บทที่ 153 พูดให้มันปกติจะตายหรือ
เมื่อชายหัวโล้นเปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาของเขาดูมีแรงดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก ดวงตานั้นสว่างใสเหมือนน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ราวกับจะดูดเอาตัวตนของผู้ที่จ้องมอง เข้าไป ให้ตกอยู่ในความงุนงงสับสนเหมือนต้องมนต์
ดวงตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นสร้างภาพมายาราวกับว่า ร่างของชายหัวโล้นนี้แผ่แสงสว่างเจิดจ้าเฉกเช่นเทพเจ้า ส่งเสริมให้ไม่ว่าใครที่ได้มองก็อยากเคารพบูชาชายผู้นี้ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม พลังปราณในร่างของชายหนุ่มเริ่มปั่นป่วนในทันที ตอนนั้นเองเมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขาก็หมุนเล็กน้อย พลังปราณที่ไหลวนไปทั่วร่างของ หวังเป่าเล่อ ทำให้แสงสว่างวาบสีม่วงสะท้อนลึกขึ้นมาในดวงตา แม้เขาเองจะไม่รู้สึกตัว
หลังจากที่หวังเป่าเล่อดูดกลืนแสงสีม่วงในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่างกายได้สำเร็จ ลำแสงสีม่วงนั้นก็ผสานเข้ากับเมล็ดแห่ง การดูดกลืนอย่างแนบสนิท นี่เป็นที่มาของแสงสว่างสีม่วงที่วาบขึ้นบนดวงตาของเขาเมื่อครู่ ทันทีที่ชายหัวโล้นเห็น เขาก็สะดุ้งเบาๆ ด้วยความตกใจ ท่าทีสงบนิ่งอันแสนสง่างามราวสายธารเปลี่ยนไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาก็แสดงความสนอกสนใจขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองมาที่หวังเป่าเล่อ
ทันทีที่ท่าทีของชายหัวโล้นเปลี่ยนไป มวลพลังกดดันรุนแรงของสองคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็เสียศูนย์และสลายหายไป ลู่จื่อหาวที่ก่อนหน้านี้สาวเท้าเข้าหาคู่ต่อสู้ด้วยร่างกายสั่นเทิ้มราวกับควบคุมตนเองไม่ได้ ก็หยุดนิ่งราวกับสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาหายใจหอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
“นั่นมันเวทมนตร์อะไรกัน!” ลู่จื่อหาวอุทาน ประกายตื่นตะลึงระแวดระวังฉายขึ้นในดวงตา
ชายหัวโล้นไม่ได้สนใจลู่จื่อหาวแม้แต่นิด เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสง่างามราวชนชั้นสูง ผู้คุ้มกันข้างกายที่เป็นผู้เข้าแข่งขันตัวจริงจากตำหนักการยุทธ์ ค้อมตัวลงเพื่อรับฟังสิ่งที่ชายหัวโล้นเอ่ยและพยักหน้ารับคำ หลังจากนั้น ชายร่างกำยำผู้นั้นก็เดินตรงมาทางลู่จื่อหาว จนกระทั่งหยุดอยู่กลางสนามประลอง เขายกมือขึ้นกวักเรียกลู่จื่อหาวเพื่อส่งสัญญาณท้าดวล!
สีหน้าของลู่จื่อหาวเปลี่ยนในทันที เขามองชายหัวโล้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาขอความช่วยเหลือ ลู่จื่อหาวละทิ้งซึ่งความทะนงตนแล้วในเวลานั้น เขารู้ทันทีว่าศึกนี้ท่าจะลำบากยากเข็ญนัก เพราะคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน แต่ในใจของชายหนุ่มรู้ดีว่า หวังเป่าเล่อก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มเลือดร้อนจึงหันหน้าไปหาผู้ช่วยของตนเพื่อขอความช่วยเหลือ
“เจ้าจะเอาผู้คุ้มกันมาทำไมกัน เลิกทำตัวยิ่งใหญ่กว่าชาวบ้านได้แล้ว!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วก่อนพ่นลมเยาะเย้ย เขาไม่ชินกับท่าทีสูงศักดิ์ของชายหัวโล้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันรุนแรงที่ชายผู้นั้นปล่อยออกมาเช่นกัน หวังเป่าเล่อรู้ดีว่า ชายหนุ่มผู้นี้คือ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบเจอมา ในบรรดาผู้ฝึกตน ระดับเดียวกันทั้งหมด เขาจึงลดตัวลงนั่งขัดสมาธิตาม ก่อนพูดอย่างใจเย็น
“จื่อหาว สู้ให้เต็มที่ นี่เป็นการประลองครั้งสำคัญของเจ้า! หากดวลกันตัวต่อตัว จะชนะหรือแพ้ย่อมอยู่ที่เจ้า แต่หากเริ่มเป็นสองรุมหนึ่งเมื่อไร ข้าหวังเป่าเล่อคนนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด!”
เมื่อได้ยินคำสัญญาเป็นมั่นเหมาะจากหวังเป่าเล่อ ลู่จื่อหาวก็ถอนใจอย่างโล่งอก แม้เขาเองจะไม่ชอบขี้หน้าหวังเป่าเล่อเอาเสียเลย แต่คำพูดของหวังเป่าเล่อในฐานะผู้ช่วยก็ทำให้เขาสบายใจ ลู่จื่อหาวเงยหน้าขึ้นมองนักรบในชุดเกราะสีม่วงที่เรียกเขาเมื่อครู่ พลังใจในการเข้าห้ำหั่นพลุ่งพล่านขึ้นในดวงตาของเขา ชายหนุ่มเลือดร้อนคำรามต่ำ ก่อนกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้ในทันที
ลู่จื่อหาวพุ่งเข้าประชิดตัวคู่แข่งด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เขาคว้าผนึกมือขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว และส่งกระบี่เหาะเหินเยือกแข็งห้าเล่มให้ตัดอากาศออกไป ชายหนุ่มเขวี้ยงยันต์กระดาษหลายแผ่นตามไปด้วยเพื่อเริ่มร่ายเวท คู่ต่อสู้ของเขาขยับมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ก่อนกระทืบเท้าลงไปบนพื้นดิน ทันใดนั้นพายุพลังปราณก็อุบัติขึ้นมาใต้เท้าของเขา และมุ่งตรงไปที่ลู่จื่อหาวทันที
แน่นอนว่าลู่จื่อหาวได้เปรียบกว่าในแง่ของความคล่องตัวและความเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบพายุลูกนั้นก่อนพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
ในพริบตา คู่ต่อสู้ทั้งสองก็พุ่งเข้าห้ำหั่นกันที่กึ่งกลางลานประลอง
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้จุดพลุเรียกแขกแล้ว แต่การต่อสู้นัดนี้ก็ยังดึงดูดความสนใจจากบรรดาผู้ชมบนอัฒจันทร์ได้ ทั้งเจ้าพนักงานของสหพันธรัฐ กองทัพ และเหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กำลังจ้องมองลงมาจากบนฟ้า
“นั่นศิษย์เอกของท่านผู้นั้นหรือ” บนอัฒจันทร์ฝั่งกองทัพ ท่านแม่ทัพโจวหรี่ตามองชายหัวโล้นอย่างพินิจพิเคราะห์
“ชายผู้นั้นมีนามว่าหลี่อู๋เฉิน เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของผู้อาวุโสสูงสุด ประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่ด้วยความสามารถอันจำกัดของข้า ข้าจึงรับรู้ข้อมูลมาเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ” โจวลู่กระซิบอยู่ข้างกายท่าน
“แน่นอนว่าคนระดับเจ้าคงไม่อาจรับรู้ข้อมูลไปมากกว่านั้นได้…ปีนี้เขาจะอายุครบยี่สิบปีเต็มแล้ว…” แม่ทัพโจวตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ประกายเย็นเยียบวาบขึ้นมาในแววตาแต่ท่านก็สะกดมันไว้อย่างรวดเร็ว ท่านทวนชื่อของชายหัวโล้นนั้นอยู่ในใจ และไม่เอ่ยอันใดอีก
ในเวลาเดียวกันนั้น บรรดาเจ้าพนักงานจากสหพันธรัฐก็มองไปที่ชายหัวโล้นเช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าอาจารย์ของชายหนุ่มผู้นี้คือใคร แต่ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกประหลาดเฉกเช่นท่านแม่ทัพโจว อย่างมากก็แค่จับจ้องเขาอย่างไม่ละสายตาเท่านั้น
เหล่าผู้อาวุโสบนอัฒจันทร์ฝั่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ชักสีหน้าประหลาด ขณะมองชายหัวโล้นผู้นั้น แม้แต่ชายในชุดคลุมสีแดงก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ในดวงตาลึกๆ ของเขาก็มีรอยเย็นเยียบวาบผ่านเช่นกัน แม้จะไม่มีผู้ใดมองเห็น
เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นที่ลานประลองในตอนนั้น หวังเป่าเล่อและชายหัวโล้นกำลังทำสมาธิ ทั้งสองนั่งจ้องหน้ากันราวกับว่ากำลังต่อสู้ด้วยพลังจิต ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มเบื่อและกระแอมออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านจ้องหน้าข้าทำไมหรือ”
“ข้ากำลังพินิจอดีตและปัจจุบันของเจ้า” ศิษย์พี่หัวโล้นตอบอย่างสงบนิ่ง
ได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าอ่านยาก เขาคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่า เจ้านี่มันบ้า
การประลองระหว่างลู่จื่อหาวและชายในชุดเกราะม่วงทวีความดุเดือดขึ้น คู่หูของหวังเป่าเล่อตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ระดับพลังปราณและประสบการณ์การออกศึกของเขาและชายในชุดม่วงนั้น แตกต่างกันอย่างเทียบไม่ติด
ขณะที่ลู่จื่อหาวกำลังจะพ่ายแพ้ ชายในชุดเกราะม่วงก็ล่าถอยไป เขาปรากฏตัวขึ้น ข้างกายชายหัวโล้นในเสี้ยววินาที ทำมือคำนับและโค้งลงทางลู่จื่อหาว
“ผลคือเสมอ!”
ลู่จื่อหาวไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร ดวงตาของ ชายหัวโล้นก็มีไอประหลาดวาบออกมา เขายกคางขึ้นและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะมองมาที่หวังเป่าเล่อ
“ถึงตาของเราแล้ว!”
ลู่จื่อหาวหายใจหอบด้วยความตื่นเต้น เขามองไปที่ชายหัวโล้นที หวังเป่าเล่อที ต่อให้หัวช้าขนาดไหนก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าเป้าหมายของชายหัวโล้นไม่ใช่เขา แต่เป็นหวังเป่าเล่อ!
เขาสงสัยแม้กระทั่งว่าคู่ต่อสู้นี้ใช้พลังลึกลับบางอย่าง เพื่อสืบหาว่าคู่หูที่จะช่วยเขา ในศึกนี้คือ หวังเป่าเล่อ และเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเหตุนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ทั้งสองคนนี้มีพื้นเพยอดเยี่ยมจนยากจะหาผู้ใดเหมือน จึงเป็นเหตุให้พวกเขาผ่านมาถึงรอบนี้จนเจอเข้ากับหวังเป่าเล่อได้ในที่สุด!
คิดได้ดังนี้ลู่จื่อหาวก็มีสีหน้าลังเลใจ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ชายหนุ่มเดินไปยืนข้างกายหวังเป่าเล่ออย่างเงียบๆ
หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นมอง ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเห็นชายประหลาดผู้นี้ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่าชายหัวโล้นผู้นี้นั่งรอการมาถึงของเขามาตลอด
นั่นฟังดูน่าขันไปสักนิด หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้คิดอะไรอีก แต่ความโจ่งแจ้งในการกระทำของชายหัวโล้นก็ทำให้เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้ “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือ”
“ท่านอาจารย์ข้ากล่าวว่ามีศิษย์หลายคนในสำนักศึกษาที่มีความสามารถเหนือชั้น ท่านต้องการให้ข้าชวนพวกเขาเหล่านั้นมาฝึกวิชาและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เจ้าเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ข้าได้รับมา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นศิษย์สามัญทั่วไป ข้าอยากให้โอกาสเจ้าพิสูจน์ตนเอง จึงตัดสินใจเข้าร่วมการประลองเพื่อมาทดสอบเจ้าในวันนี้!” ชายหัวโล้นเงยหน้าขึ้นพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไอประหลาดแผ่ออกมาจากร่างกายเขาขณะเอื้อนเอ่ย
“เจ้าพูดให้มันปกติจะตายหรือ เลิกวางมาดสูงส่งน่าหมั่นไส้ได้แล้ว” หวังเป่าเล่อเห็นดังนั้นก็แน่นิ่งไป เขายกมือขึ้นเพื่อตบหน้าผากตนเองด้วยความหงุดหงิด แต่ทันทีที่เขายกฝ่ามือขึ้นจะตบหน้าผากนั้น เขากลับเปลี่ยนทิศทางตบฝ่ามือลงบนพื้นดินแทนเสีย
เสียงระเบิดดังกึกก้อง ร่างของเขากระโจนขึ้นจากพื้นอย่างว่องไวเช่นกระต่ายป่า โดยอาศัยแรงส่งจากระเบิดนั้น พุ่งทะยานไปข้างหน้าราวลูกธนูที่ถูกยิงออกจาก คันศร หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ชายหัวโล้นในเสี้ยววินาที ร่างของเขาแทบจะแนบสนิทไปกับผืนดิน
ท่วงท่าของหวังเป่าเล่อพลิ้วไหวดุจสายน้ำ เหนือความคาดหมายและเบ็ดเสร็จหมดจด หวังเป่าเล่อปล่อยความเร็วสูงสุดโดยไม่ออมแรง จนดูเหมือนกำลังเหาะเหินอยู่ในอากาศ พลังปราณของเขาระเบิดออกเต็มที่จนกระแสปราณหมุนวนรอบกายกลายเป็นพายุ กระบวนท่าของหวังเป่าเล่อดูน่าประทับใจยิ่ง เขาปรากฏตัวขึ้นข้างชายหัวโล้นในพริบตา หมายคว้าตัวคู่ต่อสู้เอาไว้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วอึดใจ ชายหัวโล้นอึ้งไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูก แต่ดูเหมือนชายชุดเกราะม่วงที่คล้ายผู้คุ้มกันข้างกายนั้นจะถูกส่งมาเพื่อคุ้มครองเขาจริงๆ เขาคอยจับจ้องหวังเป่าเล่ออยู่ในทุกความเคลื่อนไหว และก้าวออกมาบังร่างของ ชายหัวโล้นออกจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อ
เสียงระเบิดดังก้องขึ้นอีกครั้ง ร่างของชายกำยำในชุดเกราะม่วงสั่นอย่างรุนแรง สีหน้าเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ขณะล่าถอยไปพร้อมเลือดสดๆ ที่ไหลออกจาก มุมปาก แต่ถึงกระนั้น การเอาตัวเข้ากำบังของเขาก็ยังได้ผลอยู่บ้าง เพราะทำให้ หวังเป่าเล่อชะลอช้าลงนิดหนึ่งเช่นกัน
ชายหัวโล้นหายใจหอบและอาศัยวินาทีที่ผู้คุ้มกันตนเข้าปะทะกับหวังเป่าเล่อนั้น ถอยหนีไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อคืบเข้ามาใกล้ เขาเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของหวังเป่าเล่อที่หมายจะตรึงเขาไว้ ฝ่ามือนั้นคว้าน้ำเหลวตัดผ่านหน้าไปในอึดใจ เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปทางหวังเป่าเล่อบ้าง
แรงระเบิดอัดกลางอากาศปะทุขึ้นระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง แรงนั้นสกัดหวังเป่าเล่อที่กำลังพุ่งร่างตรงมาให้ล่าถอยไปหลายก้าว ความเสียดายฉายชัดขึ้นในแววตาของเขา
“ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าก็เร็วใช้ได้ แต่เจ้าใช้สองรุมหนึ่ง ข้าไม่ถือว่าเจ้าเป็นลูกผู้ชายตัวจริง”
“เจ้าเองก็ไร้เกียรติ! เจ้าลอบโจมตีข้า!” ชายหัวโล้นอุทานด้วยอารมณ์โกรธ เขาควบคุมอารมณ์ตนเองให้สงบไม่ได้อีกต่อไป แล้วถอยร่นไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“เลิกวางมาดได้สักที” หวังเป่าเล่อปรายตามองเขา
ทุกคนบนอัฒจันทร์ที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่มีสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะ ท่านแม่ทัพโจวและชายในชุดคลุมสีแดง ทั้งสองมีประกายสว่างวาบขึ้นในแววตา
“ยอดเยี่ยม!”
ทว่าโจวลู่กลับดูหงุดหงิดจนเผลอพึมพำด่าหวังเป่าเล่อกับตนเอง “นั่นมันลอบกัดกันชัดๆ ช่างไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี!”
“สมองเจ้าได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว หรืออย่างไร อย่าโลกแคบนักเลย!” ท่านแม่ทัพโจวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว พลางตำหนิโจวลู่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน