว่างคิ้ว แสงสีม่วงพุ่งพรวดออกมาแล้วตรงเข้าปกคลุมใบหน้าผีที่กำลังถอยหนี

ร่างของใบหน้าผีชะงักกึก แม้จะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติในเสี้ยววินาที แต่มันอยู่กลางเมฆสายฟ้า แถมตรงนี้ยังเป็นจุดที่สายฟ้ามารวมตัวกันมากที่สุด เดิมทีนั้นรอบกายมันก็มีสายฟ้าไล่ตามมาไม่น้อยอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะความเร็วของมันถึงหลบเลี่ยงมาได้พ้น ทว่าตอนนี้พอหยุดชะงักจึงมีสายฟ้าหลายสิบเส้นผ่าเปรี้ยงลงมาบนร่างของมันทันที

พอสายฟ้าหลายสิบเส้นโจมตีลงมาพร้อมๆ กัน มันที่แข็งแกร่งถึงปานนี้ก็ยังร้องต้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ความเกลียดชังในใจท่วมท้นเทียมฟ้าอยู่นานแล้ว ยามนี้จึงร้องคำรามแล้วถอยกรูดไปอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง ทว่ามีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไป ต่อให้เขาเองก็จะถูกพลังของเนตรทงเทียนโจมตีกลับจนกระอักเลือดออกมาเช่นกัน

ทว่าการโคจรเลือดคงกระพันได้ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวขึ้นมาทันทีทันใด เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงร่ายใช้เนตรทงเทียนอีกครั้ง!

พริบตาเดียวร่างของใบหน้าผีก็หยุดชะงักเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ถึงกับมีสายฟ้านับร้อยเส้นเยื้องกรายลงมาแล้วผ่าเปรี้ยงอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงร้องโหยหวนของใบหน้าผีช่างน่าตะลึงยิ่ง และเสียงคำรามแหบโหยของมันก็ยิ่งเหมือนจะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้

“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้ จะถลกหนังเจ้า จะกินเนื้อของเจ้า ข้าจะดูดกระดูกของเจ้าให้เกลี้ยง!!” ใบหน้าผีสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พลังชีวิตหดหายไปอย่างต่อเนื่อง แม้แต่กลุ่มควันที่เป็นร่างของมันก็ยังเบาบางลง ท่ามกลางเสียงแผดคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง มันก็กลายร่างเป็นควันดำนับหมื่นเส้นอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน หวังเพียงรีบเผ่นหนีไปโดยไวที่สุด

สุดท้ายเมื่อใช้เวทอภินิหารนี้จึงคลี่คลายปัญหาจากเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ต่อให้ควันดำนับหมื่นกลุ่มนี้จะยังมีบางส่วนที่ถูกสายฟ้าโจมตีจนแหลกสลาย แต่สำหรับมันแล้ว ขอแค่หนีไปให้พ้นจากพื้นที่เมฆสายฟ้าที่เป็นภัยต่อมันอย่างถึงที่สุดนี้ได้ ทุกอย่างก็คุ้มค่า!

“วิ่งเร็วเหมือนกันนี่นา หึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับไร้วิธีรับมือ ได้แต่มองควันดำนับหมื่นกลุ่มเหล่านั้นถอยกรูดพุ่งออกไปอยู่ริมขอบของเมฆสายฟ้าแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้อีกครั้งคาตาตัวเอง

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่ตนคือฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นจึงยืนอยู่กลางพื้นที่เมฆสายฟ้า มองไกลๆ ไปยังใบหน้าผี ร่างทั้งร่างแผ่ปราณแห่งการต่อสู้ เลียนแบบท่าทางตอนที่คนเฝ้าสุสานเผชิญหน้ากับเทียนจุนในปีนั้นโดยการยกมือขวาขึ้นชี้ พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“ผีเฒ่า เจ้ากล้าเข้ามาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับข้าป๋ายเสี่ยวฉุนหรือไม่!”

ใบหน้าผีหัวเราะร้องไห้ที่อยู่นอกพื้นที่เมฆสายฟ้าโมโหจนแทบจะกระอักแล้ว ทว่าเมฆสายฟ้าที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับเป็นเหมือนบ่อสายฟ้าสำหรับมัน มันไม่เหลือความกล้าให้เหยียบเข้าไปข้างในอีกแล้ว สายฟ้าที่อยู่ข้างในนั้นทำให้มันอกสั่นขวัญแขวน ลำพังเพียงแค่เมื่อครู่นี้ พลังชีวิตของมันก็สลายหายไปเกือบหนึ่งส่วนแล้ว

ต้องรู้ว่านั่นคือพลังที่มันสั่งสมมาผ่านกาลเวลายาวนานจนนับไม่ไหว พอเสียไปก็ให้เสียดายอย่างสุดซึ้ง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าหุบปากไปเลย เจ้ากล้าออกมาหรือไม่เล่า!” ใบหน้าผีเองก็โมโหจนสมองเลอะเลือน ถึงได้ตีฝีปากโต้คารมกับป๋ายเสี่ยวฉุนแบบนี้

“สายฟ้าอยู่ คนอยู่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีพลางเอ่ยเรียบเรื่อย ประโยคนี้ประกอบกับท่าทางผ่อนคลายยิ่งทำให้พลังอำนาจของเขาน่ากริ่งเกรง

“เจ้า…” ประโยคนี้เกือบจะทำให้ใบหน้าผีโกรธจนเป็นบ้า มันไม่เคยเจอใครไร้ยางอายแบบนี้มาก่อน ด้วยความเดือดดาลที่ปะทุพล่านจึงทำให้ควันดำบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เกือบจะอดใจไม่ไหวพุ่งกรากเข้าไปตบป๋ายเสี่ยวฉุนให้ตายโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด

แต่สุดท้ายมันก็ฝืนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ติดต่อกันเพื่อข่มอารมณ์ นั่นเป็นเพราะพลังชีวิตที่เผาผลาญไปก่อนหน้านั้นทำให้มันแบกรับไม่ไหว คุมเชิงกันอยู่พักใหญ่ ใบหน้าผีก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน แน่จริงเจ้าก็อย่าออกมาอีกตลอดกาล เพราะหากเจ้าออกมาเมื่อไหร่ ข้าผู้อาวุโสก็จะฆ่าเจ้าเมื่อนั้น!!” กล่าวจบใบหน้าผีก็หมุนกายจากไปพร้อมความโมโห มันไม่อยากคุมเชิงอยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนตรงนี้แล้วจริงๆ มันกังวลว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าตนอาจจะวู่วามควบคุมตัวเองไม่ได้เข้าจริงๆ

“ผีเฒ่าขี้ขลาด แน่จริงเจ้าก็เข้ามาสิ พวกเรามาเปิดศึกใหญ่กันไปเลย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าใบหน้าผีกำลังจะจากไป เขาที่ยืนอยู่ในพื้นที่สายฟ้าก็สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เชิดคาง ส่ายหน้าทอดถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่สะบัดปลายแขนเสื้อ ผีเฒ่าครึ่งเทพก็ยังหนีไปด้วยความหวาดกลัว”

ประโยคนี้ดังเข้าหูใบหน้าผี หน้าของมันก็กระตุกจนบูดเบี้ยว เตือนตัวเองในใจอีกครั้งว่าต้องอดทนเข้าไว้พลางเพิ่มความเร็วหนีไป

และก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการไล่ฆ่าของคนทั้งสอง พื้นที่สายฟ้าได้กลายมาเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างพวกเขา…คนหนึ่งไม่กล้าเข้าไป คนหนึ่งไม่กล้าออกมา…

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกว่านี่ไม่ดีตรงไหน กลับกันคือเขาผ่อนคลายสบายอารมณ์มากด้วยซ้ำ ยามนี้จึงร่ายใช้ความเร็วห้อตะบึงไปยังจุดลึกของพื้นที่สายฟ้า ตลอดทางมีสายฟ้าไล่ตามมาโจมตีไม่ขาดระยะ ซึ่งทุกเส้นล้วนถูกเขาดูดเข้าไปหมด

จนกระทั่งมาถึงจุดศูนย์กลางของพื้นที่สายฟ้า มองเห็นสายฟ้าแน่นขนัดนับไม่หมดที่ฟาดผ่าลงมารอบกาย ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงนั่งขัดสมาธิลงไปด้วยความตื่นเต้น ครั้นจึงเริ่มฝึกตน

“สักวันหนึ่ง ข้าต้องทำให้เจ้าผีเฒ่านั่นได้เห็นดีกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียง หลับตาฝึกตน

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน ระดับการบำรุงของพลังชีวิตและพลังฟ้าดินที่อยู่ในสายฟ้าเหล่านี้เหนือเกินกว่าของที่สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามากนัก และเมื่อเวลาผันผ่าน ตบะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน และยังมีเลือดคงกระพันของเขาที่มีการสั่งสมหยดแล้วหยดเล่า จนขยับเข้าไปใกล้ห้าส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนทางฝ่ายของใบหน้าผีนั้น พอจากไปมันก็พยายามข่มกลั้นความคับแค้นใจเอาไว้ เค้นสมองครุ่นคิดถึงวิธีที่จะช่วงชิงสมบัติอาคมมาเป็นของตน แต่พอถึงท้ายที่สุดมันก็จำเป็นต้องถอนหายใจยาวเหยียด ล้มเลิกความคิดที่จะควบคุมพื้นที่ภายในของสมบัติอาคมนี่ไป

“ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว! วิธีเดียวก็คือออกไปลงมือจากภายนอก!” ดวงตาของใบหน้าผีโชนแสงคมกริบ ครั้นจึงเริ่มตามหาทางออกของที่แห่งนี้

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี

หนึ่งปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกตนอยู่ตลอดเวลา หาใช่เขาชอบฝึกตน แต่เพราะหากไม่ฝึกตน เขาก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว พื้นที่ของสายฟ้าก็กว้างใหญ่แค่นี้ แถมเขายังไม่กล้าออกไป เลยได้แต่ฝึกตนไปเรื่อยๆ

ทว่าหนึ่งปีมานี้ใบหน้าผีกลับยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้นทุกที มันพบว่าสมบัติอาคมชิ้นนี้กลับไม่มีทางออก มันถึงขั้นคิดหาวิธีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับยังไม่สามารถออกไปได้

เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองถูกขังอยู่ที่นี่ ใบหน้าผีก็ยิ่งขี้โมโหยิ่งฉุนเฉียวง่าย หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า มันเชื่อว่าสักวันหนึ่งตนต้องหาวิธีจากไปได้

ทว่า…ภายในหนึ่งปีมานี้ ตบะของมันกลับค่อยๆ ถูกกำราบเอาไว้ จากแต่ก่อนที่มีพลังการต่อสู้ของครึ่งเทพ ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ระดับว่าที่ครึ่งเทพเท่านั้น นี่จึงทำให้ใบหน้าผีที่ตะลึงพรึงเพริดร้อนใจราวไฟลน ยิ่งมันตระหนักได้ว่านี่ต้องเป็นแผนเล่นงานที่วิญญาณวัตถุของสมบัติอาคมซึ่งกำลังผสานรวมมีต่อตน และเห็นได้ชัดว่า…นี่ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ยิ่งเวลาผ่านพ้น ตบะของตนยังต้องถูกกำราบไปอีกระดับใหญ่ มันก็อดคลุ้มคลั่งไม่ได้

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!!!” ใบหน้าผีร้องคำรามเดือดดาล ในใจเริ่มเกิดความลนลานหวาดกลัว มันถึงขั้นรู้สึกด้วยว่านับตั้งแต่ที่ต้นเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มดวงซวยมาโดยตลอด ยิ่งหวาดหวั่น ความอึดอัดคับแค้นใจก็ยิ่งแผ่กระจายไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด…

และมันกับป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ต่างก็ไม่รู้ว่า เวลาหนึ่งปีที่ถูกขังอยู่ในสมบัติอาคม ภายใต้คำสั่งเดียวของเทียนจุน แผ่นดินใหญ่ทงเทียนของโลกภายนอก สำนักต้นแม่น้ำสี่แห่ง สำนักของแม่น้ำตอนกลางรวมไปถึงสำนักแม่น้ำตอนล่างทุกแห่ง…ต่างก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม…ด้วยความตึงเครียด!!

หลังจากศึกระหว่างแดนทุรกันดารผ่านมานับหมื่นปี นี่ก็คือศึกระบือโลกที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง!

และครั้งนี้ เนื่องจากกำแพงเมืองพังถล่มไปก่อนแล้ว บวกกับที่พื้นที่ต้องห้ามแห่งชีวิตสามารถเดินทางผ่านได้อย่างราบรื่นก็พอจะจินตนาการได้เลยว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่นี่จะเป็น…ศึกแห่งการสาบสูญครั้งหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version