Skip to content

A World Worth Protecting 1385

บทที่ 1385 ท่วงทำนองอันน่าสะพรึง

การตระหนักรู้กินเวลายี่สิบวันเต็มๆ เขาเสียท่วงทำนองไปเกือบ 50,000 ท่อน แลกมากับจำนวนท่วงทำนองที่ซ้อนทับในร่างกายของหวังเป่าเล่อ ซึ่งทะลวงไปจนถึงระดับ 15,000 ชิ้นแล้ว

การซ้อนทับของระดับเช่นนี้ถึงขั้นเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบทเพลงไปเลย

เดิมทีบทเพลงนี้คล้ายล่องลอยอยู่ในตันเถียนภายในร่างของหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้ รูปลักษณ์ของมันเปลี่ยนเป็นไอหมอกเลือนราง มองเผินๆ ถึงขั้นมองไม่เห็นลักษณะของท่วงทำนองด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือการสร้างทำนองเพลงจริงๆ

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือท่วงทำนองที่ทับซ้อนกันนี้ได้หลุดพ้นจากตันเถียนของหวังเป่าเล่อมาปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา ราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริงแล้ว

ทว่าตราบใดที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อขยับไหว ท่วงทำนองนี้ก็จะเกิดรูปร่างทันที แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคาดไม่ถึง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ก็คือหลังจากบทเพลงที่กลายเป็นไอหมอกผสานรวมกับจิตใจของเขาแล้ว ทำให้แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน รอบตัวของหวังเป่าเล่อก็จะมีความบิดเบี้ยวบางอย่างที่ คนนอกมองไม่เห็นเกิดขึ้น

ความบิดเบี้ยวนี้คล้ายเกิดขึ้นจากการบีบอัดของพื้นที่ต่างๆ ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อรับรู้ได้จากการศึกษาของตนว่าความบิดเบี้ยวแบบนี้เกิดขึ้นเพราะโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงคล้ายจะปะทะเข้ากับตัวเขาเอง หรือก็หมายความว่าถ้าเขาคิด เขาสามารถเข้าสู่โลกของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงใบนั้นได้ในตอนกลางวันเลย

แต่เขายังคงยับยั้งความบุ่มบ่ามของตนไม่ให้ลองดูในทันที ทว่า…เขาได้ทำการทดลองอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยามที่เขาแผ่พลังของเสียงที่ทับซ้อนกันออกมาใน ตอนกลางวันและทำให้ความบิดเบี้ยวรอบกายรุนแรงขึ้น เขาคล้ายยังคงอยู่ แต่ความจริง…ในสายตาของคนอื่น เขาได้หายไปแล้ว

จุดนี้หวังเป่าเล่อได้ทดลองกับพ่อบ้านไปแล้ว อีกฝ่ายไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อถึงขั้นทำตามจิตใจ ไปยังห้องพักอีกสองห้อง จากนั้นเขาก็ค้นพบอย่าง ตกตะลึงว่าผู้ฝึกตนภายในห้องพักสองห้องที่อยู่ติดกันนั้นกลับไม่สังเกตเห็นเลย แม้แต่นิด

ความหมายที่แฝงอยู่ในภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงเป็นที่สุด

เพราะว่า…หากเขาทำได้ถึงขั้นนี้ในยามค่ำคืนจริงๆ ก็เท่ากับว่าเขาแตกต่างจาก ผู้ฝึกกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงคนอื่นๆ เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้รับรู้ได้เท่านั้น แต่…สามารถเดินเข้าหาได้อย่างแท้จริง!

ต้องรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ ยามหวังเป่าเล่อเดินอยู่ในค่ำคืน สิ่งที่เขารับรู้จาก โลกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงล้วนเป็นการรับรู้และการได้ยินเท่านั้น แต่เขาจะมอง ไม่เห็น เหมือนมีม่านบังตาอยู่ตลอด ทำให้เขาทำได้แค่เดินอยู่รอบนอกเท่านั้น

ทว่าตอนนี้ หลังจากความอัศจรรย์ของท่วงทำนองซ้อนทับทำให้หวังเป่าเล่อรับรู้สิ่งเหล่านี้ หัวใจเขาก็เต้นระรัวขึ้นมาไม่น้อย เขาตระหนักได้อย่างล้ำลึกว่าหากยาม ค่ำคืนตนสามารถทำได้ขนาดนี้ เช่นนั้นในแง่หนึ่ง เขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนแล้ว

แต่เป็น…สิ่งแปลกประหลาด…ในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง

“นี่มันท่วงทำนองอะไรกันแน่ ทำได้ถึงจุดนี้จริงๆ หรือ ทำให้ข้ากลายเป็น สัตว์ประหลาด…” หวังเป่าเล่อรู้สึกคาดไม่ถึง เพราะผู้ฝึกตนจากสามสำนักใหญ่ที่เขาเข้าใจนั้น แม้ว่าจะบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถสลายร่างจริงให้กลายเป็นตัวตนประเภทบทเพลงได้

แต่ตัวตนเช่นนี้กลับแตกต่างจากสัตว์ประหลาดของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนมากพวกแรกจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสียง สามารถมองว่าเป็น ความพยายามในการผสานเข้ากับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง แต่ว่ากันตามตรงแล้ว ล้วนเป็นพลังจากภายนอก เป็น ‘การปรับตัว’ เข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ค่อยๆ เข้าไปใกล้ หลอมรวมเข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงบรรลุถึงระดับที่ใช้งานได้

ส่วนพวกหลัง…กลับเป็นตัวตน ‘กลายเป็น’ กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงเอง!

หลังจากเข้าร่วมสำนักเหอเสียน เมื่อเริ่มเข้าใจ หวังเป่าเล่อก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘โลกที่สัมผัสได้ด้วยกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง’ นั้น ความจริงแล้ว…เกิดขึ้นมาจากกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงเอง นิกายของสามสำนักใหญ่นั้นฝังตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ ส่วนสัตว์ประหลาดทั้งหมดในโลกแห่งนั้น สาเหตุที่สังหารแล้วจะมีโอกาสทำให้ ผู้ฝึกตนตระหนักรู้ท่วงทำนองได้ก็เป็นเพราะตัวประหลาดเหล่านั้นทุกตัว ล้วนเป็น ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง

แบบแรกเป็นการผสานรวมด้วยพลังภายนอก แบบหลังคือเป็นตัวของมันเอง

ตอนนี้หวังเป่าเล่อตระหนักได้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตนฝึกไปฝึกมากลับได้เดินอยู่ บนเส้นทางที่ทำให้ฝึกฝนจนกลายเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเสียได้…แม้ว่าตอนนี้ จะถือว่าเป็นแค่ชั้นต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทิศทางนี้อยู่เหนือว่าทุกๆ คน

และทันทีที่เขาทำสำเร็จในท้ายที่สุด…กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงก็จะเป็นตัวเขา ส่วนความเป็นความตายของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็ขึ้นอยู่กับความคิดของเขาแล้ว

การค้นพบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน ดังนั้นจึงเงยหน้ามองไปด้านนอก รอให้ยามค่ำคืนมาเยือน เพื่อที่จะไปยืนยันการคาดเดาของตนเอง

ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่หวังเป่าเล่อจะรอคอยให้ยามค่ำคืนมาถึงเร็วๆ อย่างนี้มาก่อน เขาคิดว่าเวลากลางวันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน เขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ และ เมื่อยามเย็นจากไป ในที่สุดค่ำคืนก็มาเยือนแผ่นดิน หลังจากแสงอาทิตย์จมดิ่งไป จนหมด หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาไม่ได้โคจรพลังให้เคลื่อนไปยังแผ่นหยก แต่เปล่งท่วงทำนองในใจออกมาในชั่วขณะที่ค่ำคืนค่อยๆ แผ่กระจาย

เขาไม่ให้มันเปล่งเสียง แต่ก็ไม่ได้ยับยั้งแรงบิดเบี้ยวที่แผ่ซ่าน ดังนั้นชั่วพริบตาต่อมา ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโตขึ้นทันที คนทั้งคนยืนตะลึง อยู่ตรงนั้น

เพราะว่าโลกเบื้องหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว

โลกทั้งใบอ่อนจาง รูปแบบของห้องไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ วัสดุทั้งหมดกลับเป็นเส้นสาย

เส้นสายเหล่านี้มีช่องว่างระหว่างกันอยู่มากมาย และในช่องว่างเปล่านั้น ก็คล้ายจะมีสิ่งกีดขวางอยู่หนึ่งชั้น ราวกับมีอุปสรรคบางอย่าง แต่กลับไม่ได้ส่งผล ต่อสายตาเขา

เมื่อเงยหน้าขึ้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นด้านนอกจากโรงเตี๊ยมทันที ทั่วทั้งเมือง ล้วนกลายเป็นเส้นสายแบบนี้ ทั้งยังขยายใหญ่นับไม่ถ้วน ราวกับขอบเขตของเมือง ก็คือขีดสุด และเหนือลายเส้นของเมืองนี้ กลับมีตัวตนแปลกประหลาดมากมายคงอยู่

หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาร่างที่มีร่างกายใหญ่หลายร้อยจั้ง ในมือถือหัวที่มี ผมยาวสลวยของตัวเอง และเดินอยู่ไกลๆ บนพื้นที่ระหว่างฟ้าดิน

เขายังมองเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งรูปร่างเหมือนตะขาบ แต่ด้านหลังกลับมีหน้าคนผุดขึ้นอยู่เต็มไปหมด มันคลานเป็นฝูงอยู่ด้านนอก แหวกว่ายอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เหมือนกับวิญญาณอยู่มากมาย ต่างล่องลอยไปทั่วด้วยจำนวนที่มากมายยิ่งกว่า บางครั้งก็ลอยอยู่นอกสิ่งก่อสร้างบางแห่งและเคาะบนหน้าต่าง ราวกับจะบุกเข้าไป แต่กลับถูกขวางไว้

ตัวประหลาดมากมายทั่วทุกหนทุกแห่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ทำให้เขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วสูดหายใจลึกอย่างตื่นเต้น

เพราะเขารู้ว่าการคาดเดาของตน…ถูกต้องแล้ว

“เช่นนั้นต่อจากนี้ก็คือการทดลองขั้นสุดท้าย” ขณะที่พึมพำ ร่างกายของหวังเป่าเล่อ ก็ขยับไหว เขาผลักหน้าต่างออกแล้วบินออกไปตรงๆ เมื่อเขาบินออกมา ตัวตนเหมือนวิญญาณตัวหนึ่งที่นอกหน้าต่างก็ทำท่าจะบุกเข้ามาทางหน้าต่างโดยไม่สนใจ หวังเป่าเล่อ แต่ถูกหวังเป่าเล่อใช้มือคว้าเอาไว้แล้วจับกระแทกตรงๆ เสียงดังตึง

เมื่อมันแตกสลายไปแล้ว ตัวประหลาดตัวอื่นๆ รอบๆ ก็ไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย

หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกาย ตัวเขาพุ่งไปอีกครั้ง หลังจากบินมาอยู่กลางอากาศและมองไปรอบๆ ดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบ

เขามองเห็นว่าที่ไกลๆ กลับมีดวงแสงดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง การมีอยู่ของดวงแสงดวงนี้เป็นสิ่งที่แสบตาอย่างยิ่งในโลกใบนี้ มันดึงดูด สัตว์ประหลาดรอบๆ ไม่น้อยเลย พวกมันต่างพากันยื้อแย่งเข้าไปใกล้

“ผู้ฝึกตนหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาแล้วเข้าไปใกล้ทันที ผ่านไปที่ใด ตัวประหลาดเหล่านั้นที่หลบไม่ทันก็จะถูกมันชนจนแตกสลายไปตรงๆ และขณะที่เข้าไปใกล้ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็มองเห็นว่าข้างในดวงแสงนั้น…ก็คือ ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง

เสื้อผ้าที่เขาสวมเป็นของสำนักเหิงฉิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version