บทที่ 1053 ข้าชื่อฮุยซาน
“ผีดิบถือกำเนิดมาจากการรวมตัวของไอมรณะ อีกทั้งก่อนตายพวกมันมักจะแบกรับความคับข้องใจมากมาย เช่นนั้นจึงฟื้นจากความตาย เพราะกฎของจักรวาลนี้เปลี่ยนเป็นวิญญาณศพ เมื่อกวาดสายตาไปครั้งแรกเป็นการทำเครื่องหมายไว้ ครั้งที่สองจึงกลายเป็นผีดิบ!”
“ยิ่งกว่านั้นตัวเองยังไม่ถือว่าตาย แต่ร่างกายที่ยังมีชีวิตแปรสภาพเป็นไอมรณะแล้ว ศพเหล่านี้มักมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ใครก็ตามที่ไม่ถูกกำจัดทิ้งจะสามารถกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้!”
ฮุยซานนั่งเงียบๆ บนสุสาน ในมือถือแผ่นหินสีดำอยู่แผ่นหนึ่ง เหลือบมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึน ก่อนจะก้มศีรษะลงอ่านทุกอย่างที่บันทึกไว้บนแผ่นหินสีดำ
ชื่อฮุยซานนี้เขาไม่ใช่คนตั้ง แต่เป็นชื่อที่หัวหน้าตั้งให้ ดูเหมือนว่าในวันที่เขาตื่นขึ้นมาจะมีสหายศพทั้งหมดด้วยกันสามคนที่ตื่นขึ้น และเขาเป็นคนที่สามจึงมีคำว่า ซาน (สาม) ในชื่อ
ส่วนฮุย (สีเทา)…เป็นความใฝ่ฝันของหัวหน้าที่อยากจะกลายเป็นผีดิบสีเทา
ฮุยซานไม่ชอบชื่อนี้ ช่วงหนึ่งเขาเคยคิดอยู่ตลอดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นตนชื่ออะไร แต่น่าเสียดายที่เขาจำไม่ได้ เขาจึงค่อยๆ ยอมรับชื่อฮุยซาน
อีกทั้งเวลาในร่างกายของเขาดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเกินไป ความเร็วนี้…ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางร่างกาย ขนของเขายังเป็นสีเขียวอ่อนและไม่มีการพัฒนาใด
หากแต่ความเร็วนี้สะท้อนอยู่ในความคิดของเขา บ่อยครั้งเมื่อเขาคิดถึงปัญหาหนึ่ง มันก็จะผ่านไปเนิ่นนาน และแม้จะไม่ได้คิดสิ่งใดให้ชัดเจน ทว่าเวลาก็ผ่านไป หลายปีแล้ว
ตัวอย่างเช่นอสูรเฒ่าลี่หลิงข้างบ้าน ขณะที่ตนกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงได้ถูกสกัดน้ำมันศพ อสูรเฒ่าลี่หลิงก็ได้กลายเป็นนายหญิงและฐานการฝึกฝนเพิ่มเป็นสองเท่าของหัวหน้าแล้ว
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเขามีความคิดบางอย่างในใจ จนปัจจุบันเขาเป็นผีดิบมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังครุ่นคิดไม่เสร็จ
และในฐานะผีดิบที่อ่อนแอที่สุดเช่นนี้จึงย่อมไม่มีสถานะใดๆ หากไม่ใช่เพราะความดูแลของฮุยเอ้อร์ เขาคงจะแตกสลายไปนานแล้ว และคงไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียกและให้ความกระจ่างแก่สหายศพที่เพิ่งตื่นขึ้นใหม่
ขณะนี้ตรงหน้าเขามีศพอยู่ 8 ศพ และเขาต้องสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งเดือนจนกว่าจะดึงดูดสายตาของวิญญาณศพ เพื่อทำให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้ง
ศพเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ทั้งคนแก่และเด็ก พวกเขาตายมานานแล้ว ทว่า น่าประหลาด เพราะศพกลับไม่เน่าเปื่อย จนกระทั่งตอนที่ฮุยซานอ่านคำพูดที่จารึกอยู่ในหินสีดำ ไอมรณะของศพเหล่านี้ก็ปั่นป่วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ซากศพเหล่านี้ หากแต่ไปอยู่ที่ด้านข้างซากศพเป็นครั้งคราว ตรงนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องตนด้วยดวงตาเบิกกว้าง
หญิงสาวนางนี้สวยมาก สวมชุดในวัง แม้ว่านางจะอายุเพียง 16-17 ปีเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าขาวผ่องหรือดวงตาดำขลับที่ไร้รูม่านตาล้วนทำให้ร่างของนาง ดูราวกับกลายเป็นกระแสน้ำวนดึงดูดทุกสิ่งของฮุยซาน
นั่นทำให้หลังจากที่เขาก้มหน้าลง ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอีกครั้ง
“สวยไหม?” เสียงของหญิงสาวเย็นชา
“สวย” ฮุยซานก้มศีรษะลงอีกครา ทว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นการเสียดสีและการดูถูก ที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว บางทีแม้ว่าเขาจะเห็นมัน แต่ด้วยสติปัญญาของ ฮุยซานในตอนนี้ก็คงมองไม่ออกอยู่ดี
“บอกข้าที วิญญาณศพคืออะไร” ความเย้ยหยันบนใบหน้าของหญิงสาวจางหาย ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“วิญญาณศพคือกฎสูงสุดของจักรวาลที่เปลี่ยนไป และสิ่งมีชีวิตที่สายตามองเห็นจะถูกเปลี่ยนเป็นเผ่าศพ” ฮุยซานก้มศีรษะลงและพูดพึมพำ
“แล้ววิญญาณศพจะมองเห็นที่นี่เมื่อไร” หญิงสาวถามต่อ
“วิญญาณศพไม่สามารถคิดวิเคราะห์เองได้ ทำได้เพียงสวดมนต์ต่อไปและนำทางด้วยความจริงใจเท่านั้นถึงจะทำให้วิญญาณศพมาได้ หากภายในสามเดือนยังไม่มีสายตาลงมา ซากศพก็จะเน่าเปื่อย” ฮุยซานพึมพำ สิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในแผ่นหินสีดำ เขาเพียงแค่อ่านข้อความเหล่านี้และตัวเขาเองไม่รู้ว่าใน 30 ปีที่ผ่านมา ตนได้อ่านไปทั้งหมดกี่รอบแล้ว
“น่าเบื่อ!” สิ่งที่ตอบสนองเขาคือน้ำเสียงไร้ความอดทนของหญิงสาว รวมถึงภาพที่ฮุยซานไม่อาจลืมได้เป็นเวลานาน
หญิงสาวยืนขึ้น แหงนมองท้องนภามืดมิด ก่อนจะกางแขนออกแล้วเอ่ย
“วิญญาณศพ เวลาของข้ามีจำกัด รอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ!”
หลังจากประโยคนี้ ฮุยซานก็เห็นท้องฟ้าในขณะนั้นพลันม้วนกลิ้งมาบรรจบกันเป็นดวงตาขนาดใหญ่ ดวงตานี้เต็มไปด้วยเส้นไหมสีดำ จ้องมองลงมา ปกคลุม… ร่างของหญิงสาวผู้นั้น
ในสายตาของฮุยซาน ร่างกายของหญิงสาวมีขนงอกออกมาอย่างรวดเร็ว จากสีเขียวในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แล้วก็เป็นสีดำ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับทั้งหมด แต่ก็เป็น สีน้ำเงินดำอย่างละครึ่ง
ส่วนศพอื่นๆ ตอนนี้ได้สลายกลายเป็นเถ้าลอยฟุ้งอย่างรวดเร็วไปแล้ว ส่วนหญิงสาว…นางหันหลังจากไป ฮุยซานจ้องมองนางหายวับไปกับตา
กระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ฮุยซานจึงพึมพำออกมาพร้อมสายตาว่างเปล่า
“ที่แท้วิญญาณศพก็สามารถเรียกได้”
หญิงสาวจากไปแล้ว ชีวิตของฮุยซานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงสวดมนต์เพื่อซากศพและเฝ้าดูพวกเขา บางส่วนเน่าเปื่อย บางส่วนฟื้นคืนชีพและกลายเป็นเผ่าศพ
กาลเวลาวนเวียนซ้ำซ้อน ผ่านไปอย่างเนิบช้า จะนานเพียงใด ฮุยซานก็ไม่สนใจ เขายังคงชอบครุ่นคิดคำตอบที่ไม่เคยมีอยู่ในใจ ยังคงชอบแหงนมองดูท้องนภา อันมืดมิดอย่างนิ่งงันโดยไม่กะพริบตา
และหญิงสาวที่เขาจดจำฝังลึกอยู่ในความทรงจำ กลับมาที่นี่ 5 ครั้งในรอบ หลายปีมานี้
ครั้งแรกที่มา นางได้รับบาดเจ็บ แต่ขนของนางกลายเป็นสีดำแล้ว นางนั่งบน หลุมฝังศพไม่ไกลจากฮุยซานโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำราวกับกำลังพักผ่อน ก่อนจากไปนางถึงได้หันมาถามหวังเป่าเล่ออยู่คำถามหนึ่ง
“ดูเหมือนเจ้าจะครุ่นคิดอะไรอยู่ทุกวัน บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และทำไมเจ้าถึงเอาแต่มองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา”
นี่เป็นสหายศพคนแรกที่ถามเขาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฮุยซานจึงตอบอย่างจริงจัง
“ข้ากำลังคิดว่าทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีดำ ข้าชอบสีขาว ข้าเลยคิดว่าจะมีสักวันไหมที่ข้าจะได้เห็นท้องฟ้าสีขาว”
“โง่เง่า!” หญิงสาวเงียบเสียง หลังจากนั้นไม่นานนางก็พ่นลมหายใจ แล้วหันหลังเดินจากไป
เมื่อหญิงสาวมาครั้งที่สอง นางได้รับบาดเจ็บเช่นเดิม แต่สีบนตัวนางเริ่มกลายเป็นสีเทาแล้ว นางยังนั่งอยู่ที่เดิมที่เคยนั่ง ครั้งนี้นางไม่เงียบ แต่กำลังเอ่ยบางสิ่งมากมายราวกับเอ่ยกับตัวเอง
ในวาจาเหล่านั้น นางบอกฮุยซานว่านางได้ฆ่าหัวหน้า ฆ่านายหญิง และเนินเขาทั่วทุกสารทิศและรวมทุกเขาเข้าด้วยกัน
ฮุยซานพยักหน้าและยังคงมองท้องฟ้า ยังคงครุ่นคิด ส่วนหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ หลังจากพูดเสร็จ นางก็นั่งพักครู่หนึ่ง ทว่าก่อนจะจากไป ตอนนั้นเองก็เอ่ยถามขึ้น
“หากท้องฟ้าไม่มีวันเป็นสีขาว เจ้าจะทำอย่างไร นั่งมองต่อไป รอคอยต่อไป จนเน่าเปื่อยหรือ”
ฮุยซานเงียบ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน หญิงสาวเองก็ไม่รอคำตอบและจากไป ครั้งที่สามและสี่ที่นางมาก็ไม่ได้ถามคำถามหรือคำตอบ นางเพียงแค่พูดกับตนเองและบอกฮุยซานว่านางพิชิตภูเขาทั้ง 7-8 ลูกในแถบนี้ได้แล้ว นางวางแผนที่จะจัดระเบียบกองกำลังนี้และเปิดสงครามล้างแค้นกับสถานที่ที่เรียกว่าบ่อเมฆา!
การจากไปครั้งนี้กินเวลานานมาก กว่านางจะมาปรากฏตัวต่อหน้าฮุยซานอีกรอบ ฮุยซานก็เห็นว่าขนบนตัวของนางเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว และยังเห็นว่าใบหน้าของนางเน่าเปื่อยไปแล้วเสียครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของนางแผ่ไอมรณะเข้มข้นออกมา เผยให้เห็นถึงความอัปลักษณ์
หลังจากมาถึง นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับสังเกตเห็นสายตาของฮุยซาน นางจึงยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าเน่าเปื่อยของตน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะ เสียงนั้น แหบพร่าเล็กน้อย
“ฮุยซาน ข้ายังสวยอยู่ไหม?”
“สวย” ฮุยซานตอบกลับจริงจัง
นางคลี่ยิ้ม ยิ้มด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณาได้ จากนั้นก็เงียบเสียงไปอีกครา ไม่กล่าวสิ่งใดจนกระทั่งในท้องฟ้าอันไกลโพ้นมีเสียงคร่ำครวญสะเทือนฟ้าดินดังมา นางจึงลุกขึ้นและมองฮุยซานเงียบๆ
“เจ้าคือเผ่าศพที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอ…ข้าไปก่อนนะ บางที… อาจไม่กลับมาแล้ว”
ฮุยซานชะงักไปชั่วขณะ มองไปยังหญิงสาวในความทรงจำ ความรู้สึกสูญเสียที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนปรากฏขึ้นในร่างกาย เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร
กระทั่งครู่ต่อมา หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า นางเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนนั้น ในกระแสน้ำวนมีดวงตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับกำลังร้องเรียกนาง
“ลาก่อน” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว และเมื่อมือขวาของนางยกขึ้น หน้ากากสีดำ ก็ปรากฏขึ้นในมือของนางมือนั้นค่อยๆ สวมหน้ากากลงบนใบหน้า ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ฮุยซานมองแผ่นหลังของหญิงสาว ยามนี้แม้นางจะเต็มไปด้วยไอมรณะ แม้ขนสีม่วงของนางจะกลายเป็นคลื่น ทว่านางก็ยัง…สง่างามและน่าหลงใหลอย่างมาก ขณะที่มองดูภาพนั้นครั้งสุดท้าย ฮุยซานก็พึมพำ
“ลาก่อน”