บทที่ 998 ข้าบอกให้พวกเจ้า…หยุดมือ!
ป๋ายเจิ้นเทียนที่อยู่ด้านข้างก็ลมหายใจไม่มั่นคง เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองมีภาพการชี้เมื่อครู่นี้ลอยขึ้นมา ทำเอาจิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน ความกระวนกระวายอย่างรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย
“ป๋ายเสี่ยวฉุน สงครามครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะขัดขวางได้ ผลลัพธ์จากการหักหลังเทียนจุน เจ้าไม่มีทางแบกรับได้ไหว!!” เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจตน ความเคียดแค้นในดวงตาของเฉินเห้อเทียนก็ยิ่งเข้มข้น
“ไม่อยากตายก็…หุบปากไปซะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปรายตามองเฉินเห้อเทียนด้วยสายตาเย็นชา สายตานี้ของเขาทำให้เฉินเห้อเทียนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ต่อให้ความชิงชิงจะแผ่ลามไปทั่วกาย แต่เมื่ออยู่ภายใต้สายตานี้ เขาก็ยังสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดต่อ ขณะเดียวกันในใจก็ร้องคร่ำครวญ เพราะเขาตระหนักได้แล้วว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพราะความเกลียดแค้นบดบังสายตา จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้…ตนมิอาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย
ไม่ได้สนใจเฉินเห้อเทียนที่หน้าเปลี่ยนสี ป๋ายเสี่ยวฉุนส่งร่างสตรีธุลีแดงที่อยู่ในอ้อมกอดไปให้แก่ซ่งจวินหว่าน
“หว่านเอ๋อร์ ช่วยข้าดูแลจื่อโม่หน่อย…รอข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จเมื่อไหร่จะต้องอธิบายให้เจ้าฟังแน่นอน” กล่าวจบป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าขึ้นมองนภากาศ!
บนท้องฟ้าในเวลานี้ ราชาผียักษ์และบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พวกเขาเองก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน แต่กลับไม่ได้หันมาให้ความสนใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นราชาผียักษ์หรือบุรพาจารย์ครึ่งเทพของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่หากเสียสมาธิแม้แต่นิดเดียว ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะมีวิธีในการขัดขวางสงครามครั้งนี้ แต่เขากลับไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นเทียนจุนหรือคนเฝ้าสุสาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำได้แค่พูดเกลี้ยกล่อมเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำนักสยบธารก็ไม่สามารถเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ได้เด็ดขาด ขณะเดียวกัน…สงครามของที่นี่ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีกแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพลันเอ่ยขึ้น
“ทุกคน หยุดรบ!” ประโยคนี้ที่ดังออกจากปากของเขาปานประหนึ่งสายฟ้านับสิบล้านเส้นที่ระเบิดออกในเวลาเดียวกัน ก่อกลายมาเป็นเสียงกัมปนาทที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี คลื่นเสียงซัดตลบไปแปดทิศ ปกคลุมทุกพื้นที่การต่อสู้ กลายมาเป็นเสียงสะท้อนก้องอย่างไร้ที่สิ้นสุดซึ่งทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนฟังดูเหมือนเสียงคำรามของสรรพชีวิตที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
“หยุดรบ!!”
“หยุดรบ!!!”
“หยุดรบ!!!!”
เสียงนี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนของสองฝ่ายที่อยู่บนสนามรบต่างจิตใจสั่นสะเทือน ถูกเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนตรงเข้ากระแทกจิตวิญญาณ หัวใจสะท้านไหว ราวกับว่าเสียงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยปณิธานสูงสุด เหนือเกินกว่าที่อานุภาพแห่งสวรรค์จะทัดเทียมได้ จนพวกเขาจำต้องรับฟังตามสัญชาตญาณ แต่ละคนพากันหยุดมือ ก่อนที่เสียงหอบหายใจขึ้นๆ ลงๆ จะดังก้องระงมไปทั้งสมรภูมิรบ
เมื่อหยุดสงครามของสองฝ่ายได้ในเวลาสั้นๆ หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็วุ่นวายยิ่ง เพราะเขาเข้าใจดีว่ากุญแจสำคัญที่สุดหาใช่สนามรบที่อยู่บนพื้นดินแห่งนี้ แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ระหว่างคนฟ้า
แต่เป็น…ศึกของครึ่งเทพบนนภากาศ เขาจึงสงบสติอารมณ์ สะกดกลั้นความร้อนรนกระวนกระวายใจลงไป ครั้นจึงหันไปตะเบ็งเสียงที่ทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ใส่ท้องฟ้า
“พี่ผียักษ์ บุรพาจารย์ซิงคง จงฟังข้า หยุดการเข่นฆ่ากันเดี๋ยวนี้!!”
เสียงนี้ราวกับคลื่นน่าครั่นคร้ามที่โถมตัวม้วนตลบใส่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายมาเป็นพายุระห่ำที่ดังเข้าไปในหูของราชาผียักษ์และครึ่งเทพซิงคง เดิมทีก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนก็สังเกตเห็นถึงความไม่ธรรมดาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว และก็มองเห็นว่าสงครามบนพื้นดินได้หยุดลงแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่แฝงเร้นไปด้วยปณิธานอันแรงกล้า พวกเขาก็ถึงกับสูดลมหายใจดังเฮือก สีหน้าแปรเปลี่ยน รู้สึกสนใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าการเข่นฆ่ากันระหว่างพวกเขายังคงมิอาจวอกแวกได้ ยามนี้เมื่อราชาผียักษ์โบกมือ เรือนกายผียักษ์ที่ใหญ่มหึมาของเขาก็มีควันดำจากรอบด้านมารวมตัวกันแล้วจำแลงมาเป็นมือผีมหึมาข้างแล้วข้างเล่าที่ตรงดิ่งเข้าหาครึ่งเทพซิงคง
ส่วนครึ่งเทพซิงคงก็โบกแขนที่เหลือข้างเดียวหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นแผ่นหลังของเขาก็มีท้องฟ้ามากหมู่ดาวที่เป็นภาพมายาปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเขาแบกแผ่นฟ้าทั้งผืนไว้ด้านหลัง ปราณสังหารในดวงตาอบอวล เมื่อทำมุทรา ดวงดาวแต่ละดวงในท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวดารดาษด้านหลังของเขาก็พากันพุ่งฉิวเข้าหาราชาผียักษ์
เห็นคนสองคนที่ยังคงประหัตประหารกันไม่เลิก ป๋ายเสี่ยวฉุนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ดวงตาก็มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ความบ้าคลั่งเผยให้เห็นได้รำไร ก่อนที่เขาจะกลั้นลมหายใจแล้วบินพรวดออกไป
เมื่อบินออกมา ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผ่กระจายอย่างไม่มีเก็บไว้ คลื่นของคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบทำให้ท้องฟ้าถูกสั่นคลอน ขณะเดียวกันพลังเรือนกายของเขาก็ซัดครืนครั่นอย่างพลุ่งพล่าน
เลือดลมไพศาลของบทมิวางวายขั้นสมบูรณ์แบบที่พอผสานเป็นหนึ่งกับตบะก็ได้แสดงออกมาเป็น….พลังที่ไม่ใช่ของคนฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นพลังของ…ครึ่งเทพ!
สามารถพูดได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ แม้ว่า…หากพูดกันตามความหมายที่แท้จริงแล้ว เขาจะไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่พลังการต่อสู้ของเขากลับ…ไม่ต่างอะไรไปจากครึ่งเทพ!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ร่างทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลายมาเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่ทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ปานประหนึ่งดาวตกที่พุ่งย้อนกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งบัดนี้ได้ตรงดิ่งเข้าหาสุดปลายทางของขอบฟ้า ตรงเข้าหาสมรภูมิรบของครึ่งเทพ!
หลังจากที่เขาบินออกมา พวกคนของสำนักสยบธารอย่างบุรพาจารย์ธาราเทพที่อยู่บนพื้นดินต่างก็แสดงสีหน้าสนใจ เมื่อมองไปยังท้องฟ้า ในสมองของพวกเขาต่างก็มีภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนออกหน้าขัดขวางสงครามระหว่างสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตในปีนั้นลอยขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ครั้งนี้ เขาจะทำได้หรือ…” บุรพาจารย์ธาราเทพพึมพำเบาๆ สงครามครั้งนี้ดำเนินมาถึงระดับที่ทำให้ทุกคนเหนื่อยล้ากันมากพอแล้ว หากสามารถยุติได้…ไม่ว่าจะสำหรับทงเทียนหรือแดนทุรกันดารก็ล้วนถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
ไม่เพียงแต่นักพรตของสำนักสยบธารเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แต่นักพรตสองฝ่ายที่หยุดการเข่นฆ่ากันหลังเสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่พุ่งทะยานไปยังขอบฟ้า
ความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พลังอำนาจก็แกร่งกร้าวมากขึ้นทุกขณะ มาถึงท้ายที่สุด ร่างทั้งร่างก็ราวกับลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง จนนภากาศมีคลื่นที่ราวกับคลื่นน้ำซัดกระเพื่อมออกไปอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนจะดังก้องขึ้นมา
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยน!”
ท่ามกลางเสียงเกริกก้อง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งขึ้นไปยังยอดสูงสุดของท้องนภาก็พลันแปรเปลี่ยน กลายมามีขนาดสิบจั้ง ยังไม่สิ้นสุด ร่างของเขายังคงเปลี่ยนแปลงไปตามการห้อตะบึง!
ยี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง สี่สิบจั้ง…
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนขยายใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเรือนกายยิ่งเพิ่มขนาดใหญ่โต พลังอำนาจของเขาก็ยิ่งแกร่งกล้า สั่นสะเทือนทุกสายตาที่จับจ้อง ขณะเดียวกันร่างของเขาก็ไต่ไปถึงความสูงที่เจ็ดสิบจั้ง!
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่แปด!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดินอีกครั้ง ร่างของเขาขยายใหญ่อีกรอบ เปลี่ยนจากเจ็ดสิบจั้งมาเป็นแปดสิบจั้ง หนาใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งยังแผ่กลิ่นอายของความป่าเถื่อนอำมหิตถึงขีดสุด และยังไม่ยุติเพียงเท่านั้น
เก้าสิบจั้ง…หนึ่งร้อยจั้ง…หนึ่งร้อยสิบจั้ง…
ยังไม่สิ้นสุด จนกระทั่งถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง หนึ่งร้อยสามสิบจั้ง…
มาถึงท้ายที่สุด เมื่อเขาขยับเข้าไปใกล้พื้นที่การต่อสู้ระหว่างราชาผียักษ์กับบุรพาจารย์ซิงคง ร่างของเขาที่ร่ายคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยก็ทำการแปรเปลี่ยนเป็นครั้งสุดท้าย!
“สิบเอ็ดแปรเปลี่ยน!!”
เสียงกัมปนาทที่ราวกับแหวกฟ้าผ่าดินสั่นคลอนโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบจั้งก็เยื้องกรายลงมาราวกับบรรพบุรุษแห่งมวลมนุษยชาติ
การแปรเปลี่ยนในแต่ละครั้งของคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยจะมีความสูงเพิ่มขึ้นสิบจั้ง เมื่อเป็นการแปรเปลี่ยนครั้งที่สิบเอ็ดก็เท่ากับหนึ่งร้อยสิบจั้ง
แต่เมื่อมีการถ่ายโอนพลังจากคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเป็นเหตุให้มีพลังอีกเท่าตัวของสามกระบวนท่าเพิ่มขึ้นมา ซึ่งก็คือ…หนึ่งร้อยเจ็ดสิบจั้ง!
บัดนี้ตบะของเขาระเบิดออกมาหมด พลังเรือนกายของเขาก็สำแดงออกมาอย่างสัมบูรณ์ เป็นเหตุให้ทั่วร่างของเขาแผ่แสงสีเลือดไร้ที่สิ้นสุด แสงสีเลือดนี้ทำให้เรือนกายของเขาเหมือนถูกห่มทับไปด้วยเสื้อนอกชั้นหนึ่ง มองดูแล้วจึงให้ความรู้สึกมหัศจรรย์ลึกล้ำจนไม่มีคำพูดใดใช้บรรยายได้
อีกทั้งบัดนี้โลกทั้งใบก็เหมือนจะสั่นสะท้าน พลังที่ลึกลับขุมหนึ่งซึ่งเหมือนว่าจะมีเพียงครึ่งเทพเท่านั้นที่สัมผัสถึงก็ได้แผ่ลงมาปกคลุมบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน นี่ก็คือ…การยอมรับจากโลกทั้งใบ!!
นี่คือ…พลังแห่งโลกที่ก่อนหน้านี้มีเพียง…คนเฝ้าสุสาน จักรพรรดิหมิงและเทียนจุนเท่านั้นที่ถึงจะมีได้!
ราชาผียักษ์หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาของบุรพาจารย์ซิงคงฉายความเหลือเชื่อ
วินาทีที่จิตวิญญาณของคนทั้งสองถูกสั่นคลอน เรือนกายที่สูงหนึ่งร้อยกว่าจั้งของป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งพกพาพลังอำนาจเทียมฟ้าก็ได้พุ่งพรวดเข้ามา ซ้ำยังมองข้ามวิชาอภินิหารของพวกเขาโดยการมาโผล่…อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง!!
“หยุดมือ!” เดิมทีการแปลงกายเป็นบรรพาจารย์แห่งมวลมนุษย์ของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็ป่าเถื่อนบ้าคลั่งอยู่แล้ว ตอนนี้พอปรากฏตัว เขาก็พลันคำรามกร้าว สีหน้าฉายความดุดัน เมื่อเสียงคำรามดังออกมา มือขวาของเขาก็ยกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมเข้าใส่วิชาอภินิหารที่เป็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนของบุรพาจารย์ซิงคง!
ท้องฟ้าเหมือนจะระเบิดแตก เสียงกัมปนาททำให้ทุกคนหูดับ
เมื่อหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนต่อยลงไปก็สร้างลมพายุลูกหนึ่งให้พัดกระหน่ำขึ้นมาแล้วหมุนคว้างเข้ากระแทกกับดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากที่สองฝ่ายปะทะเข้าด้วยกัน ดวงดาวแต่ละดวงก็พลันสั่นสะเทือน ก่อนจะถูกหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนซัดจนม้วนตลบกลับไป!
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทา จะอย่างไรซะอีกฝ่ายก็คือครึ่งเทพ แต่การฟื้นตัวของเลือดคงกระพันก็ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาหายวับไปในเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว พลังกลับคืนสู่สภาวะสูงสุดอีกครั้งในชั่วพริบตา
“ข้าบอกว่าให้หยุด!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง มือซ้ายยกขึ้นแล้วต่อยเข้าใส่มือยักษ์ที่เกิดจากควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเป็นวิชาของราชาผียักษ์!
พายุบ้าคลั่งเขย่าฟ้าแบบเดียวกันพุ่งตะลุยเข้าหามือใหญ่ควันดำ ทำให้ควันเหล่านั้นถูกฉีกกระชากจนแหลกลาญ
ยังไม่สิ้นสุด มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันโบกออกไปอย่างแรง ภายใต้การฟื้นตัวของเลือดคงกระพัน เขาจึงดูเหมือนคนที่ทำได้ทุกอย่าง เสียงเกริกก้องที่ระเบิดจากรอบกายของเขาดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย หลังจากฝืนใช้พลังของคนคนเดียวแยกครึ่งเทพสองคนออกจากกัน เสียงของเขาที่ข่มทับเสียงระเบิดรอบด้านก็ดังก้องไปทั้งโลก…กระแทกเข้าหูของราชาผียักษ์และครึ่งเทพซิงคงเป็นครั้งที่สาม!
“ข้าบอกให้พวกเจ้า…หยุดมือ!!!”
ตูมๆๆ!
แรงโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าเก่าพลันระเบิดออก ราชาผียักษ์ที่เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัส บัดนี้หน้าเปลี่ยนสี ร่างถอยร่นไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันครึ่งเทพซิงคงก็หอบหายใจถี่รัว จำต้องก้าวถอยเช่นเดียวกัน!