บทที่ 993 ร้อนใจ
บินทะยานไปด้วยความเลื่อนลอยอยู่นาน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็แน่ใจว่า…พื้นที่ที่ตัวเองอยู่ก็คือแม่น้ำสายเหนือจริงๆ เพียงแต่ว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี แม่น้ำสายเหนือในเวลานี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน…
พื้นที่เกือบแปดส่วนตลอดทั้งแม่น้ำสายเหนือ…ไม่มีที่ราบน้ำแข็งอีกแล้ว แต่เผยให้เห็นดินโคลนสีดำและยังมีต้นไม้บนพื้นดิน…จำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น
หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าพวกพืชพรรณที่อยู่ในผืนป่า ล้วนเป็น…บุปผาจันทราทั้งหมด
หน้าผากป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อผุดพราย เขารู้สึกว่าตอนนั้นตนเล่นใหญ่เกินไปหน่อย…แม้เขาจะรู้ว่าบุปผาจันทราแข็งแกร่งมาก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเวลาเพียงไม่กี่ปี อีกฝ่ายจะยึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของแม่น้ำสายเหนือไปเช่นนี้
และที่ยิ่งทำให้เขาแปลกใจก็คือ เหตุใดแม่น้ำสายเหนือถึงปล่อยให้บุปผาจันทราแผ่ขยายงอกงามโดยไม่สนใจเก็บกวาด…
อันที่จริงป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าหาใช่แม่น้ำสายเหนือไม่คิดหาวิธีขัดขวางการเติบโตของบุปผาจันทรา แต่เป็นเพราะไม่มีความสามารถนั้น นอกจากนี้สงครามที่เกิดขึ้นก็ทำให้ครึ่งเทพและคนฟ้าของแม่น้ำสายเหนือไม่มีเวลามาสนใจบุปผาจันทรา พวกเขาล้วนทุ่มเทกายใจทั้งหมดไปกับสงครามกับแดนทุรกันดาร
ใครก็คาดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี บุปผาจันทรากลับเติบโตมาได้ถึงระดับนี้ รอจนคนของแม่น้ำสายเหนือคิดจะกลับมาจัดการกับมันก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จในเวลาสั้นๆ อีกแล้ว อีกอย่างศึกกับแดนทุรกันดารก็ดำเนินมาถึงช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญ ครึ่งเทพก็ดี หรือแม้แต่คนฟ้าก็ช่วง ล้วนไม่มีใครดึงตัวออกมาจัดการกับมันได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึงไปตลอดทาง มองเห็นบุปผาจันทราเหล่านั้น เขาก็เคลื่อนหน้าไปอย่างลังเลใจ จนกระทั่งมองเห็นสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าได้ไกลๆ …ยังดีที่ที่แห่งนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ รอบด้านยังคงเป็นที่ราบน้ำแข็ง และที่นี่ก็เป็นที่ราบน้ำแข็งที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในแม่น้ำสายเหนือนี้
บริเวณรอบๆ ของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ามีบุปผาจันทราจำนวนนับไม่ถ้วนโอบล้อมเอาไว้แน่นหนาหลายชั้น แม้แต่รูปปั้นสองรูปของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็ยังละลายไปแล้วไม่น้อย ทำให้มองไม่เห็นสภาพที่แท้จริงว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร ราวกับว่าพวกมันได้กลายมาเป็นเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่ยักษ์สองต้นเท่านั้น…
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่หากคิดจะกลับสำนักสยบธาร การใช้ค่ายกลนำส่งของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าคือวิธีการที่สะดวกสบายมากที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่แข็งใจค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้
แต่พอขยับเข้าไปใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ เขาพบว่าตลอดทั้งสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ากลับไม่มีคนฟ้าอยู่แม้แต่คนเดียว ครึ่งเทพก็ไม่อยู่ หรือแม้แต่นักพรตของที่แห่งนี้ก็ยังน้อยกว่าเดิมเกือบเจ็ดแปดส่วน…
ทอดสายตามองไปก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่คือนักพรตสร้างฐานราก และที่ยิ่งมากกว่านั้นกลับเป็นหลอมรวมลมปราณ….ทว่านับจำนวนรวมๆ ดูแล้วก็ยังถือว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย ทำให้สำนักที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้มองดูวังเวงไม่น้อย
หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า ทว่านักพรตที่อยู่ในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าตอนนี้กลับมีท่าทางกระวนกระวายใจ เสียงถอนหายใจดังก้องขึ้นมาเป็นระยะ
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เขาจึงรีบขยับกายพุ่งดิ่งไปยังสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าอย่างไม่มัวรีรอ เพิ่งจะขยับเข้าไปใกล้ ค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องสำนักก็พลันเผยกายหมายขัดขวางไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามา ขณะเดียวกันก็มีเสียงเตือนภัยที่รุนแรงดังสนั่นไปทั่วทั้งสำนัก ชักนำความสนใจจากนักพรตทุกคน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“ศัตรูเข้ามารุกราน!!”
เมื่อเสียงเตือนของค่ายกลดังขึ้น คนตลอดทั้งสำนักก็ร้องเสียงแตกตื่นลนลาน
แม้ว่าค่ายกลของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าจะแข็งแกร่ง แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้ผนึกมิวางวาย ค่ายกลทุกอย่างล้วนเป็นเพียงแค่ไม้ประดับเท่านั้น เขาจึงก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในค่ายกลของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าอย่างไม่มีลังเล เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่กลางอากาศแล้ว
พริบตาเดียวสายตาแห่งความหวาดกลัวที่มาจากคนในสำนักเมฆาและสำนักอสนีก็พากันมารวมอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน และไม่นานก็มีคนร้องอุทานเสียงหลงเพราะจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้
“คือป๋ายเสี่ยวฉุน!!”
“สวรรค์ เขามาได้อย่างไร ไหนว่าเขาหายตัวไปแล้วอย่างไรล่ะ!!”
“สมควรตายนัก บุรพาจารย์ครึ่งเทพและคนฟ้าล้วนอยู่ที่สนามรบ จู่ๆ
เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็บุกเข้ามา เขาคิดจะทำอะไรกันแน่!!”
เสียงอุทานสั่นรัวที่เกิดจากความตกใจพลันดังเซ็งแซ่ไปทั่วสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ลางสังหรณ์เลวร้ายในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดุเดือด เมื่อเห็นว่ารอบด้านโกลาหลวุ่นวาย เขาก็คำรามดังลั่น
“หุบปากกันเดี๋ยวนี้!!”
เสียงนี้ดังเกินอสนีบาตที่ระเบิดตูมออกมาโดยตรง ทำเอาแก้วหูของทุกคนในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าสั่นสะเทือน พากันปิดปากเงียบในบัดดล
“บอกข้ามาว่าทำไมนักพรตของพวกเจ้าถึงหายไปเกินครึ่ง อวิ๋นเหลยจื่อล่ะ บุรพาจารย์ครึ่งเทพล่ะ พวกเขาไปไหนกันหมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังนักพรตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่งแล้วเอ่ยถามทันที
นักพรตที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชี้ตัวสั่นเทิ้ม รีบคารวะอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยรัวเร็วอย่างไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย
“สี่สำนักใหญ่ต้นแม่น้ำเปิดศึกกับแดนทุรกันดาร ทุกคน…ล้วนไปที่สนามรบในแดนทุรกันดาร…”
“ว่าไงนะ!!” เมื่อประโยคนี้ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายมาเป็นเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถี่รัว เขาไม่ได้ฟังคำพูดประโยคหลัง ตอนนี้ในสมองมีแต่คำที่อีกฝ่ายพูดว่า…สงครามระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียน!!
สำหรับคนอื่น สงครามที่ดำเนินมานานหลายปีนี้ได้กลายมาเป็นความเคยชินของพวกเขาไปแล้ว แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ จิตใจเขาพลันเกิดความกระวนกระวายไม่เป็นสุข เขาคิดถึงป๋ายฮ่าวลูกศิษย์ของตน คิดถึงราชาผียักษ์ คิดถึงสตรีธุลีแดง เขาไม่มีเวลามาทิ้งเสียเปล่าอยู่ในแม่น้ำสายเหนืออีกแล้ว เพียงรีบขยับกายมุ่งหน้าไปยังค่ายกลนำส่งของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าทันที
ด้วยชื่อเสียงของเขาที่มีในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้ารีบเปิดค่ายกลนำส่งอย่างเต็มกำลังราวกับรีบร้อนส่งมารแห่งโรคระบาดให้จากไป
เมื่อค่ายกลโคจร เมื่อเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปท่ามกลางแสงของค่ายกล ลูกศิษย์ของสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็พากันผ่อนลมหายใจโล่งอก
ค่ายกลนำส่งของสำนักต้นแม่น้ำสามารถข้ามผ่านทั่วทุกพื้นที่ในมหาสมุทรทงเทียน เชื่อมโยงสี่สำนักต้นแม่น้ำเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อค่ายกลถูกเปิดใช้ เมื่อเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยกายอีกครั้งก็ย้ายจากแม่น้ำสายเหนือมายังแม่น้ำสายตะวันออก กลับมายัง…สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!
ค่ายกลนำส่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสร้างอยู่บนสายรุ้ง เวลานี้จู่ๆ ค่ายกลก็สั่นสะเทือน แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องลงมาทำให้ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจิตใจสั่นคลอน พากันหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็เห็นว่ามีเงาร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ในค่ายกลนำส่ง
สวีเป่าไฉเองก็อยู่ในกลุ่มคน เดิมทีด้วยตบะของเขาก็จำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย แต่เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส เขาจึงกลับมาพักรักษาตัว ตามคำสั่งของกองทัพ ตัวเขาเองจึงรู้ดีว่าผ่านไปอีกระยะหนึ่ง คนบางส่วนที่รวมตนเข้าไปด้วยยังจำเป็นต้องหวนกลับไปที่สมรภูมิรบอีกครั้ง
ทว่าเขาหมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นคนตายไปมากมายในสนามรบ ความหวาดกลัวในใจจางหายไปนานแล้ว แต่กลับแทนที่มาด้วยความเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำ
และอาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสอย่างถึงที่สุด ตอนนั้นหากไม่เพราะอีกฝ่ายเห็นว่าตนเป็นคนของสำนักสยบธารจึงออมแรงให้เล็กน้อย เกรงว่าเขาก็คงตายไปในสนามรบนานแล้ว
ทว่าต่อให้อีกฝ่ายออมแรงแล้วก็ยังทำให้สวีเป่าไฉได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี ตบะของเขาพังทลาย ถดถอยลงมาถึงสร้างฐานราก ซึ่งต่อให้ตอนนี้จะฟื้นตัวกลับมาได้บ้างแล้ว แต่สวีเป่าไฉกลับเข้าใจดีว่า ตบะของตนคงไม่มีทางพัฒนาไปอีกตลอดชีวิต
คิดมาถึงตรงนี้ สวีเป่าไฉก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะดำเนินต่อไปถึงเมื่อไหร่ และด้วยความดุเดือดของสงคราม ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นแดนทุรกันดารหรือแผ่นดินทงเทียนก็ต่างมีคนบาดเจ็บและล้มตายกันไปเป็นเบือ
เขาเองก็ตระหนักได้ว่าบางทีตนคงไม่มีโอกาสกลับคืนไปยังสำนักสยบธารอีกแล้ว หรือบางทีสงครามในครั้งหน้า ที่นั่น…อาจเป็นที่ฝังกระดูกของตน
ยามนี้แสงของค่ายกลนำส่งก็ชักนำการสนใจของเขาเหมือนกัน แต่เขากลับไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแค่กวาดตามองแล้วถอนสายตากลับคืนไป
ทว่ายังไม่ทันรอให้ทุกคนมองเห็นคนที่มาเยือนได้อย่างชัดเจน อำนาจจิตแข็งแกร่งขุมหนึ่งที่ราวกับทำให้นภากาศถูกบีบอัดลงมาก็พลันระเบิดออกจากค่ายกลนำส่ง เสมือนมีพายุงวงช้างพัดกวาดตะลุยไปทั่วทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
ทุกที่ที่ผ่าน ทุกขอบเขตในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ล้วนไม่มีพลังใดถูกซุกซ่อนเอาไว้ได้ ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมอยู่ในอำนาจจิตนี้
ความแข็งแกร่งของอำนาจจิตนี้ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะเทือน
สวีเป่าไฉเองก็สูดลมหายใจดังเฮือก ตอนอยู่บนสนามรบเขาเคยเจออำนาจจิตลักษณะนี้มาก่อน ในสายตาของเขา นี่คือพายุที่จะก่อตัวขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมาจากฝีมือของบุรพาจารย์ครึ่งเทพที่เหนือกว่าคนฟ้าขึ้นไปเท่านั้น
“ครึ่งเทพกลับมาแล้ว?” สวีเป่าไฉยังไม่ทันตั้งตัวได้ จู่ๆ ข้างหูของเขาก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“สวีเป่าไฉ?”
“หา?” สวีเป่าไฉตะลึงงัน ในสมองยังคงขาวโพลน แล้วจู่ๆ ความว่างเปล่าในที่พักของเขาก็พลันบิดเบือน ก่อนที่เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนจะเดินออกมาก้าวหนึ่ง!
เมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้าสวีเป่าไฉ สวีเป่าไฉก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเหม่อลอย ยังไม่ทันคืนสติ จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที พลังอ่อนโยนขุมหนึ่งพลันไหลบ่าเข้าสู่ร่างของสวีเป่าไฉ เสียงเปรี๊ยะๆ ดังกึกก้อง ครั้นอาการบาดเจ็บทั้งหมดของสวีเป่าไฉก็ถูกรักษาให้หายดี
สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายและคลื่นของตบะ สัมผัสได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ทำให้เขาสิ้นหวังหายวับไปในชั่วพริบตา หรือแม้แต่ตบะก็ยังไต่ทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ดูท่าอีกไม่นานก็จะกลับคืนสู่รวมโอสถ…ทั้งหมดนี้ทำให้สวีเป่าไฉมีสีหน้าเลื่อนลอย ร้องอุทานเสียงหลง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน…บุรพาจารย์น้อย!!”