บทที่ 1427 ความทรงจำของมหาเทพ
เวลานี้ทุกคนในโลกาชั้นที่สองต่างก่อเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ
ในการรับรู้ของทุกคน อาณาจักรบน…คือสถานที่ประทับของเหล่าทวยเทพ
และตอนนี้ประตูบานใหญ่ที่เชื่อมไปสู่อาณาจักรบนนั้นกำลังถูกผลักออกช้าๆ และเมื่อมันเปิดออก ลมจากพลังปราณที่ผุพังพลันพัดลอยออกมาจากช่องประตูพัดเข้ามาในโลกาชั้นที่สองทันที
ลมนี้แรงมากราวกับเป็นเพราะว่าโลกทั้งสองแยกออกจากกัน สสารทุกอย่างในโลกาชั้นแรกจึงถูกปิดผนึกไว้ และตอนนี้เมื่อเปิดออกเนื่องจากความแตกต่างระหว่างสองโลก…จึงพาให้เกิดกระแสลมแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว!
ลมที่พัดมาจากโลกชั้นแรกทำให้เส้นผมของหวังเป่าเล่อตั้งขึ้น ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์จากโลกาชั้นที่สอง…ก็ไหลผ่านประตูเข้าสู่โลกาชั้นแรกไปอย่างเงียบเชียบ
นี่เป็นเพียงแค่การเปิดช่องว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในไม่ช้าด้วยพลังทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ช่องว่างก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูถูกผลักออกจนหมด โลกาชั้นที่สองพลันเกิดเสียงคำราม พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาสั่นสะท้าน และยังมีสายตาที่มองมาจากโลกชั้นที่สามด้วย
สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่านั้นคือเสียงหายใจถี่กระชั้นซึ่งเป็นเสียงหายใจของสิ่งมีชีวิตในโลกาชั้นที่สอง
จากนั้นก็มีร่างทยอยพุ่งขึ้นฟ้า เจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดแล้วยังมีเจ้าปรารถนาเสียง เจ้าปรารถนารส เจ้าปรารถนากลิ่นและเจ้าปรารถนาสัมผัส ทั้งหมด 11 ร่าง ทะยานขึ้นฟ้า
ยังมีอีกสามร่างที่พุ่งทะยานออกมาจากเมืองโบราณ ร่างกายของพวกเขาแผ่ พลังปราณแห่งกาลเวลาออกมา แต่ความผันผวนของระดับการฝึกตนแทบจะเทียบเท่าเจ้าปรารถนาได้เลยทีเดียว พวกเขาพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง หวังเป่าเล่อผู้ผลักบานประตูเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปยังโลกชั้นที่หนึ่ง สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือกองซากปรักหักพังและฝุ่นไร้ที่สิ้นสุด…
ท้องนภาเป็นสีเทา พื้นดินเป็นสีดำ
อาคารนับไม่ถ้วนพังทลาย โครงกระดูกกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งใบเงียบสงัด ขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความตายและความรกร้างมีเพียงรูปปั้นแกะสลักขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางโลกาชั้นแรกเท่านั้นราวกับเป็นตัวแทนของ ความรุ่งโรจน์ในอดีต
รูปปั้นนั้นใหญ่มากคล้ายเป็นสิ่งค้ำจุนฟ้าดิน สวมเกราะ มองไปยังที่ไกลแสนไกล แต่…ใบหน้าของรูปปั้นกลับว่างเปล่า
เมื่อเห็นทุกอย่างหวังเป่าเล่อก็นิ่งเงียบ ในไม่ช้าด้านหลังเขาก็เกิดเสียงชนกัน เจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาทั้งสี่และยังมีผู้ฝึกตนสามคนที่ออกจากเมืองโบราณ ต่างทยอยกันมาถึง หลังจากเข้ามายังโลกาชั้นที่หนึ่ง ทุกคนพลันเงียบเสียงเมื่อสายตามองเห็นซากปรักหักพังรอบด้าน
“ที่แท้…ที่นี่ก็พังทลายไปนานแล้ว”
“โลกชั้นที่หนึ่ง…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น…”
สีหน้าทุกคนแตกต่างกันออกไป เจ้าปรารถนาเสียงถึงกับเดินลงไปใน ซากปรักหักพังด้านล่าง กวาดสายตามองความเคว้งคว้างรอบด้านนั้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
เพียงแต่พวกเขาที่กำลังจมดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเมื่อประตูเปิดแง้มมากขึ้น หรือเมื่อพวกเขามาถึง กฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาอย่างเงียบเชียบ และแทรกซึมไปทั่วทั้งแปดทิศแล้ว
มีเพียงหวังเป่าเล่อที่สังเกตเห็นฉากนี้ หลังจากกวาดตามองแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจใครและเหาะไปทางรูปปั้น
เขาสัมผัสได้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ยกเว้น…ด้านในของรูปปั้น
ในที่แห่งนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของปราณกังวานที่ตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับมันเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง
แม้ทุกคนจะเห็นว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังจมอยู่กับห้วงอารมณ์ของตนเอง บ้างกระจายตัวออกไปราวกับจะหาร่องรอยความทรงจำของตน
มีเพียง…เจ้าแห่งสุขที่ทอดสายตามองไปทางทิศที่หวังเป่าเล่อนั้นมุ่งไป ดวงตาล้ำลึกปกปิดความคิดของตนเอาไว้ แม้คนอื่นจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่สามารถเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
แต่…ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจะวนเวียนอยู่รอบตัวนางมากขึ้น
ไกลออกไป จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หันกลับมากวาดตามองข้างหลัง จากนั้นก็หันกลับไปด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์เช่นเดิม ก่อนจะพุ่งตรงไปยังรูปปั้นนั้น
ในไม่ช้าเขาก็มาถึงด้านหน้ารูปปั้นแกะสลักที่เป็นเสมือนสิ่งค้ำจุนฟ้าดินไว้ ไม่รู้ว่ารูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว แต่เจตจำนงแห่งกาลเวลาของมันกลับ ชัดเจนมาก และมีแรงกดดันแผ่ขยายออกมาราวกับสามารถสยบทุกสิ่งได้
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พลังสยบนี้ไม่ได้มีผลกับเขามากนัก
เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สัมผัสถึงทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็เดินไปยัง หว่างคิ้วของรูปปั้น เขาสัมผัสได้ว่าตรงนี้…คือทางเข้า
รูปปั้นนี้ก็คือ…สถานที่ถือสันโดษของมหาเทพ
“ในที่สุดก็จะได้เจอกันแล้ว” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะก้าวไปยังหว่างคิ้วของ รูปปั้นหนึ่งก้าว
ร่างของเขาผสานเข้ากับหว่างคิ้วของรูปปั้นและหายวับไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง และเมื่อดวงตาเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนได้ทะลวงปราการ เข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว
การทะลวงปราการนี้ไร้อันตรายใดๆ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นผันผวนสายหนึ่งไหลกวาดไปทั่วทั้งตัวราวกับกำลังยืนยันตัวตนของเขา คลื่นนี้คล้ายกับต้องการยืนยันบางอย่าง จากนั้นมันจึงสลายไป
“เจ้าก็กำลังรอข้าอยู่ใช่ไหม” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มองไปรอบด้าน สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือโลกใบหนึ่ง
โลกใบนี้…เหมือนกับโลกชั้นแรกข้างนอกทุกประการ!
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะกวาดมองไปทั่วทั้งแปดทิศ เขาเห็น ซากปรักหักพัง เห็นเศษฝุ่นและเห็น…รูปปั้นอันคุ้นตาตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ
แต่ใบหน้าของรูปปั้นนั้นดูเหมือนจะมีโครงร่างละเอียดขึ้น และแม้ว่าซากปรักหักพังบนพื้นดินจะดูเหมือนกับโลกชั้นแรกก่อนหน้านี้ แต่แท้จริงแล้ว…หากสังเกตดีๆ จะเห็นความต่างเล็กน้อย
ราวกับวงโคจรเวลาก้าวหน้ากว่า
“ชั้นแล้วชั้นเล่าหรือ…” หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับมา ก่อนจะเดินไปยังรูปปั้น ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าแรก เขาก็ได้ยินเสียง
เสียงนี้เลือนรางมาก ฟังไม่ชัดเลย แต่ทันทีที่ดังขึ้นกลับกระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อทำให้กฎตื่นตัว
หวังเป่าเล่อตาวาววับ ก่อนจะเดินเป็นก้าวที่สอง
เมื่อวางเท้าลง เสียงนั้นก็ยิ่งมากขึ้นราวกับผู้คนมากมายกำลังกระซิบกระซาบกัน นั่นทำให้คนฟังรู้สึกไม่สงบตามสัญชาตญาณ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและกลายเป็นต้นกำเนิดแล้วนั้นสามารถเพิกเฉยต่อมันได้
ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปสามก้าว สี่ก้าว ห้าก้าว…
จนกระทั่งเมื่อเดินถึงก้าวที่หก สีหน้าหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเสียงที่เขาได้ยินไม่ใช่แค่เสียงกระซิบกระซาบอีกแล้ว แต่เป็นเสียงของธรรมชาติ มีทั้งเสียงสิงสาราสัตว์ และเมื่อมันผสมเข้าด้วยกัน พลังที่ก่อตัวขึ้นจึงเพียงพอจะทำลายร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์คนหนึ่งได้
แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงจะอาศัยพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเพื่อสยบเสียงเหล่านั้น จากนั้นไม่นานก็ออกเดินก้าวที่เจ็ด
เมื่อเดินก้าวที่เจ็ด เขาก็มาอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้นแล้ว ทว่าตอนนี้สีหน้า หวังเป่าเล่อกลับเปลี่ยนไปครั้งใหญ่
เพราะ…เสียงครั้งนี้ต่างออกไป
เขาไม่อาจสยบได้ เสียงทั้งหมดดูเหมือนจะผสานเข้าด้วยกันและหวนคืนสู่ เสียงกระซิบของคนผู้หนึ่งดังเดิม อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดอยู่ตลอดเวลา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังฟังไม่ออก แต่…พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงทำให้เขาสัมผัสได้ว่าผู้ที่พูด อยู่นั้น…เป็นหญิงสาวนางหนึ่ง!
ราวกับว่าเสียงของนางสามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด และตอนนี้เสียงของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดผสานเข้าด้วยกันจึงเผยออกมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเสียงนี้ก็ดูเหมือนอัดแน่นไปด้วยพลังไม่รู้จบ เมื่อได้ยินอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทาราวกับเลือดเนื้อทั่วร่างไม่อาจทนรับได้และกำลังจะพังทลาย
และการสยบของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็กำลังจะไร้ผล…
ในช่วงเวลาสำคัญนี้เอง ดวงตาหวังเป่าเล่อวาววับ ปราณโลหิตในร่างพลันปะทุขึ้น ในที่สุดก็สยบเสียงของหญิงสาวผู้นี้ไว้ได้ครู่หนึ่ง
เขาอาศัยเวลาชั่วครู่นี้วาบร่างไปข้างหน้าและก้าวเข้าไปในหว่างคิ้วของรูปปั้น โดยไร้สิ่งกีดขวางเช่นเคย
เมื่อผสานเข้าไป เสียงทั้งหมดก็หายไปทันที ท่ามกลางความเงียบสงบอีกครั้งนั้น สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อคือภาพเคลื่อนไหวชุดหนึ่ง…
ดูเหมือนว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบ หากผ่านเข้ามาได้ก็จะได้รับรางวัล
ภาพเหล่านี้ก็คือรางวัล ทันทีที่เห็นภาพวาด จิตใจหวังเป่าเล่อก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม!!
เพราะในภาพพวกนั้นมีบางภาพที่เขาเคยเจอ!
ภาพแรกคือภาพจักรวาลที่ไม่คุ้นเคย
กลางจักรวาลดูเหมือนจะกำลังจัดพิธีฝังศพอยู่ มีร่างที่น่าอัศจรรย์กระจายอยู่ ทุกหนทุกแห่งของจักรวาล แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง และตอนนี้ พวกเขากำลังก้มหัวให้กับสถานที่ฝังศพ
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขามั่นใจว่า…จักรวาลนั้น ไม่ใช่มหาจักรวาลผืนนี้อย่างแน่นอน
“เป็นจักรวาลอื่นนอกมหาจักรวาล…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก่อนจะดูภาพที่สอง
ในภาพตรงใจกลางจักรวาลมีศพถูกฝังอยู่ใน…โลงศพไม้สีดำ
ทันทีที่เห็นศพนั่น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้ม พริบตาแรกที่เห็นโลงศพสีดำ จิตวิญญาณของเขาก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เพราะอย่างแรกนั้นเหมือนกับตนไม่มีผิด
และอย่างหลังก็คือโลงศพไม้สีดำของตน
ผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดูภาพที่สาม
ในภาพ โลงศพไม้สีดำถูกส่งเข้าไปยังจักรวาลแห่งหนึ่ง นั่นดูเหมือนจะเป็น ธรรมเนียมของจักรวาลผืนนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเฝ้าดูโลงศพล่องลอยไปในส่วนลึกของจักรวาล…กาลเวลาไหลผ่าน โลงศพสีดำนี้ก็ลอยข้ามจากจักรวาลหนึ่งไปยัง อีกจักรวาลหนึ่ง และในที่สุด…
มันก็เข้ามาใกล้มหาจักรวาลที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย
ปราการของมหาจักรวาลถูกโลงศพกระแทกจนเกิดช่องว่าง มันลอยเข้ามา อย่างราบรื่น…
ชัดเจนว่ามหาจักรวาลในภาพนั้นคือช่วงเวลาหลายล้านปีก่อน มหาจักรวาลในตอนนั้น…ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดถือกำเนิด แม้แต่ดวงดาวก็ยังไม่ก่อตัวคล้ายเป็นเพียงฟองอากาศ
ในมหาจักรวาลที่เหมือนกับฟองอากาศนี้ อาจเนื่องมาจากกาลเวลาหรือเหตุผลบางอย่าง ในที่สุดศพในโลงก็เน่าเปื่อยลงช้าๆ เลือดเนื้อกับโลงศพหลอมรวมเข้าด้วยกัน
โลงศพคล้ายจะสูญเสียพลังในการล่องลอยของมัน มันจึงหยุดอยู่ในมหาจักรวาลที่เหมือนกับฟองอากาศแห่งนี้ กระทั่งไม่กี่ปีต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ มหาจักรวาลไปแล้ว มันหลอมรวมเข้าด้วยกันและหายไป
ทว่า ชั่วเวลาก่อนที่มันจะหายไปนั่นเอง ในมหาจักรวาลที่สภาพคล้ายกับฟองอากาศแห่งนี้ก็มีสารัตถะหนึ่งที่กำเนิดขึ้น
นั่นคือ…สารัตถะเต๋าธาตุไม้