Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 141

A World Worth Protecting 141

บทที่ 141 รวมตัว ศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลัก

“ศิษย์พี่หลิว คนพวกนี้มาจากฝ่ายปกครองสำนักรึ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วถาม พลางมองกลุ่มศิษย์เดินไปทั่วบุกค้นร้านค้าเหมือนทรราชย์ ในขณะที่บรรดาเจ้าของร้านต่างยอมรับความโหดร้ายอย่างขลาดกลัว

“จากฝ่ายปกครองสำนักสุดชั่วช้านั่นเลยละ!” ศิษย์พี่หลิวกัดฟันตอบ โทสะและโทมนัสในดวงตาฉายชัด หวังเป่าเล่อผู้ยืนถัดไปจากเขาจึงกระแอมอย่าง             กระอักกระอ่วน

“ศิษย์ที่ด้อยความสามารถกว่าอย่างพวกเราก็ฝึกตนกันยากอยู่แล้ว พวกเรา      ไม่อยากยอมรับความเป็นจริงพรรค์นั้น ถึงได้มาเปิดธุรกิจเล็กๆ ทั้งตอบสนองความต้องการคนส่วนมากและช่วยให้พวกเราได้ศิลาวิญญาณมาใช้ฝึกตน มีตรงไหนผิดนักหนาหรืออย่างไร” ศิษย์พี่หลิวถามอย่างน่าเศร้าและสิ้นหวัง “พวกเรา              จ่ายค่าธรรมเนียมกันทุกเดือน แต่ฝ่ายปกครองสำนักก็ยังมากันเรื่อยๆ แล้วทำลายข้าวของทุกอย่างทุกครั้ง! นี่มันเกินไปแล้ว!”

หวังเป่าเล่อลดมือที่ปิดจมูกลงแล้วเงียบไป ตามกฎของตำหนักอาวุธเวทแล้ว     ไม่อนุญาตให้ขายอาหารกับเครื่องดื่มในตลาดเพราะขัดต่อสภาพแวดล้อมและวิถีของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง แต่ถ้ามองปัญหานี้ด้วยเหตุและผลก็จะเข้าใจได้ว่าทำไม       ศิษย์ที่ด้อยโอกาสจึงหันมาทำเช่นนี้กัน

หวังเป่าเล่อแอบลอบถอนหายใจ เขานึกอยากช่วยปลอบศิษย์ผู้พี่ จังหวะเดียวกับที่กลุ่มศิษย์จากฝ่ายปกครองสำนักมาถึงหน้าร้าน ทันใดนั้นมีสามคนก้าวเข้ามาในร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ด้วย

วินาทีที่ทั้งสามเข้ามา ชายหน้ายาวเตะป้ายโฆษณาและล้มโต๊ะที่มีขนมวางเรียงราย ท่ามกลางความวุ่นวาย ขนมจำนวนมากเทกระจัดกระจายทั่วพื้น

หวังเป่าเล่อยืนอยู่เช่นนั้น ประจักษ์ทุกสิ่งอย่าง และเริ่มทำหน้าถมึงทึง

“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ค่าธรรมเนียมข้าก็จ่ายไปแล้ว ยกเว้นให้ข้าบางเถอะ…ข้า…ข้าจะจ่ายค่าธรรมเนียมให้อีก พอจะได้รึเปล่า” ศิษย์พี่หลิวคอหดถาม เขากระวนกระวายขึ้นมาแล้วก้าวออกไปเพื่อพยายามกอบกู้สถานการณ์ แต่ก็ไม่กล้าถึงขั้นหยุดคนพวกนั้น

“ศิษย์น้องหลิว พวกเราบอกเจ้าแล้วว่าอย่ามาขายขยะพวกนี้ที่นี่! ทุกคนที่นี่เป็น  ผู้ฝึกตน เจ้าคิดว่าจะมีไอ้โง่ที่ไหนมาซื้อขนมพวกนี้กินกัน ที่นี่คือตำหนักอาวุธเวท     ทุกอย่างที่ขายกันที่นี่คือ วัตถุเวทกับวัตถุดิบต่างๆ เอาขนมมาขายนี่เหมาะสมรึ       เจ้ากำลังทำลายภาพลักษณ์ของตำหนักอาวุธเวทอย่างใหญ่หลวง!” ชายหน้ายาวคนที่เตะป้ายโฆษณากล่าวน้ำเสียงเย็นชาพอได้ยินคำพูดของศิษย์พี่หลิว เขามองผู้เฒ่าด้วยสายตาเย็นยะเยือก

หวังเป่าเล่อย่นคิ้ว รู้สึกไม่พอใจขณะมองยังขนมข้างๆ ตน

“ข้าจะเอาไปเก็บ…ข้าจะเอาไปเก็บ…ศิษย์พี่…” ศิษย์พี่หลิวร้อนรนกล่าว ก้มตัวลงเก็บขนมขึ้นมา

“สายไปแล้ว! ทั้งหมดจะต้องโดนยึด!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักสองคนข้างหลังรีบก้าวออกมาข้างหน้า ดูเหมือนพวกเผด็จการ แล้วยึดสินค้า  ทุกชิ้นในร้าน ในเวลาเดียวกันนี้ สิ่งเดียวกันกำลังเกิดกับร้านอื่นๆ

ไม่ว่าเจ้าของร้านแบบศิษย์พี่หลิวจะอ้อนวอนเช่นไรก็เปล่าประโยชน์ สีหน้า     หวังเป่าเล่อยิ่งขรึมทะมึน คิ้วขมวด เขาเริ่มเปิดปากเอ่ยเพราะทนเงียบต่อไปไม่ไหว

“วิธีการจัดการเรื่องนี้ของเจ้าน่ะเลยเถิดเกินไปแล้ว!”

เมื่อเขาพูดออกไป กลุ่มสามคนนั้นต่างหันมามองเขา ชายหน้ายาวประเมิน      หวังเป่าเล่อ พอเห็นว่าเขาสวมเสื้อคลุมสำนักเต๋าสีเทา ชายหน้ายาวก็เลิกคิ้วแล้วกระทืบห่อขนมบนพื้นพร้อมชี้นิ้วไปยังขนมตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างทนไม่ได้         กองขนมเหล่านั้นหวังเป่าเล่อเพิ่งซื้อมาเมื่อครู่

“ขนมพวกนั้นก็ต้องโดนยึดไปด้วย” เขาประกาศแล้วหันตัวเตรียมเดินออก     เมินคำพูดของหวังเป่าเล่อกันโต้งๆ

หวังเป่าเล่อยิ่งเดือดดาลเมื่อได้เห็นทัศนคติของฝ่ายปกครองสำนัก เขาวางมือขวาลงบนขนมตัวเองแล้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะมายึดขนมที่ข้าเพิ่งซื้อด้วย   ข้อหาอะไร”

ชายหน้ายาวและศิษย์อีกสองคนจากฝ่ายปกครองสำนักย่นคิ้ว ชายหน้ายาวดูหมดความอดทน และหันมาจ้องหวังเป่าเล่อ

“อยากมีเรื่องหรืออย่างไร ไปเสีย อย่ามาต่อรองกับข้าที่นี่ อย่าแม้แต่คิดจะได้ออกไปถ้าเจ้าวางแผนจะก่อปัญหาเพิ่ม!”

สายตาเย็นชาฉายแวบในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาฟัง แต่เขาไม่ได้เดือดดาลควันออกหูแต่อย่างใด กลับเพียงยืนอยู่เช่นนั้นแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น

“ในเมื่อเจ้าของร้านก็จ่ายค่าธรรมเนียมกันหมดแล้ว พวกเจ้าจะมาตรวจการกันย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่มาแล้วทำลายทุกอย่างไปทั่วน่ะไร้เหตุผลสิ้นดี ถ้าพวกเขาทำผิดจริง พวกเจ้าก็ลงโทษพวกเขาสิ มายึดของพวกเขาแบบนี้พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน”

สีหน้าชายหน้ายาวบิดเบี้ยวน่าเกลียดระหว่างที่เขาฟังหวังเป่าเล่อ หลังจากมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า เขาก็หัวเราะ แล้วตะโกนออกไปด้านนอก

“ศิษย์พี่ซุน มีคนมาขัดจังหวะการทำงานของพวกเราและขัดขวางกฎหมาย      ข้าควรจะจัดการเขาเช่นไรดี”

มีเสียงหัวเราะเยือกเย็นแว่วมาจากด้านนอกทันทีที่เขาถาม

“ขัดขวางกฎหมายรึ” เสียงหัวเราะแพร่กระจายออกไป ศิษย์อาวุธเวทในเสื้อคลุมสำนักเต๋าสีฟ้าโผล่เข้ามาในร้าน เขาอายุได้ประมาณยี่สิบแปดปี ใบหน้ามี              กระประปราย ดูทรงอำนาจโดยเฉพาะเมื่อมีศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักห้าคนอยู่ข้างหลัง ยามเขาเดินออกมา ศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักคนอื่นๆ ก็เข้าร่วมคณะติดตาม

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีอำนาจในฝ่ายปกครองสำนัก แม้จะไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มหลัก   แต่ก็คงจะเป็นมือขวาที่ทำงานใต้บังคับบัญชาของหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มหลัก เมื่อเขาเดินเข้ามาในร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ เขามองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา

“เกิดอะไรขึ้น”

“หมอนี่…” หวังเป่าเล่อกำลังจะตอบ แต่ชายหนุ่มสกุลซุนตัดบทเขา

“ข้าไม่ได้ถามเจ้า!” เขาขัดคอหวังเป่าเล่อแล้วมองยังชายหน้ายาว ซึ่งชายหน้ายาว      ก็รีบก้าวออกมา แล้วใส่สีตีไข่เรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนจะแสยะยิ้มมองยังหวังเป่าเล่อ

ตอนแรกหวังเป่าเล่ออยากจะอธิบายแต่เขายกเลิกความคิดนั้นไป เหลือเพียงยืนอยู่กับที่ รอดูว่าศิษย์อาวุธเวทสกุลซุนจะจัดการสถานการณ์เช่นไร

พอได้ฟังชายหน้ายาวเล่า เจ้าซุนผู้นั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนตรงหน้ากำลัง   แส่ไม่เข้าเรื่อง พอเห็นเสื้อคลุมสำนักเต๋าสีเทาที่หวังเป่าเล่อสวมใส่ สีหน้าของเขาก็ไม่แสดงออกอารมณ์ใดๆ ถ้าหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์เอกอาวุธเวท เขาจะยอมไว้หน้า        สักหน่อย แต่ในเมื่อเป็นเพียงศิษย์สามัญที่เขาไม่รู้จัก ยิ่งตำหนักอาวุธเวทก็มีเจ้าอ้วนมากกว่าหนึ่งคน เขาจึงเพิกเฉยอีกฝ่ายแล้วกล่าวอย่างโอหัง

“จับมัน!”

ศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักข้างกายเขาก้าวออกไปทันทีที่เขาบอก ชายหน้ายาวจากเมื่อครู่เป็นคนนำ ท่าทียิ่งเหยียดหยามกว่าเดิมขณะแผดเสียงต่ำ “ยังมั่นอกมั่นใจอยู่อีกรึเปล่า”

หวังเป่าเล่อสั่นหัวพลางหัวเราะ เสียงหัวเราะเขาให้ความรู้สึกหนาวสันหลัง     และเมื่อพวกศิษย์ก้าวมาข้างหน้า เขาเตะเข้าไปอย่างว่องไวและใส่แรง ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะโต้ตอบได้รวดเร็วขนาดนั้น เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหว

ชายหน้ายาวที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อไปร้องด้วยความเจ็บปวด ตัวโดนลูกเตะส่งลอย ใบหน้าซีด เมื่อเขาตกลงบนพื้นไกลออกไป เขาเอามือกุมเป้า เสียงร้องทรมาน         ยิ่งน่าสังเวชใจ

“เจ้ากล้าขัดขืนอย่างนั้นรึ” ผู้คนรอบด้านหวังเป่าเล่อคำรามเกรี้ยวกราด        และพอชายหนุ่มสกุลซุนหายงุนงง เขาก็ชักจะเดือดดาลขึ้นมา ตัวเขากระโดดขึ้นไปในอากาศ ดิ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อโดยตรง

“ขัดขืนรึ ข้าไม่ได้เพียงจะขัดขืนหรอกนะ ข้าคิดจะเล่นพวกเจ้าให้งอมเลย!”     หวังเป่าเล่อถลึงตาเขม็งพร้อมหันตัวไป เขาเร็วจนน่าตกใจ ไปโผล่ตรงหน้าชายหนุ่มสกุลซุนในพริบตาเดียว ตอนชายหนุ่มสกุลซุนมัวตะลึงจนผงะไปกับความเร็วของ    หวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อก็จัดการโจมตีด้วยการซัดเขาเต็มแรง

เสียงดังโครมลั่น แล้วเลือดก็พ่นออกทางปากชายหนุ่มสกุลซุน เขาถอยไปพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความปวดร้าว หวังเป่าเล่อเร่งความเร็วแล้วต่อยคนอื่นลอยขึ้น     กลางอากาศ จากนั้นก็ถอยไปหลายก้าวเพื่อเตะอีกคนตัวปลิว

ไม่นานเสียงร้องน่าสงสารดังไปทุกหนแห่ง ศิษย์ทั้งสิบคนของฝ่ายปกครองสำนักล้วนโดนเตะลอย พอร่างพากันร่วงไปทุกที่ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มสกุลซุนแล้วเตะเขาอีกครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายพยายามยืนขึ้น หวังเป่าเล่อก็เหยียบลงบนอกของเขา กดตรึงหมอนั่นไว้บนพื้นไม่ยอมให้ลุกขึ้น

ศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักที่ยืนอยู่รอบๆ ตัวสั่นเทา สายตาจ้องมองหวังเป่าเล่อ    ทั้งโกรธเกรี้ยวและตกใจชนิดไม่อาจสรรหาคำพูด

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้คนในตลาดยื่นหน้าเข้ามาดูกันวุ่นวายพอได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงในไม่ช้า

“นั่นมันฝ่ายปกครองสำนัก! ฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดในตำหนักอาวุธเวท ใครไปกล้าลบหลู่พวกเขากัน”

“เจ้าอ้วนนั่นดูคุ้นๆ…แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ เขาต้องเจอปัญหาหนักแน่ เล่นไปทำร้ายคนจากฝ่ายปกครองสำนักแบบนี้”

ศิษย์พี่หลิวซึ่งยังอยู่ในร้านยิ่งกระวนกระวายวิตกจริตเพราะหวังเป่าเล่อ แต่เขาไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ทำได้เพียงกลัดกลุ้ม และในขณะที่ผู้คนยังพูดคุยกันต่อไป        หวังเป่าเล่อก้มลงมองชายหนุ่มสกุลซุนผู้นอนอยู่ใต้เท้าตน

“ทีนี้ ขอข้าพูดได้หรือยัง”

“สหาย เจ้าไม่ต้องพูดอะไรหรอก เจ้ามันกล้าดี แต่ข้าอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าเจ้าจะยังกล้าแบบนี้อีกรึเปล่า ตอนที่กำลังเสริมของเราจากฝ่ายปกครองสำนักมาถึงนี่!”    ซุนปาดเลือดสีแดงทับทิมตรงมุมปากแล้วนอนบนพื้น สภาพสะบักสะบอม ขณะเดียวกันก็มองหวังเป่าเล่ออย่างดุร้ายและหัวเราะเสียงเย็น ศิษย์จากฝ่ายปกครองสำนักที่ยืนอยู่รายรอบต่างใช้แหวนสื่อสารติดต่อไปยังฝ่ายปกครองสำนักกันแล้ว

จากนั้นทุกคนก็มองยังหวังเป่าเล่อ สายตามุ่งร้ายไม่เป็นมิตร ยอดฝีมือจาก     ฝ่ายปกครองสำนักมาถึงเมื่อใด เจ้าอ้วนตรงหน้าพวกเขาจะต้องกลัวหัวหดแล้วเสียใจที่เล่นงานพวกเขา โดยเฉพาะชายหน้ายาวผู้กัดฟันจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความเดือดดาลสุดขีดด้วยแล้ว

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วแล้วตัดสินใจเอาแหวนสื่อสารของตนออกมาบ้าง เขากำลังจะเปิดใช้ พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มสกุลซุนสังเกตเห็นเข้าพอดีแล้วหัวเราะออกมาอย่าง  เย็นชา

“หาคนมาช่วยรึ สหาย จะพูดกับใครเรื่องวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าข้าดัดนิสัย   เจ้าไม่ได้ ข้า ซุนฟางจะขอเปลี่ยนนามเป็นฟางซุนแทนเสียเลย!”

“ดัดนิสัยข้ารึ” สายตาหวังเป่าเล่อเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาเปิดใช้แหวนสื่อสารติดต่อไปยังหัวหน้ากลุ่มหลักที่พาเขาไปหาเฉินอวี่ถง

“ศิษย์พี่โจว ข้ายังไม่คุ้นเคยกับศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลัก ช่วยส่งข้อความของข้าไปหาศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลักทีว่า ข้าต้องการให้ศิษย์ทุกคนในกลุ่มมารวมตัวกัน   ที่ตลาดเขตใต้ภายในห้านาที!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version