Skip to content

A Will Eternal 997

บทที่ 997 ข้ากลับมาแล้ว

พอร่างขยับเข้ามาใกล้ น้ำเสียงก็พลันระเบิดก้องกังวาน!

เพียงแค่เสียงก็ทำให้หูทั้งสองข้างของเฉินเห้อเทียนสั่นสะเทือน จิตวิญญาณแทบจะแหลกสลาย พริบตาเดียวทวารทั้งเจ็ดก็มีเลือดสดไหลออกมา

ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด เขาไม่ทันตั้งตัวในสมองก็เต็มไปด้วยเสียงกัมปนาทคล้ายถูกค้อนยักษ์ทุบลงมา

ป๋ายเจิ้นเทียนที่อยู่ด้านข้างก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด ภายใต้เสียงนั้น อวัยวะภายในของเขาถูกสั่นสะเทือนจนแทบจะพังทลาย กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ จิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้เสียงคำรามเดือดดาลนี้ก็คล้ายจะแตกกระจายออกเสี่ยงๆ

มีเพียงบุรพาจารย์ครึ่งเทพคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร ทว่าตอนนี้ในใจเขาสั่นสะท้านมิอาจสงบนิ่ง เมื่อเสียงที่คุ้นเคยนั้นดังเข้ามาในหู ลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นหอบหนัก ดวงตาก็ยิ่งฉายความเหลือเชื่อ คิดจะหันกลับไปมอง แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงฟ้าดินที่บิดเบือนและพร่าเลือนเนื่องจากความเร็วที่มากเกินไป

รุ้งยาวที่จำแลงมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งไปเร็วมากจนคล้ายจะฉีกกระชากฟ้าดินให้ปริแตก อีกทั้งยังมีพลังอำนาจสูงส่งไร้ทัดเทียมที่เขย่าคลอนฟ้าดินและทำให้สนามรบแห่งนี้สะเทือนเลือนลั่น วินาทีที่เฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนจะลงมือล้อมโจมตีสตรีธุลีแดง เขาก็พลันเยื้องกรายมาถึง!

มองไกลๆ ก็ราวกับลูกธนูที่คมกริบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งพุ่งฝ่าบุกราบเป็นหน้ากลอง พริบตาเดียวก็มาถึงพร้อมเสียงอึกทึก เมื่อเผยกายก็มาอยู่ข้างกายสตรีธุลีแดงแล้ว ขณะที่เรือนกายอรชรของสตรีธุลีแดงกำลังสั่นเทา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นโอบประคองสตรีธุลีแดงให้ยืนอยู่ที่เดิม ส่วนมือซ้ายนั้นยกขึ้นแล้วชี้ผ่านความว่างเปล่าไปหาเฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนด้วยความเร็วที่เหนือกว่าสายฟ้าแลบ!

นี่ไม่ใช่การลงมืออย่างเต็มกำลังของเขา แต่เพียงแค่ชี้ออกมาก็ยังทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดเมฆม้วนตลบ พลังการต่อสู้ของตบะที่เหนือว่าคนฟ้าพลันระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

เสียงตูมตามพลันสะท้อนไปทั่วทั้งสนามรบ ทำเอานักพรตสองฝ่ายที่กำลังปะทะกันอยู่บนพื้นดินแก้วหูสั่นสะเทือนด้วยความตะลึงลานอย่างถึงที่สุด และเสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากปากของเฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนแทบจะเวลาเดียวกัน

เฉินเห้อเทียนกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเพียงว่ามีพลังมหาศาลเกินจินตนาการขุมหนึ่งกระแทกเข้ามาในร่างของตัวเอง พละกำลังนี้มีมากจนถึงขั้นกระเทือนให้ร่างทั้งร่างของตนคล้ายกลายมาเป็นถุงน้ำใบหนึ่ง และน้ำที่อยู่ในถุงใบนั้นก็คือเลือดสดในร่างของเขา ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงนี้ ร่างของเขาเหมือนจะระเบิดออก ส่วนเลือดสดในร่างของเขาที่ถูกบีบอัดด้วยพละกำลังแข็งแกร่งนี้ก็ได้ระเบิดออกมาจากในหลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน!

เลือดสดๆ จึงไหลออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด ไหลออกมาตามรูขุมขนทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง…

ส่วนร่างกายของเขาก็ถูกแรงโจมตีจากการชี้นั้นม้วนตลบออกไป เลือดสดทะลักสาดกระเซ็น ขณะเดียวกันทั่วร่างก็มีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ กระดูกทุกชิ้นในร่างของเขาคล้ายจะไม่สามารถแบกรับการระเบิดของเลือดสดที่เกิดจากการชี้นิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ไหว จึงถึงขั้นเริ่มปริแตก!

ปริแตกแผ่ลามไปทีละชุ่น และเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา กระดูกของเฉินเห้อเทียนที่ร่างถูกม้วนตลบออกไปด้านหลังก็พลันกลายมาเป็นผุยผง แม้แต่น้ำหนักของร่างกายก็ยังเหมือนจะค้ำประคองเอาไว้ไม่ได้จนคล้ายจะกลายมาเป็นโคลนเนื้อก้อนหนึ่ง!

ยังไม่สิ้นสุด ขนาดการพังทลายของเลือดสดและกระดูกก็ยังมิอาจต้านทานพลังการชี้นิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ได้ ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เมื่อไม่มีองค์ประกอบจากเลือดสดและกระดูก ร่างทั้งร่างของเขาจึงพลันปริแตก และสุดท้ายก็ระเบิดออกดังตูม!

หลงเหลือเพียงวิญญาณต้นกำเนิดที่หนีพรวดออกมาพร้อมเสียงร้องโหยหวน เรือนกายของวิญญาณต้นกำเนิดที่สั่นระริกยามนี้ลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมความหวาดกลัวและประหวั่นพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด ทั้งยังร้องอุทานเสียงหลง

“เจ้า…ป๋ายเสี่ยวฉุน…เจ้า…ครึ่งเทพ!!” เขาพูดไม่เป็นคำอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะการชี้ครั้งนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้จิตวิญญาณของเขาสะท้านสะเทือนจนไม่กล้าเชื่อภาพที่ตัวเองเห็นอยู่ตรงหน้านี้

คนที่บาดเจ็บสาหัสไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้น แต่ยังมีป๋ายเจิ้นเทียนด้วยอีกคน ป๋ายเจิ้นเทียนในเวลานี้ก็กระอักเลือดสด ร่างทั้งร่างมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น เรือนกายถอยกรูดไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง วิชาป้องกันกายทั้งหมด อาวุธอาคมทั้งหมดล้วนไม่มีประโยชน์ใดๆ มิอาจต้านทานพลังจากการชี้นิ้วครั้งนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เลย

ภายใต้เสียงตูมตาม เรือนกายครึ่งหนึ่งของเขาระเบิดแตก เลือดสดสาดระจาย ใบหน้าของเขาซีดขาว ถอยกรูดไปอย่างว่องไว และสุดท้ายก็รักษากายเนื้อของตัวเองไว้ได้ครึ่งหนึ่ง ไม่ถึงขั้นระเบิดพังทลายทั้งหมดเช่นเฉินเห้อเทียน

ต้องรู้ว่าในฐานะที่เป็นคนฟ้า แม้ขอแค่วิญญาณต้นกำเนิดไม่แหลกสลายก็จะรอดชีวิต แต่เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาก็สำคัญไม่ต่างกัน เมื่อสูญเสียไป พลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะเสียหายอย่างหนัก และหากคิดจะสร้างเรือนกายขึ้นมาอีกครั้งก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากมหาศาล ซ้ำยังยากที่จะผสานรวมกับวิญญาณต้นกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งพวกเขาจะต้องตกอยู่ในสภาวะที่ตบะถดถอย อ่อนแอเป็นเวลายาวนาน

“ป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ร่างของป๋ายเจิ้นเทียนสั่นเทิ้ม นัยน์ตาฉายความเหลือเชื่อ ร้องอุทานเสียงหลงเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุน การชี้นิ้วเพียงครั้งเดียวของเขา ทั้งขั้นตอนนี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ทว่ากลับสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับทุกสรรพชีวิตบนฟ้าดินราวกับโลกพลิกคว่ำคะมำหงายอย่างไรอย่างนั้น

และนี่…ยังเป็นการออมมือของเขาแล้ว

แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเดือดดาล แต่เขากลับเข้าใจดีว่าเขามาที่นี่หาใช่เพื่อฆ่าคนไม่ เขาแค่ต้องการยุติสงครามระหว่างแดนทุรกันดารกับทงเทียนเหมือนเมื่อครั้งที่เคยขัดขวางศึกระหว่างสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพ!

ดังนั้นป๋ายเจิ้นเทียนและเฉินเห้อเทียนถึงได้ไม่ถูกกำจัดไปเพราะการชี้นิ้วครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน

แต่การกระทำของเฉินเห้อเทียนที่สวีเป่าไฉเล่าให้ฟังทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด แม้จะระงับพลังไม่ให้สังหารอีกฝ่ายจนสิ้นซาก แต่เขากลับเพิ่มตบะส่วนหนึ่งลงไปบนร่างของเฉินเห้อเทียน ทำให้กายเนื้อของอีกฝ่ายแตกทลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ

“เสี่ยวฉุน…” บุรพาจารย์ธาราเทพจ้องมองภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าด้วยใจที่มีคลื่นลูกยักษ์ถาโถมเช่นกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปนานหลายปีโดยที่ไม่มีข่าวคราวส่งมาแม้แต่น้อย

แม้ปากของบุรพาจารย์ธาราเทพจะไม่พูด แต่ในใจกลับเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน และที่ยิ่งทำให้เขาตื่นตะลึงยิ่งกว่าก็คือพลังการต่อสู้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมา

“ครึ่ง…เทพ!!” ลูกกระเดือกของบุรพาจารย์ธาราเทพวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่หลายที เขาเองก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน จึงรู้ศักยภาพของเฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนเป็นอย่างดี และคนที่เพียงแค่ชี้นิ้วสบายๆ หนึ่งทีก็ทำให้คนทั้งสองบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ พลังการต่อสู้เช่นนี้…บุรพาจารย์ครึ่งเทพไม่สามารถเอาไปคิดรวมกับคนฟ้าได้เลย

มีเพียง…ครึ่งเทพเท่านั้น!

ทว่านี่ช่างน่าตะลึง ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป ต่อให้บุรพาจารย์ธาราเทพจะมีความมั่นใจ มีความคาดหวังในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ไหนก็ยังมิอาจจินตนาการได้ว่าอีกฝ่ายไปเจอกับโชควาสนาแบบใดมา เมื่อหลายปีก่อนยังเป็นแค่คนฟ้าช่วงต้น แต่พอหลายปีให้หลัง…ถึงกลับกลายมาเป็นครึ่งเทพเช่นนี้!!

ผู้ที่ตะลึงลานเช่นกันยังมีสตรีธุลีแดงที่อยู่ในอ้อมกอดของป๋ายเสี่ยวฉุน นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเหม่อลอย ดวงตาที่เหนื่อยล้ามีความเลื่อนลอยคล้ายไม่แน่ใจว่าทุกสิ่งที่เห็นนี้เป็นความจริงหรือไม่

“ข้ากลับมาแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเบาๆ ดวงตาที่มองสตรีธุลีแดงมีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อย

ได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งมาจากร่างของเขา ใบหน้าของสตรีธุลีแดงก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม ร่างทั้งร่างคล้ายผ่อนคลายลงในทันทีทันใด และเมื่อนางผ่อนคลาย ความกดดันที่แบกรับมายามอยู่บนสนามรบตลอดช่วงเวลาหลายปีก็พลันระเบิดออกมาจากในร่าง กลายมาเป็นความเหนื่อยล้าที่ถาโถมรุนแรงราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ทำให้นางค่อยๆ หลับตาลงแล้วหมดสติไป

มองเห็นสตรีธุลีแดงที่หมดสติไปเพราะความเหนื่อยล้า ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้เจ็บปวด หลังจากค่อยๆ วางนางลง เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังบุรพาจารย์ธาราเทพ

“คารวะบุรพาจารย์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนประสานมือคารวะพลางเอ่ยเสียงทุ้มหนัก

ลมหายใจของบุรพาจารย์ธาราเทพถี่กระชั้น ยังคงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเพราะความเหลือเชื่อและคาดไม่ถึง ต่อให้เป็นเวลานี้เขาก็ยังรู้สึกตะลึงไปกับตบะที่เพิ่มพูนของป๋ายเสี่ยวฉุน รู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นแค่ความฝันอยู่ดี

“บุรพาจารย์ โปรดเรียกคนของสำนักสยบธารมาที่นี่ให้หมด สงครามครั้งนี้…สำนักสยบธารของพวกเรา ไม่เข้าร่วมด้วย!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกดดันอย่างมาก บรรยากาศของสนามรบรอบด้านทำให้น้ำเสียงของเขายิ่งทุ้มหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

พอบุรพาจารย์ธาราเทพได้ยินประโยคนี้ ลมหายใจของเขาก็ชะงักค้าง ก่อนที่ดวงตาจะฉายแสงคมกริบของความเฉียบขาด เขารู้ดีว่าด้วยตบะของตนมิอาจทำให้สำนักสยบธารรักษาตัวรอดจากสงครามครั้งนี้ได้

แต่ตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมา รวมไปถึงตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังมองไม่ออก รู้สึกเพียงแค่ว่าตบะของอีกฝ่ายลึกล้ำประดุจทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ไพศาล และยังมีภาพน่าตะลึงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ก็ล้วนทำให้ในใจเขาบังเกิดความหวัง

ไม่มีความลังเลใด บุรพาจารย์ธาราเทพพลันเปล่งเสียงที่แฝงไว้ด้วยพลังตบะให้กระจายออกไปแปดทิศ

“ลูกศิษย์ของสำนักสยบธาร จงมารวมตัวอยู่ข้างกายข้าผู้อาวุโส!!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เขาจะเรียกขานซ้ำๆ เกรงว่าก็คงยากที่จะมีคนตอบรับ แต่ตอนนี้แม้ว่าสงครามจะยังดำเนินต่ออย่างดุเดือด ทว่าการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทำให้จิตวิญญาณของคนมากมายสั่นสะท้าน หยุดการลงมือในทันที ยิ่งคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนและเสียงของบุรพาจารย์ธาราเทพที่ดังขึ้นก็ยิ่งทำให้คนที่ได้ยินลมหายใจถี่รัว ต่างคนต่างเกิดความคิดกันไปหลากหลาย

ส่วนลูกศิษย์ของสำนักสยบธารที่อยู่บนสนามรบในเวลานี้ก็ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง พากันบินเข้าไปหาบุรพาจารย์ธาราเทพ เมื่อเงาร่างมากมายที่พกพาเอาความเหนื่อยล้ามารวมตัวกัน จึงเห็นว่าด้านในนั้นมีซ่างกวานเทียนโย่ว เป่ยหันเลี่ย ซ่งเชวีย เสินซ่วนจื่อ และยังมี…ซ่งจวินหว่าน

เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ดวงตาของซ่งจวินหว่านยิ่งซับซ้อน สายตาของนางคอยเหลือบมองมายังสตรีธุลีแดงที่หมดสติอยู่หลายครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สังเกตเห็นสายตาของซ่งจวินหว่านเช่นกัน อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เขามาถึงก็ได้กวาดอำนาจจิตมองไปยังทุกคนของสำนักสยบธาร อย่างซ่งจวินหว่าน ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าซ่งเชวียปกป้องนางเป็นอย่างดี

แม้ว่าในใจจะรู้สึกผิด แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลามาอธิบาย ไม่นานลูกศิษย์ทุกคนของสำนักสยบธารที่อยู่บนสนามรบก็ทยอยกันมาถึง

ระหว่างทางที่พวกเขาผ่านมา ไม่มีใครกล้าขัดขวาง ทุกคนปล่อยให้นักพรตของสำนักสยบธารมารวมตัวกัน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าคิดจะทรยศต่อแผ่นดินทงเทียน!!”

เฉินเห้อเทียนที่เหลือเพียงแค่วิญญาณต้นกำเนิดซึ่งต่อให้จะตัวสั่นแค่ไหนก็ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน นั่นเป็นเพราะทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้เขาทั้งหวาดกลัวทั้งตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันความเกลียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเพิ่มมากกว่าที่เคยเป็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version