Skip to content

A Will Eternal 995

บทที่ 995 คนฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด

เพิ่งจะเหยียบเข้าไปในแดนทุรกันดาร กลิ่นคาวเลือดขุมหนึ่งก็โชยมาปะทะใบหน้า เมื่อทอดสายตามองไปจึงเห็นได้ว่าแดนทุรกันดารที่เดิมทีแห้งแล้งกันดาร มาตอนนี้กลับยิ่งมีสภาพน่าอนาถยิ่งกว่าเดิม พื้นดินเป็นสีแดงเข้ม เต็มไปด้วยซากเน่าเปื่อย

ไม่พูดว่ามีร่องรอยของเวทคาถาหลงเหลือในเห็นในทุกๆ พื้นที่ แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก ยามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงอยู่ในแดนทุรกันดาร เขาได้เห็นว่าลำพังเพียงแค่สมรภูมิรบขนาดเล็กที่มีเศษแขนเศษขาเหลือทิ้งไว้ก็มีมากนับสิบกว่าแห่งแล้ว

แดนทุรกันดารที่เดิมทีก็ไม่มีพืชพรรณเติบโตขึ้นมาสักเท่าไหร่ มาตอนนี้กลับยิ่งเปลี่ยวร้างมากกว่าเดิม บนพื้นดินมีร่องแตกที่ทั้งปูดนูดทั้งเว้าลึกขึ้นๆ ลงๆ อยู่มากมาย เทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปไกลก็พังทลายไปแล้วเกินครึ่ง

อีกทั้งเขายังได้เห็นพื้นที่หนึ่งที่มีขนาดมากพอพันลี้ พื้นดินของที่แห่งนี้มีปราณแห่งความตายเข้มข้น ศพมากมายที่บ้างก็เป็นของแดนทุรกันดาร บ้างก็เป็นของทงเทียนกระจายกลาดเกลื่อนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

สัตว์ปีกที่หน้าตาคล้ายอีแร้งหลายตัวกำลังยืนอยู่บนศพแล้วจิกกินเนื้อที่เน่าเละไม่หยุด การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อให้เกิดเสียงลมพัดคำราม สัตว์ปีกพวกนั้นจึงตื่นตกใจจนพากันบินฮือขึ้นไป

ก่อนจะเกาะกลุ่มกันบินวนพลางร้องคำรามอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเทาจับจ้องมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความหวาดกลัว

มองเห็นศพเหล่านั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะท้านน้อยๆ ชั่วชีวิตที่ผ่านมา เขาเองก็เคยเห็นเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย หากจะพูดถึงสงคราม…ก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วหลายครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นศึกของสี่สำนักในแม่น้ำตอนล่างของปีนั้น หรือสงครามของแม่น้ำตอนกลาง หรือจะเป็นการเข่นฆ่ากันบนกำแพงเมืองก็ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีถึงความโหดเหี้ยมของสงคราม

ทว่าสงครามทั้งหมดที่เขาเคยเห็นมาล้วนเทียบกับความอเนจอนาถของพื้นที่หนึ่งพันลี้นี้ไม่ได้เลย

เพราะจะอย่างไรซะประสบการณ์ในสงครามช่วงแรกๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นการเก็บกวาดซากศพบนสนามรบ ทว่าศึกระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียนในครั้งนี้กลับมาถึงช่วงเวลาของความเป็นความตาย จนไม่มีใครสนใจเก็บกวาดสมรภูมิรบอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าศพมากมายพวกนี้อยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน สภาพศพเน่าเปื่อยจนไม่น่ามอง ทำให้กลิ่นอายทั่วทั้งฟ้าดินที่นอกจากจะเป็นกลิ่นคาวเลือดแล้วยังมีกลิ่นเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนด้วย…

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองภาพทุกอย่างนี้เงียบๆ เมื่อหมุนตัวกลับไป เขาก็ห้อตะบึงไปยังที่ตั้งของนครผียักษ์ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

จนกระทั่งเขาจากไปแล้ว พวกสัตว์ปีกที่บินอยู่บนท้องฟ้าถึงได้เริ่มลดความหวาดกลัวลง แล้วก็คล้ายจะปฏิเสธแรงดึงดูดจากเนื้อเน่าเละบนพื้นดินไม่ไหว ถึงได้ค่อยๆ ลดตัวลงมาแล้วเริ่มสวาปามกับอาหารมื้อใหญ่อีกครั้ง…

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขารู้แค่ว่าตัวเองไม่ได้เสียเวลาไปแม้แต่เสี้ยววินาที เวลาทั้งหมดล้วนใช้หมดไปกับการเร่งรีบเดินทาง ภายใต้ความเร็วเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นครึ่งเทพคนอื่นๆ คงยากจะที่แบกรับได้ไหว แล้วก็มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่หลังจากฝึกเลือดคงกระพันสำเร็จจนพลังการฟื้นตัวมีมากจนน่าเหลือเชื่อเท่านั้น ถึงจะสามารถระเบิดความเร็วออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ว่าจะเป็นพลังกายหรือตบะก็ล้วนยังคงอยู่ในสภาวะสูงสุดได้ตลอดเวลาเช่นนี้

ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ความเร็วของเขายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มองไปไกลๆ ถึงขนาดไม่เห็นเงาร่างของเขาบนท้องฟ้า เห็นเป็นเพียงแค่รุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งมาถึงในชั่วพริบตาเท่านั้น

ยิ่งเคลื่อนหน้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นพื้นที่การต่อสู้แห่งแล้วแห่งเล่าบนพื้นดินของแดนทุรกันดาร ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นทุกขณะ

สนามรบพันลี้ยังไม่นับเป็นอะไร เพราะตลอดทางมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นมหาสมุทรซากกระดูกที่อยู่ในพื้นที่หลายพันลี้หรืออาจถึงขั้นหลายหมื่นลี้ มีครั้งหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุน…เห็นโครงกระดูกนับหมื่นโครงซึ่งเป็นภาพที่มิอาจบรรยายได้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเขาเองคิดอะไรอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ก็คือ นี่คือนรกบนดินที่โหดร้ายที่สุด…เท่าที่เขาเคยเห็นมา

บนพื้นดินยังมีหลุมลึก ร่องแตกมากมายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง รวมไปถึงพื้นที่ที่เดิมทีเป็นป่าไม้ แต่ตอนนี้กลับไหม้เกรียมเหมือนถูกเปลวเพลิงเผาไหม้

อีกทั้งยังมีพื้นที่ที่แต่เดิมคือที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองในแดนทุรกันดาร ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นเพียงซากปรักหักพัง ศพของชนพื้นเมืองที่สูงใหญ่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษบนผืนดินแห่งนี้

“ทำไมกัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ยิ่งขยับเข้าไปใกล้นครผียักษ์มากเท่าไหร่ ความร้อนรนและความบ้าคลั่งในใจของเขาก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งอยู่ห่างจากนครผียักษ์อยู่อีกระยะหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เห็น…ม่านแสงสีทองชั้นหนึ่งที่แผ่ปราณของน้ำมหาสมุทรทงเทียนซึ่งเป็นเหมือนผ้าคลุมขนาดมหึมาที่ปกคลุมพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเอาไว้

และจุดศูนย์กลางที่ถูกปกคลุมนี้…ซึ่งต่อให้จะอยู่ห่างกันมากจนป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นได้ไม่ชุด แต่อาศัยความคุ้นเคยที่เขามีต่อพื้นที่ใกล้เคียงนครผียักษ์ มองปราดเดียวเขาก็จำได้ว่า จุดที่ม่านแสงสีทองปกคลุมเอาไว้…ก็คือนครผียักษ์!

เห็นได้ชัดว่านี่คือม่านแสงของค่ายกล ด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้กองหนุนของอีกฝ่ายมาช่วยเหลือ และอีกด้านหนึ่งก็เพื่อปิดกั้นนครผียักษ์ให้ตายอยู่ด้านใน ทำให้กองทัพผียักษ์ซึ่งหากเป็นฝ่ายชนะก็ดีไป แต่หากพ่ายแพ้ ถ้าเช่นนั้นค่ายกลนี้ก็จะกลายมาเป็นคุกที่ไม่ให้นักพรตคนใดของแดนทุรกันดารหนีรอดออกไปได้ จากนั้นก็ต้องตายกันอยู่ด้านในจนหมด

สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงใจที่อยากกำจัดแดนทุรกันดารของเทียนจุน

วินาทีที่มองเห็นม่านแสงสีทอง เส้นเลือดฝอยในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเร็วของเขาพลันระเบิดดังตูม ขณะที่กำลังจะร่ายใช้ผนึกมิวางวายลอดทะลวงม่านแสงค่ายกลนั่นไป จู่ๆ บนม่านแสงสีทองที่ห่างไปไกลก็มีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์สามใบหน้าลอยขึ้นมา

สามใบหน้านี้ล้วนเป็นใบหน้าของผู้เฒ่า หนึ่งในนั้นตรงกลางหว่างคิ้วมีเขาสีทองดุร้ายงอกออกมา วินาทีที่พวกเขาเผยตัวก็แผ่คลื่นคนฟ้าที่มากไพศาลสั่นคลอนแปดทิศออกมาทันที!

โดยเฉพาะผู้เฒ่าที่กลางหว่างคิ้วมีเขางอก คลื่นตบะของเขาเหนือกว่าคนฟ้าช่วงท้ายอีกสองคน ซึ่งถึงกับแผ่พลังอำนาจสูงสุดของขั้นสมบูรณ์แบบที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเฉินฮ่าวซงออกมา

สายตาของเขาเป็นดั่งสายฟ้าที่พุ่งมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ไม่นานลูกตาดำทั้งคู่ก็หดตัว เห็นได้ชัดว่ามองตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบของป๋ายเสี่ยวฉุนออก ทั้งยังมองเห็นว่าในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีปราณวิญญาณฟ้าดินแผ่ออกมา

“ไม่ใช่เจ้าพระยาสวรรค์ของแดนทุรกันดาร…ทว่าในบรรดาคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบของแม่น้ำสี่สายไม่มีคนผู้นี้อยู่…” ผู้เฒ่าพึมพำ ดวงตาทั้งคู่ฉายแสงคมกริบ ก่อนเอ่ยเนิบช้า

“ผู้ที่มาโปรดหยุดก่อน ข้าผู้อาวุโสคือโอวหยางเฉินคนฟ้าองค์รักษ์รักษาพระองค์ของเกาะทงเทียน ได้รับคำสั่งเทียนจุนให้จัดวางค่ายกลใหญ่เป็นฝ่าย ไม่ว่าเจ้าเป็นคนฟ้าของสำนักไหนก็จงรีบไปซะเดียวนี้ หากขัดขืนจะถูกสังหาร!”

ผู้เฒ่าคนนี้และคนฟ้าช่วงท้ายอีกสองคนล้วนไม่ใช่คนของสำนักใดๆ จากแม่น้ำสี่สาย แต่มาจากเกาะทงเทียน คือองค์รักษ์รักษาพระองค์ใต้บังคับบัญชาของเทียนจุนที่เหนือกว่าผู้พิทักษ์ทั่วไป!

องค์รักษ์รักษาพระองค์เช่นนี้ล้วนถูกเทียนจุนเลือกมาจากทั่วทุกพื้นที่ของแผ่นดินทงเทียน หลังจากนั้นก็ใช้เวทลับทำให้กลายมาเป็นคนฟ้า ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ครึ่งเทพของแม่น้ำสี่สายเองก็ยังมิอาจรู้จำนวนที่แน่ชัดของพวกเขา สามารถพูดได้ว่าในมือของเทียนจุน นอกจากตัวเขาเองแล้วยังมีกองกำลังที่สามารถสร้างภัยคุกคามให้กับแม่น้ำสี่สายได้อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง

อีกทั้งในตำนานยังเล่าลือกันว่าเหนือองค์รักษ์รักษาพระองค์ขึ้นไปยังมีองค์รักษ์เทพอยู่อีกด้วย!

สงครามระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียนครั้งนี้ ผู้พิทักษ์ องค์รักษ์รักษาพระองค์ล้วนถูกระดมพลออกมาเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมสงครามโดยตรง แต่ด้านหนึ่งคือรับผิดชอบสังหารฝ่ายศัตรูที่เหลืออยู่ อีกด้านหนึ่งก็คือตรวจสอบสถานการณ์การต่อสู้ จัดวางค่ายกลแห่งความเป็นความตายเพื่อทำการสังหารในขั้นสุดท้าย

ในใจของพวกเขามีเพียงเทียนจุนเท่านั้น สำหรับแม่น้ำสี่สายที่เหลือแล้ว นอกจากครึ่งเทพ…คนอื่นๆ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา คนฟ้าของสำนักแม่น้ำสี่สายอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้า เวลาปกติพวกเขาสามารถตวาดด่าได้โดยตรงด้วยซ้ำ

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะอธิบายอย่างมีมารยาท แต่ตอนนี้เขาร้อนใจ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าราชาผียักษ์กับสำนักสยบธารและแม่น้ำสายตะวันออกของทงเทียนเปิดศึกกัน ตลอดทางที่ผ่านมาเขาก็ห้อตะบึงมาโดยไม่คิดจะเสียเวลา ยามนี้ความกระวนกระวายใจพุ่งสูงถึงขีดสุด เมื่อเห็นว่ากำลังจะไปถึงสนามรบอยู่แล้ว แต่กลับมีคนโผล่มาขัดขวาง เขาไม่มีเวลามาพูดพร่ำ จึงไม่เพียงแต่ไม่ลดความเร็ว กลับยิ่งเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นด้วยซ้ำ

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ตลอดทั้งร่างของเขากลายมาเป็นเหมือนลูกธนูที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินลูกหนึ่งซึ่งพุ่งสวบเข้าไปในม่านแสงสีทอง

“ไม่รู้จักที่ตาย!” ดวงตาของผู้เฒ่าที่กลางหว่างคิ้วมีเขางอกแสดงความดูหมิ่น ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเผยตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบออกมา แต่เขาก็ยังคงแค่นเสียงเย็น

“ฆ่าคนผู้นี้ทิ้งซะ!”

ขาดคำของเขา คนฟ้าช่วงท้ายอีกสองคนที่อยู่บนม่านแสงค่ายกลซึ่งเป็นองค์รักษ์รักษาพระองค์ของเกาะทงเทียนก็พากันหัวเราะหยัน ใบหน้าพลันหดเล็กลง ครั้นจึงกลายมาเป็นเงาร่างสองเงาที่บินออกมาจากค่ายกล อีกทั้งตอนที่บินออกมาบนร่างของพวกเขายังมีม่านแสงค่ายกลสีทองแผ่ออกมา ซึ่งนั่นก็คือการปลุกเสกของค่ายกล!

พลังของม่านแสงค่ายกลนี้น่าตะลึงอย่างยิ่ง พอมารวมอยู่บนร่างของคนทั้งสองก็ยิ่งทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นอีกไม่น้อย จนแทบจะใกล้เคียงกับคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ

เห็นได้ชัดว่าการปลุกเสกของค่ายกลนี้ถึงจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เฒ่ามีเขาและองค์รักษ์รักษาพระองค์คนฟ้าช่วงท้ายอีกสองคนกำเริบเสิบสานได้อย่างโอหัง

“บุกเข้ามาในค่ายกลใหญ่เป็นตาย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ล้วนถือว่าละเมิดกฎของเทียนจุน ตายซะเถอะ!” องค์รักษ์รักษาพระองค์ที่เป็นคนฟ้าช่วงท้ายเปล่งเสียงดังราวอสนีบาต วินาทีที่เสียงหัวเราะอย่างจองหองดังก้อง คนทั้งสองก็พลันบินออกมา

เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าไปใกล้ คนทั้งสองก็ทำมุทรา ทันใดนั้นด้านหลังของเขาพวกก็มีแมงป่องสีทองขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งจำแลงขึ้น สีหน้าของแมงป่องตัวนั้นดุร้าย มันพกพาเอาปราณสังหารตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!” ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ลดลง ชั่วขณะที่คนทั้งสองขยับเข้ามาใกล้ เขาก็พลันเปล่งเสียงคำรามกร้าวที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เสียงคำรามนี้เขย่าคลอนนภากาศ กลายมาเป็นลมพายุบ้าระห่ำที่ไร้คำบรรยายซึ่งม้วนตลบเข้าหาคนทั้งสองราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร

องค์รักษ์รักษาพระองค์คนฟ้าช่วงท้ายทั้งสองคนนี้ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกคลื่นเสียงคำรามโจมตีจนร่างสั่นสะเทือน กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่ง คล้ายถูกภูเขาลูกใหญ่ยักษ์กระแทกลงมาบนร่าง แมงป่องสีทองที่จำแลงขึ้นมาด้านหลังของพวกเขามิอาจต้านทานพลังขุมนั้นได้เลย อีกทั้งเพียงแค่รับสัมผัสกับเสียงคำรามนั้นจิตวิญญาณของแมงป่องก็สั่นสะเทือน ร่างปวดร้าว ก่อนปริแตกพังทลายไม่เหลือชิ้นดี!!

“เจ้า…”

“เขาไม่ใช่คนฟ้า…”

คนฟ้าช่วงท้ายสองคนที่เป็นองค์รักษ์รักษาพระองค์ซึ่งเดิมทียังผยองพองขนพลันหน้าเปลี่ยนสี ลูกตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ความตะลึงพรึงเพริดแผ่ลุกลามไปทั่วจิตใจคล้ายคลื่นลูกยักษ์ไร้ที่สิ้นสุดซึ่งโถมกระหน่ำให้สมองของพวกเขาเกิดเสียงดังอื้ออึง

คลื่นเสียงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยตบะและพลังการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ยามที่ดังสะท้อนก็คล้ายกลายมาเป็นของจริงที่ทำให้ความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาพังทลาย ท่ามกลางลมพายุที่พัดกระโชกแรง พลังแห่งการดับทำลายขุมหนึ่งก็ได้ระเบิด…ปณิธานคนฟ้าน่าครั่นคร้ามที่มากพอจะกวาดทำลายทุกสรรพสิ่งออกมา!

สามารถเรียกได้ว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนคือ…คนฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version