บทที่ 994 ข้าจะต้องขัดขวางได้…
สำหรับทุกคนของสำนักสยบธารแล้ว ข่าวสุดท้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือเขาถูกกักตัวอยู่ที่แม่น้ำสายเหนือพร้อมกับตู้หลิงเฟย
นับแต่นั้นมา…ก็ไม่มีข่าวคราวของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกเลย
จนกระทั่งสงครามระเบิดปะทุ การต่อสู้ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียน รวมไปถึงการบาดเจ็บและล้มตายของทั้งสองฝ่าย ทำให้ทุกคนของสำนักสยบธารไม่เหลือเรี่ยวแรงให้พิจารณาถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว สิ่งที่คิดคำนึงถึงในแต่ละวันมีเพียง การต่อสู้เท่านั้น!
สวีเป่าไฉเองก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีบางครั้งที่เขาหวนนึกไปถึงบุรพาจารย์น้อยผู้ยอดเยี่ยมเลิศล้ำของตน คิดถึงในอดีตที่คนทั้งสองเคยอยู่…ในฝ่ายครัวไฟด้วยกัน รวมไปถึงความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกัน ซึ่งดูเหมือนว่าตนเคยเขียนจดหมายท้ารบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย…
ชะตาชีวิตคือสิ่งที่มิอาจคาดเดาได้ถึง นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่สวีเป่าไฉหวนนึกถึงอดีต เขามักจะทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไปเสียทุกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่เขาบาดเจ็บสาหัส ความปลดปลงก็ยิ่งมีมากขึ้น
ทว่าความปลงทุกอย่างกลับเทียบเคียงไม่ได้กับความสะท้านสะเทือนของจิตใจในเวลานี้ ด้านหนึ่งก็เพราะการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนที่หายตัวไปได้มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าตัวเองกะทันหัน
อีกทั้งคลื่นตบะที่แผ่ออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็ยิ่งทำให้จิตวิญญาณของสวีเป่าไฉสะท้านไหวอย่างบ้าคลั่ง นั่นคือความสะท้านสะเทือนที่รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาด้วยตบะคนฟ้าเสียอีก
เขาแยกไม่ออกว่าตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีตบะอะไร เขารู้แค่ว่าความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินจะหยั่งนี้ เขาเคยเห็นแค่จากร่างของครึ่งเทพตอนอยู่ในสนามรบเท่านั้น
“บุรพาจารย์น้อย…ท่าน…” สวีเป่าไฉพูดอึกๆ อักๆ หัวสมองขาวโพลน
“หลายปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คนของสำนักสยบธารล่ะ? พวกเขาล่ะ…พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรนอยู่ในใจ รีบถามทันทีอย่างไม่มัวมาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของอีกฝ่าย
เห็นเส้นเลือดฝอยที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน สวีเป่าไฉก็สูดลมหายใจบังคับให้ตัวสงบสติอารมณ์ ขณะเดียวกันก็เข้าใจดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทักทายปราศรัย เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดรัวเร็ว
“บุรพาจารย์น้อย แดนทุรกันดารกับทงเทียนเปิดศึกกันแล้ว…”
แต่ไรไหนมาสวีเป่าไฉก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการสืบข่าวมากที่สุดอยู่แล้ว อีกทั้งศึกครั้งนี้เขายังเคยไปเข้าร่วมมาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงเข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดดียิ่ง
พอได้ฟังจากปากเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เข้าใจต้นสายปลายเหตุของสงครามครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เขาอยู่ในโลกสมบัติอาคมแล้วเกินครึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมา อารมณ์ของเขาก็ยิ่งขึ้นๆ ลงๆ
เขารู้แล้วว่าหลังจากที่ตนเข้าไปในโลกสมบัติอาคมได้ไม่นาน เทียนจุนได้ออกคำสั่งให้สำนักต้นแม่น้ำทั้งสี่รวมไปถึงสำนักทั้งหมดที่อยู่ใต้บังคับบัญชายกทัพไปเปิดศึกที่แดนทุรกันดาร!
เขายิ่งรู้ด้วยว่าสงครามครั้งนี้รุนแรงและโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างถึงที่สุด และแดนทุรกันดารก็ค่อยๆ เพลี่ยงพล้ำตกเป็นรอง ขอบเขตของการต่อสู้หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง จนตอนนี้เสียพื้นที่ไปแล้วถึงสี่ห้าส่วน ขณะเดียวกันเทียนจุนก็เพิ่มแรงกดดันให้กับแดนทุรกันดารมากขึ้นโดยการระดมนักพรตทุกสำนักของแผ่นดินใหญ่ทงเทียนไปเกือบเจ็ดแปดส่วน ทำให้สงครามในครั้งนี้ยิ่งใหญ่จนแทบจะเรียกได้ว่าล้ำโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เขายังรู้ด้วยว่าเมื่อครึ่งปีก่อน สงครามครั้งนี้…ได้เกินระดับที่เรียกว่าร้อนระอุไปแล้ว ดูเหมือนว่าความอดทนของเทียนจุนมีจำกัด ไม่ต้องการรออีกต่อไป แต่เริ่มทุ่มทุกอย่างโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน ต่อให้ใช้ชีวิตคนไปเติมเต็มก็ยังต้องทำตามคำสั่งโจมตีตัดสินแพ้ชนะให้สำเร็จให้จงได้!
ภายใต้คำสั่งนี้ สี่สำนักต้นแม่น้ำจึงยกทัพจู่โจมจากสี่ทิศทาง ส่วนแดนทุรกันดารกลับเหมือนคนหลังชนฝา ครึ่งปีมานี้จึงมีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ซากศพเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกพื้นที่!
จากคำบอกเล่าของสวีเป่าไฉ แผ่นดินของแดนทุรกันดารในเวลานี้ใกล้จะกลายเป็นสีเลือดแล้ว วิญญาณที่ตายไปในพื้นที่นั้นมากจนถึงระดับที่มิอาจบรรยายได้ ราวกับว่าวัฏจักรสังสารได้พังทลายไปแล้ว เป็นเหตุให้วิญญาณคนตายมิอาจเข้าไปในแม่น้ำอเวจี ได้แต่ล่องลอยไปทั่วสนามรบ มีให้เห็นทั่วทุกหนแห่ง!
ขณะเดียวกันการตายของคนฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องที่เห็นได้ยากอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ จนถึงตอนนี้สำนักต้นแม่น้ำทั้งสี่แห่งมีคนฟ้าตายไปแล้วถึงเก้าคน ส่วนสิบเจ้าพระยาสวรรค์ของแดนทุรกันดารก็มีถึงหกคนที่กายและจิตมอดม้วยไปแล้ว!
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตก่อกำเนิดและพระยาสวรรค์ของแดนทุรกันดารเลย การตายของพวกเขาถึงขนาดที่ยังไม่ทันได้สร้างริ้วคลื่นอะไรก็ถูกกระแสสงครามซัดตลบกลบทับไปก่อนแล้ว
“ราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านของแดนทุรกันดาร และบุรพาจารย์สี่สำนักต้นแม่น้ำก็ไม่รู้ว่าเข่นฆ่ากันมาแล้วกี่ครั้ง ต่างฝ่ายต่างมีคนบาดเจ็บ ครั้งหนึ่งที่ร้ายแรงที่สุดยังเกือบจะเอาชีวิตของครึ่งเทพได้ด้วยซ้ำ!”
“สามารถจินตนาการได้ว่า ศึกตัดสินที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ไม่ช้าหรือเร็ว…ก็ต้องมีครึ่งเทพตายไป อีกทั้งยังไม่มีทางตายไปแค่คนเดียว กลัวก็แต่ว่า…หลังจากศึกนี้ผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะเป็นแดนทุรกันดารหรือทงเทียนก็ล้วนต้องเสียหายกันอย่างใหญ่หลวง”
สวีเป่าไฉเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น บอกเล่าทุกอย่างที่ตัวเองรู้มาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังอย่างรวดเร็ว
“พวกเราไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว ไม่อยากแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่าสำนักอื่นๆ หรือแม้แต่ลูกศิษย์ของสำนักต้นแม่น้ำต่างก็ไม่ยินดีที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ต่อไป แต่แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า…อำนาจในการยุติศึกอยู่ในมือของเทียนจุน เขาผู้อาวุโสต้องการทำสงคราม พวกเราก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง”
“สำนักสยบธาร…มิอาจหลบเลี่ยงได้พ้น จึงเข้าร่วมการต่อสู้กับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามานานหลายปีแล้ว และคู่ต่อสู้ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา…ก็คือกองทัพผียักษ์ใต้บังคับบัญชาของราชาผียักษ์หนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ของแดนทุรกันดาร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ ใจก็หายวาบ เรื่องที่เขาไม่ต้องการเผชิญหน้ามากที่สุด ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเกิดขึ้นจนได้ ระหว่างราชาผียักษ์และสำนักสยบธาร เขาไม่อยากเห็นฝ่ายไหนได้รับบาดเจ็บทั้งนั้น
นี่ก็เหมือนเมื่อครั้งสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพในปีนั้น…
“ยังดีที่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด สตรีธุลีแดงซึ่งเป็นแม่ทัพของกองผียักษ์ถึงได้ออมมือให้สำนักสยบธารหลายครั้ง หาไม่แล้ว เกรงว่าสำนักสยบธารในเวลานี้คงเหลือไม่ถึงสามในสิบ…”
“แต่ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้คนไม่น้อยของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสงสัยในตัวสำนักสยบธาร จึงเป็นเหตุให้…บุรพาจารย์คนฟ้าหลายคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราถึงขั้นออกคำสั่งให้สำนักสยบธารลงสนามรบเป็นแนวหน้า…” กล่าวมาถึงตรงนี้ ความคับแค้นและบ้าคลั่งในหัวใจของสวีเป่าไฉก็ระเบิดออกมาอย่างข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“บุรพาจารย์น้อย เมื่อสามวันก่อนข้าเพิ่งได้รับรายงานบอกว่ากองทัพใหญ่ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากำลังปะทะกับกองทัพผียักษ์ซึ่งเป็นศึกตัดสินครั้งสุดท้ายอยู่นอกนครผียักษ์…พวกเราควรจะทำอย่างไรดี!!”
ฟังเสียงร้องตะโกนของสวีเป่าไฉ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะท้านไหว ความขมขื่นมีมากราวกับไร้ที่สิ้นสุด คนนอกไม่รู้ว่าเหตุใดสตรีธุลีแดงถึงออมมือให้สำนักสยบธาร แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้าใจถึงสาเหตุได้เป็นอย่างดี ในใจเขาซาบซึ้ง ขณะเดียวกันก็บังเกิดความโกรธแค้นต่อการที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราให้สำนักสยบธารออกรบเป็นแนวหน้า แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเวลานี้สิ่งที่ตนต้องทำให้ได้คือการสงบสติอารมณ์
“สำนักสยบธารคือบ้านของข้า ข้าจะไม่ยอมให้สำนักสยบธารได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด…”
“ราชาผียักษ์และจื่อโม่ต่างก็มีความสัมพันธ์กับข้า…ข้าก็ไม่ต้องการเห็นพวกเขาถูกทำร้ายเช่นกัน…”
“ข้าควรจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี!!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่รัว เสียงตะโกนของสวีเป่าไฉดังก้องอยู่ในหู ไหลบ่าเข้าสู่จิตใจ ก่อนจะกลายมาเป็นพายุพัดกระหน่ำในหัวใจของเขา
แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วสงครามระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียนจะต้องเกิดขึ้น แต่สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนเขาตั้งรับไม่ทัน ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเขาถูกกักตัวอยู่ในโลกสมบัติอาคมจึงได้เสียเวลาที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดไปนานหลายปี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของศึกตัดสินแพ้ชนะแล้ว ความเลื่อนลอยทำอะไรไม่ถูกจึงผุดขึ้นกลางใจของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างห้ามไม่ได้
“ทำไม…จะต้องรบราฆ่าฟันกันด้วย!!”
“ฝึกเป็นเซียนก็เพื่อความเป็นอมตะ เหตุใดก็ต้องแบ่งแยกคนเป็นคนตาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทิ้ม หลับตาที่แดงฉานทั้งคู่ลง
“ปีนั้น…ข้าสามารถขัดขวางสงครามของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพได้ ตอนนี้…ข้าก็จะต้องขัดขวางสงครามระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียนได้เหมือนกัน!!”
“ถูกต้อง ด้วยความสัมพันธ์ของข้ากับตู้ตู้น้อย แถมเทียนจุนยังเคยพูดว่าหากข้าเป็นครึ่งเทพได้เมื่อไหร่ เขาจะอนุญาตให้ข้ากับตู้ตู้น้อยได้อยู่ด้วยกัน…”
“ข้ายังเป็นอาจารย์ของฮ่าวเอ๋อร์ ข้าจะต้องขัดขวางได้แน่นอน!!”
“ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะเทียนจุนต้องการจากไป ในเมื่อเขาอยากไปก็ให้เขาออกไปสิ ข้าจะไปพูดเกลี้ยล่อมคนเฝ้าสุสาน แล้วก็ติดต่อไปหาฮ่าวเอ๋อร์ให้เขาเปิดประตูของโลกใบนี้ให้เทียนจุนจากไป!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดเป็นร้อยเป็นพันตลบจนความคิดขมวดปนกันเป็นก้อนยุ่งเหยิง ยามนี้พอจะคว้าแนวทางบางอย่างได้ท่ามกลางความร้อนใจจึงไม่มัวมาพิจารณาว่าวิธีนี้จะทำได้จริงหรือไม่ เขาพลันเงยหน้าขึ้น เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
“ข้าจะยุติสงครามครั้งนี้ให้ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำรามอยู่ในใจ เมื่อทะยานตัวขึ้นบนฟ้า เขาก็ร่ายความเร็วให้สูงถึงขีดสุด ความว่างเปล่าบิดเบือน ชั้นเมฆปริแตกคล้ายมีสายอสนีฟาดผ่าแหวกฟ้าดิน เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหายไป ตรงดิ่งไปยัง…เขตต้องห้ามแห่งชีวิต!
เขาไม่มีเวลามาโดยสารเรือรบ แล้วก็ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าไปกับการเดินทางโดยมหาสมุทรทงเทียน ตอนนี้วิธีที่เร็วที่สุดในการเดินทางไปยังสนามรบก็คือใช้เขตต้องห้ามแห่งชีวิต พอมาถึงแดนทุรกันดารก็ตรงดิ่งไปยังนครผียักษ์ทันที!
ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยกับเส้นทางในแดนทุรกันดารเป็นอย่างดี ยามนี้เขาที่มาพร้อมกับความร้อนใจและความกระวนกระวายอย่างรุนแรงจึงทะยานแหวกท้องนภาด้วยเสียงดังตูมตามไปตลอดทาง จนกระทั่งมาปรากฏตัวอยู่นอกเขตต้องห้ามแห่งชีวิต เขาก็ก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเล
ไม่ได้คิดคำนวณเวลา ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเพียงความคิดเดียว
“เร็ว เร็วกว่านี้อีกหน่อย!”
ตูมๆๆ…
เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนลอดทะลวงอยู่ในเขตต้องห้ามแห่งชีวิต ไม่นานนักเมื่อเขาก้าวเท้าออกมาก็ได้เหยียบย่างเข้าไปใน…เขตพื้นที่ของแดนทุรกันดาร!