บทที่ 1011 น้อมพบท่านอาจารย์
“ตีตัวเองก็พอแล้ว นี่ยังจะให้คุกเข่าอีก” หวังเป่าเล่อสีหน้าสงสัย มองไปทาง แม่นางน้อย เขาไม่ใช่ไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่เขายังรู้สึกว่าน่าจะมีปัญหาอื่นแฝงอยู่
เช่นวัวแก่และศิษย์สิบห้า หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะเขาเคยเห็นตอนที่ศิษย์สิบห้าคราวะวัวแก่มาก่อน และเขาโค้งคำนับจนตัวแทบจะ แตะพื้น…เรื่องที่ตัวเองคำนับตัวเองเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็มีร่างอวตาร ดังนั้นหลังจากประมวลความคิดแล้วรู้สึกว่าปรมาจารย์แห่งไฟไม่น่าจะทำได้หรอก
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของหวังเป่าเล่อ แม่นางน้อยก็หัวเราะร่า แต่ก็ไม่ได้อธิบายมากมาย หลังจากอ้าปากหาว เพียงชั่วแวบเดียวก็กลับเข้าไปอยู่ภายใต้หน้ากาก เพียงแต่นางได้ทิ้งคำพูดไว้ก่อนที่จะหายตัวไป
“ใช่หรือไม่ใช่ รอเจ้าพบปรมาจารย์แห่งไฟ ดูซิว่าเขาทำให้เจ้าลำบากหรือไม่ก็รู้แล้ว…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่นางน้อย และเห็นร่างนางหายไป หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แต่ยังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และตัดสินใจรอพบปรมาจารย์แห่งไฟด้วยตนเองแล้วค่อยตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง คิดได้ดังนี้ เขาจึงมองไปที่แผนผังภายในหอคอยอย่างถี่ถ้วน
หอคอยแบ่งเป็นสี่ชั้น ชั้นล่างสุดถือเป็นห้องรับแขก จัดวางแบบเรียบง่าย แต่ได้บรรยากาศ แม้แต่ที่นั่งก็ทำจากไม้พิเศษคุณภาพดี ทำให้ร่างสามารถเปล่ง ปราณวิญญาณออกมาได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามีวงแหวนปราณรวบรวมจิตอยู่ในหอคอยนี้ ทำให้ปราณวิญญาณที่หนาแน่นจากโลกภายนอกมารวมกันที่นี่ ทำให้ความหนาแน่นของปราณวิญญาณภายในหอคอยมีมากถึงระดับที่ น่าตระหนก
ตามเหตุผลแล้ว ปราณวิญญาณในระดับนี้น่าจะแปลงเป็นพลังเหลวได้และกระจายไปทุกทิศทุกทาง แต่การออกแบบของหอคอยนี้เห็นได้ชัดว่ามีการพิจารณาถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว หลังจากผ่านวิธีการที่ไร้ที่มาที่ไป ก่อเป็นธารน้ำตกที่ล้อมรอบด้วยบันไดวิ่งผ่านทั้งสี่ชั้น น้ำของน้ำตกนี้สามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นกระแสปราณวิญญาณที่กลายเป็นของเหลวแล้ว
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าภายในหอคอยจะไม่เงียบสนิท แต่เสียงกระแสน้ำก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความร้อนภายนอก ความเย็นภายในหอคอยทำให้ผู้คนที่ฝึกฝนอยู่ด้านในต่างก็เบิกบานใจขึ้น
ส่วนชั้นสองเป็นห้องยาและห้องอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีห้องว่างอยู่สามห้องที่สามารถใช้ได้ตามความต้องการ และที่ชั้นสามเป็นจุดสำคัญ ชั้นสามทั้งชั้น แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นห้องลับปิดตาย อีกห้องหนึ่งเป็นห้องโถงสำแดง วิทยายุทธ์ที่สามารถทดสอบกระบวนเวทพลังเทพของตนเองได้
หลังจากเดินผ่านสามชั้นแรกแล้ว หวังเป่าเล่อก็พอใจกับสถานที่นี้มาก เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายของสถานที่ และความสบายของปราณวิญญาณที่เข้าสู่ร่างด้วยตัวมันเอง เขาจึงเดินขึ้นไปบนยอดหอคอยซึ่งเป็นกึ่งเปิดโล่งเหมือนห้องใต้หลังคา รอบๆ นั้นว่างเปล่า และสามารถมองดูฟ้าจรดดินอันไกลโพ้นได้เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น
เวลานี้ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าแต่เดิมก็ถูกแทนที่ด้วย ดวงจันทร์สว่างไสว แต่สิ่งที่ต่างจากสหพันธรัฐก็คือดวงจันทร์ที่นี่มีมากกว่าสิบดวง และแต่ละดวงที่แขวนอยู่บนฟากฟ้าก็มีรูปร่างที่แตกต่างกัน มันดูแปลกตาและ ในขณะเดียวกันก็สะท้อนแสงบนพื้นพิภพ ทำให้ดาวเอกเพลิงขนาดมหึมานี้ดู สว่างสดใส
ขณะเดียวกัน เมื่อตกกลางคืน ความร้อนในตอนกลางวันก็หายไปอย่างรวดเร็ว และหนาวขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจินตนาการได้ว่าเมื่อถึงยามเที่ยงคืน เกรงว่าอุณหภูมิภายนอกจะลดลงอย่างมาก
ภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างมากนี้อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต แต่สำหรับ ผู้ฝึกตนแล้วกลับมีประโยชน์มหาศาล สามารถทำให้การฝึกตนหยินหยางผสมผสานกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะฝึกฝนได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้มีเสถียรภาพขึ้นอีกด้วย
“สรุปแล้ว พื้นฐานของสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกตนแห่งหนึ่ง” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ยิ่งเกิดความพึงพอใจ เขานั่งลงขัดสมาธิบนยอดหอคอยแห่งนี้ เขาไม่ได้ครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของที่นี่ และไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟที่แม่นางน้อยกล่าว แต่เขาสงบสติอารมณ์แล้วกำหนดลมหายใจ และเริ่มฝึกตน
ขณะที่ฝึกตนอยู่ เขาก็ได้บรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแล้ว หวังเป่าเล่อค่อยๆ เดินลมปราณภายในร่าง และดาวเคราะห์ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้น เมื่อมองแวบแรกเป็นดาวเคราะห์เต๋า หากมองให้ดีแล้วจะเห็นว่าเป็นดาวบรรพกาลเก้าดวงอยู่ด้านในที่ตอนนี้กำลังสั่นน้อยๆ ราวหายใจดูดซับปราณวิญญาณที่อยู่รอบๆ เข้ามา
ในตอนแรกที่อยู่ท่ามกลางจักรวาล ขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกจะก่อให้เกิด กระแสน้ำวนขึ้น แต่เนื่องจากที่นี่มีปราณวิญญาณเพียงพอและตัวหอคอยเองก็มี ความพิเศษ ดังนั้นกระแสน้ำวนจึงไม่ได้ปรากฏออกมา แต่ก็สามารถเห็นกระแส ปราณวิญญาณ โผล่มาจากทั่วสารทิศและเข้าสู่ร่างกาย
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาจึงผ่านไปอย่างช้าๆ และไม่นานก็ผ่านไปสามวัน ในช่วงสามวันนี้หวังเป่าเล่อไม่ลืมตา ไม่ออกไปไหน และยังคงนั่งสมาธิอยู่ตลอด ด้วยปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การฝึกตนของเขาแม้จะไม่ได้คืบหน้ามากนัก แต่ก็ค่อยๆ มีเสถียรภาพมากขึ้นจากการเข้าสู่ขั้นกลาง
“ฝึกวันเดียว ราวกับฝึกตนในสหพันธรัฐครึ่งปี…” หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกบนใบหน้าได้ ภายใต้การคาดเดาของเขา เขาเพียงต้องถือสันโดษอยู่ที่นี่ร้อยปีโดยไม่ต้องอาศัยยาและโชควาสนา การฝึกตนก็สามารถเลื่อนจากขั้นกลางถึงขั้นปลายได้
ร้อยปีแม้จะยาวนาน แต่ความเร็วระดับนี้ก็นับว่าน่าทึ่งแล้ว อันที่จริงเขารู้ดีว่าหากเป็นที่สหพันธรัฐ เกรงว่าชาตินี้ก็ยากที่จะเข้าสู่ดาวพระเคราะห์ขั้นปลาย
“เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังขาดเคล็ดวิชาระดับดาวพระเคราะห์…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขามาที่ดาราจักรไฟ สำหรับประตูบรรพชนใดก็ตาม วิชาดาวพระเคราะห์เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง แม้หวังเป่าเล่อจะเชี่ยวชาญวิชาบางอย่างของสำนักแห่งความมืด แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ดังนั้นเขาจึงคิดมาที่นี่ เพื่อเก็บเกี่ยวจากปรมาจารย์แห่งไฟ
ด้วยความคิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงฝึกฝนอยู่สี่วัน กระทั่งมาถึงตอนรุ่งอรุณของวันที่แปดที่สาขาดาวเพลิง เสียงระฆังดังมาแต่ไกล ใจของหวังเป่าเล่อสั่นรัว แล้วเสียงชราเสียงหนึ่งก็ดังก้องในจิตสำนึกของเขา
“ศิษย์ทั้งหลายอาจารย์กลับมาแล้ว รีบมาพบเร็ว”
หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นทันที ฟังออกว่าเป็นเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟ ความเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งที่ฝังอยู่ในใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่เขารีบสงบมันลง หลังจากลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าแล้วก็รีบรุดออกจากหอคอยไป
ในขณะที่เขาจากไปก็มีเงาร่างอื่นภายในหอคอยเหาะตามออกมา มุ่งตรงไปยัง หอสูงของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงศูนย์กลาง เดิมทีก็ห่างไปไม่ไกล ดังนั้น หวังเป่าเล่อพร้อมด้วยเหล่าศิษย์น้องพี่ของเขาก็มาถึงที่ด้านนอกหอปรมาจารย์แห่งไฟตามเสียงอึกทึกที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อเห็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ทรงอำนาจ ศิษย์พี่รองที่เป็นดั่งเทพเจ้า ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่หญิงห้า ศิษย์พี่หก ศิษย์พี่เจ็ดที่มุทะลุ จนถึงศิษย์พี่หญิงสิบสองและ ศิษย์พี่สิบห้า
นอกจากศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ รวมทั้งศิษย์พี่สี่ที่ไม่ปรากฏตัวแล้ว ทั้งหมด สิบสามคนรวมหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดก็อยู่ครบ แต่ละคนอยู่หน้าหอคอยแสดงความเคารพและมีท่าทีปกติ
หวังเป่าเล่ออดกวาดตามองไม่ได้ ในใจก็นึกถึงคำพูดของแม่นางน้อยขึ้นมา
“พวกนี้…ล้วนเป็นร่างอวตารของอาจารย์หรือ” หวังเป่าเล่อเกิดความลังเลขึ้นในใจ อีกครั้ง เขาเห็นศิษย์สิบห้าขยิบตาให้ตน นอกจากนี้ยังเห็นรอยยิ้มของศิษย์พี่และ ศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ เขาประสานมือคำนับด้วยสัญชาติญาณ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงผ่านโลกของปรมาจารย์แห่งไฟออกมาจากภายในหอคอย
“เข้ามาให้หมดเถอะ” ขณะที่คำพูดดังก้อง ประตูของหอคอยก็เปิดออกอย่างเงียบ ๆ เผยให้เห็นปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ร่างสวมเสื้อคลุมเพลิง ผมปลิวได้เองโดยไร้ลม และภายในดวงตาที่เปิดอยู่ราวจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เพียงกลิ่นอายก็สร้างแรงกดดันให้แก่หวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก ขณะที่ถูกทำให้จิตใจสั่นคลอน เขารีบเก็บความคิดทั้งหมดและเดินตามศิษย์พี่ทั้งหลายเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เข้าไป ศิษย์พี่เหล่านั้นก็คุกเข่าคำนับปรมาจารย์แห่งไฟทันทีพร้อมกับพูดเสียงดัง
“คารวะท่านอาจารย์!”
หวังเป่าเล่อก็รีบคุกเข่าลงและพูดแบบเดียวกัน ในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ปรมาจารย์แห่งไฟ จากนั้นก็กวาดตามองศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นๆ รอบตัวเขา ส่วนลึกในดวงตาส่อแววสงสัย
“ตามที่แม่นางน้อยพูดไว้ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในดาราจักรไฟ ล้วนเป็นร่างอวตารของท่านอาจารย์ ดังนั้นเจ้าเต่าทองเพลิงก็ใช่ หลังได้ยินคำพูดข้าแล้ว แม้ข้าจะไร้ ข้อซักถาม แต่จากปากของแม่นางน้อย ท่านอาจารย์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ต้องทำให้ข้าลำบากแน่” หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ด้านหนึ่งเขาแอบถอนหายใจ และ อีกด้านหนึ่งก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และตอนที่เขามองปรมาจารย์แห่งไฟ อีกฝ่ายที่ นั่งอยู่ตำแหน่งประธานก็กวาดสายตาผ่านร่างกลุ่มศิษย์ สุดท้ายก็มองมาที่หวังเป่าเล่อ รอยยิ้มที่อบอุ่นค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า
“เป่าเล่อ เรื่องครอบครัวเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์ เจ้าสามารถบอกอาจารย์ได้”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ เรียนท่านอาจารย์ เรื่องที่บ้านของศิษย์ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว” หวังเป่าเล่อได้ยินที่ถามก็รีบตอบกลับด้วยความเคารพทันที และรู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ดูไปเหมือนท่านอาจารย์จะไม่ได้โกรธ หรือว่าคำพูดของแม่นางน้อยจะไม่ใช่เรื่องจริง