บทที่ 1068 ชาติที่หกอันแสนพิเศษ
หวังเป่าเล่อดวงตาเลื่อนลอย ทุกครั้งที่จมดิ่งสู่ชาติก่อนเขาก็มักจะเป็นเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่…เขาใช้เวลาในการจมดิ่งลอยเนิ่นนาน เนิ่นนานอย่างยิ่ง
หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม สามชั่วยาม…
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อจมดิ่ง ไม่มีใครมารบกวนเขา ภายในหมอกรอบด้านนั้น ได้กลายเป็นแดนต้องห้ามไปนานแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่ บ้างก็อยู่ห่างเกินไป บ้างก็เสียคุณสมบัติไป ในส่วนคนที่เหลือย่อมไม่กล้าเข้าใกล้เขา
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นี่ กระแสพลังอันองอาจบนร่าง หวังเป่าเล่อได้แผ่ออกมาอย่างจับต้องไม่ได้ ทำให้เหล่าผู้ได้สัมผัสใกล้ๆ นั้น ล้วนต้องรู้สึกหวาดผวา ใจเต้นแรงและพากันหลีกหนีไปไกลทุกคน
ในเมื่อคนอื่นๆ ไม่กล้ารบกวน ด้านหวังเป่าเล่อเองก็เงียบเชียบ เฉินหานที่เหลือเพียงส่วนศีรษะลอยอยู่ข้างๆ นั้นก็ยิ่งไม่กล้ารบกวนหวังเป่าเล่อแม้เพียงเล็กน้อย
เขาก็เหมือนกับหวังเป่าเล่อ เมื่อครู่เข้าสู่ภวังค์แห่งการระลึกชาติก่อน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังและเจ็บปวดก็คือ ในชาติก่อนของเขานี้ ยังคงโชคไม่ดีนัก…
เขาเป็นเพียงแค่เห็บตัวหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่บนตัวของเสือตัวหนึ่ง
แต่เขาก็พอใจอย่างมากแล้ว เพราะหากเทียบกับพวกสิ่งมีชีวิตในชาติก่อนอย่างเช่นแบคทีเรียในลำไส้ คราวนี้แม้เขาจะเป็นเพียงแค่เห็บ แต่เห็นชัดว่าไม่ว่าจะเป็นด้านขนาดตัวหรือความสามารถในการต่อสู้ ล้วนแต่พุ่งทะยานก้าวกระโดด!
เฉินหานรู้สึกว่าการพัฒนาประเภทนี้ เห็นชัดว่าทุกสิ่งกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุด…ก็คือเห็บในชาตินี้ของตนนั้นสุดท้ายดับสลายไปพร้อมกับทั้งจักรวาล…
ยามนี้ตื่นแล้วหลังจากความทรงจำกลับมาและเฉินหานนั่งพออกพอใจอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าตนเองได้รับทักษะการกระโดดและดูดเลือดนั้นมาพอประมาณเช่นกัน เพียงแต่ว่า…เขา ผู้มีความมั่นใจในตัวเอง ยามนี้มองไปเห็นหวังเป่าเล่อ กลับต้อง จิตใจว้าวุ่นอย่างไม่รู้สาเหตุ
“กลิ่นอายนี้…เหมือนว่า…คล้ายว่าจะเป็น…” เฉินหายลมหายใจติดขัด ในชาติก่อนหน้านี้ของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เห็บบนตัวของเสือ แต่ก็มีความคิดเป็นของตนเอง เขาจำได้ว่าตนเองติดอยู่บนตัวเสือนั้นในสวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ในนั้น มีสัตว์วิเศษตัวอื่นๆ อีกมากมาย
ในบรรดานั้นมีสัตว์วิเศษตนหนึ่ง ได้มีชีวิตซึ่งกลายเป็นตำนาน!
นั่นก็คือกวางน้อยสีขาวตัวหนึ่ง มันได้ติดตามเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง หลังจากเดินทางออกจากสวนไปได้หลายขวบปีนั้น ก็มีตำนานมากมายเล่าขานผ่านทางลิงชรา ในเมื่อเจ้าเสือได้ยิน ตัวเขาที่อยู่บนเจ้าเสือก็ย่อมได้ยินเช่นกัน ในตำนานนี้กล่าวว่า เจ้ากวางน้อยสีขาวเดินทางไปยังดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน เดินทางไปรอบจักรพิภพ กระทั่งว่าชื่อและกฎแห่งจักรวาลทั้งหมดผันเปลี่ยนก็เพราะตัวมันนี่เอง
สุดท้ายแล้ว กวางสีขาวตนนั้นก็เริ่มวิ่งเตลิด วิ่งไปยังจุดสิ้นสุดของจักรวาล วิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีใครรู้ว่ามันวิ่งไปกี่ปี จนกระทั่งมันชนทำลายจักรวาลนี้ แล้วหายไปท่ามกลางทะเลดารา หลังจากการพุ่งเข้าชนของมัน ทั้งจักรวาลก็เริ่มพังทลาย ปรากฏพายุคลั่งขึ้น…
ส่วนตัวมันเอง ก็ตายอยู่ใจกลางพายุร้ายที่พัดม้วนทั้งจักรวาลนั่นเอง
“เป็นไปไม่ได้…” เฉินหานร่างกายสั่นเทิ้ม มองไปยังหวังเป่าเล่อ ดวงตาเขา ตกตะลึงถึงที่สุด พลันเข้าใจได้ทันทีว่าหลังจากอีกฝ่ายระลึกชาติที่แล้วได้นั้น จะแข็งแกร่งขนาดไหน…เพราะหากสิ่งที่ตนเองคาดเดาไว้ถูกต้อง ไม่แข็งแกร่งสิ จะแปลกมาก!
ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้ารบกวนหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ยามนี้มองอีกฝ่ายเหมือนเทพเจ้าไม่ปาน นั่งอยู่ข้างๆ จับจ้องหวังเป่าเล่อ ในดวงตานั้นเผยแววตาระแวดระวัง ขณะที่เวลาเดียวกันก็สงสัยใครรู่
เขาสงสัยนัก หากว่าเจ้ากวางสีขาวตัวเล็กนั่นคือชาติก่อนของหวังเป่าเล่อจริง เช่นนั้น…คนเช่นนี้ ในชาตินี้จะไปได้ถึงระดับใด…
“รู้สึกอยู่ตลอดว่าว่างเปล่าเล็กน้อย…” ขณะที่ประหลาดใจอยู่นั้น เฉินหานก็เกิดความรู้สึกเชื่อมต่ออย่างอธิบายไม่ได้บางอย่าง เขารู้สึกว่ามุมมองโลกของตนเองนั้น คล้ายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดินหลังจากผ่านการทดสอบของชาติ ที่แล้ว หลังจากความคิดนี้ เขาพลันรู้สึกว่าบางทีการกลับชาติมาเกิดของตนครั้งนี้ บิดาที่ตนได้รับในยามอายุสามสิบห้า…เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เขาคือวาสนาแห่งการ บ่มเพาะอันเร้นลับหนึ่งเดียว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งตนเองได้พบพานในการกลับชาติมาเกิดหลายครั้ง
ท่ามกลางความเคารพยำเกรงและถอนใจของเฉินหาน แววตาสับสนของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เบิกกว้าง สิ่งที่ติดตามมานั้นก็คือเต๋าลมคราม กฎของดาวเคราะห์บรรพกาลนี้ของเขา…พลันระเบิดขึ้น!
การระเบิดในลักษณะนี้พลันก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ กลิ่นอายกลบทับทุกสิ่งของ หวังเป่าเล่อ เต๋าลมครามนั้นเด่นด้านการใช้ความเร็ว และในพริบตามันก็แสดงพลังทั้งหมดออกมา!
ยามที่เขากลายร่างเป็นกวางน้อยสีขาว ยามที่กำลังวิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในการไล่ตามอย่างไม่ลดละนั้น ความเร็วของเขาก็เร่งถึงที่สุดเช่นกัน เวลานี้หลังจากตื่นขึ้นแล้ว ความทรงจำที่กลับมาจากชาติก่อนแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เต๋าลมครามของเขาคำรามและยกระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็ทะยานระดับไปจนถึงขั้นแปดเก้าส่วนของระดับสูงสุดแล้ว
แต่ทั้งหมด…กลับยังไม่จบ!
พริบตาถัดมา หวังเป่าเล่อค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น แม้ว่าดวงตาจะใสกระจ่าง แต่ในสมองของเขายังมีแต่เรื่องการระลึกชาติลอยวนอยู่ โดยเฉพาะ…สุดท้ายแล้วหลังจากเขาทำลายผ่านกำแพงกั้น เขามองเห็นทุกสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะตนเองไปสามฉื่อ!
นั่นเป็นมือข้างหนึ่ง…มือข้างหนึ่ง ในคราแรกที่เขาระลึกชาติแรกนั้น ยามที่ตนเองยังเป็นตระกูลเทพอัคคีอยู่ นี่คือมือที่กดลงบนหว่างคิ้วของตนครั้งสุดท้าย!
มือข้างนี้ ยามที่เขาเห็นเป็นครั้งแรก สะท้านกายยิ่งนัก ยามนี้เมื่อได้เห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังคงทำให้เขาสั่นสะท้านเช่นเก่า ดังนั้นเขาจึงต้องถือโอกาสมองให้ชัด นั่นคือ ภาพมือมายาข้างหนึ่งซึ่งให้ความรู้สึกคลุมเครือ ราวกับว่าเป็นวิชาเร้นลับในช่องว่าง ฟ้าดิน ทำให้คนยากจะมองแยกแยะจริงเท็จได้ ทำได้เพียงเห็นอย่างพร่าเลือนเท่านั้น
นี่เป็นแค่การมองเพียงคราเดียวเท่านั้น…แต่กลับทำให้สติของกวางน้อยสีขาวแหลกสลาย สิ่งที่เป็นหลักฐานอันดียิ่งกว่าก็คือการเหลือบตามองในครั้งนี้ ทำให้ เต๋าเมฆาฟ้าที่อยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อเปล่งเสียงระเบิดพลังคำรามลั่นตาม เต๋าลมครามมาติดๆ!
เมฆพลันเปลี่ยนรูป ดังภาพมายา!
พริบตานี้เอง เต๋าเมฆาฟ้าก็พลันหลอมรวมพลังได้เก้าส่วนแล้ว!
และในครานี้…เป็นครั้งแรกในการระลึกชาติก่อนๆ ของเขาที่กฎสองชนิดได้รับการหลอมประสานที่รุนแรง!
ส่วนพลังฝึกปรือของเขาก็ทะยานลิ่ว ภายใต้การประสานกฎในครานี้ พลังฝึกปรือระเบิดขึ้นจากเดิมที่ตัวเขาอยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายก็พุ่งทะยานอีกระลอก แม้ตัวเขายังมีระดับไม่ถึงขั้นดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ แต่พลังในตอนนี้ไม่ต่างกัน สักเท่าไรแล้ว!
สามารถกล่าวได้ว่า การยกระดับในครั้งนี้เหนือกว่าครั้งก่อนๆ ของเขามาก อีกทั้งหลังจากเห็นมือข้างนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ราวกับสัมผัสถึงภาพมายาไร้ลักษณ์ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากันกับการระลึกชาติครั้งแรกสุดได้
ห้าชาติ เป็นวัฏจักรหนึ่ง ราวกับเป็นเหตุผลของมัน!
เหตุของทุกสิ่งนี้…ก็คือเด็กสาวนามว่าหวังอีอี อยากจะเขียนหนังสือสักเล่ม ดังนั้นจึงให้ตัวเองเป็นนางเอก จนกระทั่งชาติถัดมา ตนเองที่ควรจะกำเนิดเพื่อเริ่มต้นใหม่ ได้กลายเป็นผู้ถูกทอดทิ้งของแผนการสังหารเทพ นำพาความโกรธแค้นนานัปการ มาพบเข้ากับนางอีกครั้ง…
ยามนั้น บางทีนางเองก็คงจะจำเจ้ากวางน้อยสีขาวไม่ได้แล้ว ต่อมาตนก็ได้กลายเป็นดาบที่ไม่เหมือนใครในชาติถัดมา ก็เพราะคำพูดสุดท้ายของนาง อยู่ท่ามกลางคาวโลหิตอย่างเลอะเลือนชาติหนึ่ง ในส่วนชาติถัดมาก็กลายเป็นผีดิบ ตนหนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิด แหงนหน้ามองฟ้าพร่างดาว เพื่อตามหาแสงสว่าง…
การอยู่เคียงข้างของนางตั้งแต่เริ่มจนจบ จวบจนกระทั่งตนเองสามารถบรรลุความปรารถนาได้ หากใช้ตัวเขาในยามนี้มองกลับไปนั้น เกรงว่าก็คงจะเป็นชาติก่อนที่เป็นมนุษย์ ซึ่งตนได้กลายเป็นผู้สืบทอดแสงสว่างแห่งเผ่าอัคคีเทพ
ในโลกใบนี้ไม่มีนาง แต่มือในยามสุดท้ายนั้น…ช่วยนำพาทุกสิ่งให้ก่อเกิดผลลัพธ์
ท่ามกลางภวังค์ หวังเป่าเล่อค้อมศีรษะลงหยิบชิ้นส่วนหน้ากาก เหม่อมองเนิ่นนาน ในสมองของเขาปรากฏภาพของหลี่หว่านเอ๋อร์ ประโยคที่นางบอกเขา
“แหงนหน้าสามฉื่อมีเทพอยู่งั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อปิดตาลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายตาดูมีความผิดปกติอยู่บ้าง สำหรับสิ่งที่ตนมองเห็นทั้งหมด และได้ประสบทั้งหมดนี้ ะสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ได้เชื่อมันทุกส่วน!
เขาเชื่อเพียงการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น!
ทว่าในยามนี้ หลักฐานในการพิเคราะห์นั้นมีที่มาจากสิ่งเดียว ดังนั้นจึงยังไม่พอ
“เช่นนั้นไม่รู้ว่าหลังจากข้าระลึกชาติถัดไปแล้ว จะเป็นเช่นไร…” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยประกายตาแปลกประหลาด เขาเกิดความรู้สึกรอคอยอย่างเงียบๆ เวลารอคอยนั้นไม่นานมาก
เพราะหลังจากเขาตื่นขึ้นมา ใช้เวลาเหม่อลอยไปนานเกินไป ผ่านไปอีกเพียง ชั่วยามสุดท้าย หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงอันแหบพร่านั้นดังก้องในสมองของตนอีกครั้ง
“วันที่หก ชาติที่หก!”
สัมผัสถึงพลังนำทางเหมือนคราก่อน ความรู้สึกที่จมดิ่งนั้นไม่ได้ต่างจากยามก่อนเลยแม้แต่น้อย หมอกรอบด้านเริ่มหมุนวน ทว่า…ยามที่ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่และดำเนินไปไม่หยุด สติของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้หายไปเหมือนครั้งก่อนๆ…
สติของเขาแจ่มกระจ่างตั้งแต่เริ่มจนจบ แต่ชาติที่หกซึ่งควรจะปรากฏนั้น ไม่รู้เพราะสาเหตุใดจึงไม่เกิดขึ้น ยามนี้ในหัวของหวังเป่าเล่อปรากฏเพียงความดำมืด…
เป็นความมืดสนิทไร้ที่สิ้นสุด…
เย็นเยียบ มืดไร้เสียง